ไม่ใช่ครั้งแรกในความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูลา ที่ผมเห็นบางคนเอ่ยประโยคอมตะที่ว่า "รบเถิดอรชุน" เพื่อสนับสนุนการทำสงครามแบบ All-out war"หรือรบแบบสุดลิ่มทิ่มประตูกับประเทศนี้?
ผมคิดว่าเป็นความเคยชินมากกว่าที่ฝ่ายนิยมสงครามมักอ้างประโยค "รบเถิดอรชุน" โดยไม่เข้าใจความนัยของมัน ซึ่งไม่ได้สนับสนุนสงครามภายนอก แต่เป็นการทำสงครามภายใน
"รบเถิดอรชุน" มาจากส่วนย่อยของมหากาพย์ "มหาภารตะ" ในส่วนที่เรียกว่า "ภควัทคีตา" หรือ "บทเพลงแห่งพระเจ้า" ส่วนของบทที่สองที่ว่าด้วย "ความลักลั่นของอรชุน"
มหาภารตะเป็นเรื่องราวของการต่อสู้ระหว่างญาติสองตระกูล คือตระกูลเการพ และตระกูลปาณฑพ จนนำไปสู่สงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร อรชุนนั้นเป็นพี่น้องคนที่สามในบรรดาสมาชิกตระกูลปาณฑพทั้งห้า เมื่อเข้าสู่สนามรบแล้วเกิดความลังเลใจ ไม่อยากจะเข่นฆ่าญาติตัวเอง ดังนั้นพระกฤษณะ (อวตารของพระนารายณ์) ซึ่งรับหน้าที่เป็นสารถีให้อรชุน จึงกล่าวภควัทคีตาเพื่อโน้มน้าวใจให้เขาออกรบ
ทำไมอวตารของพระเจ้า คือพระกฤษณะ ถึงอบรมให้อรชุนมีจิตใจออกรบ ไปเข่นฆ่าผู้อื่น เช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นความไร้เมตตาของของพระเจ้าหรอกหรือ?
ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ของอรชุนก่อนว่า ทำไมเขาจึงลังเลใจที่จะเข้าร่วมสงคราม? ในภควัทคีตาได้กล่าวถึงคำรำพึงของอรชุนไว้ว่า
"ท่านกฤษณะเจ้าข้า เราจะง้างธนูใส่ปู่ของเรา คุรุของเรา และญาติพี่น้องอื่นๆ ที่ควรแก่การเคารพของเราในสนามรบได้อย่างไร? ข้าขอมีชีวิตอยู่ด้วยการขอทานในโลกนี้ จะดีเสียกว่าการฆ่าบุคคลผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ เพราะการฆ่าพวกเขาจะทำให้เราแม้จะได้โภคทรัพย์และความสุขก็ตามที แต่ก็จะแปดเปื้อนไปด้วยเลือดของพวกเขา"
กระนั้นก็ตาม อรชนุก็มิใช่ว่าจะไม่อยากจะเข้าร่วมสงครามไปเสียเลย เพราะเขายังบอกว่า "เราไม่รู้ว่าทางเลือกไหนดีกว่าสำหรับเรา ระหว่างสู้หรือเลิกราไป" สาเหตุที่เขาลังเลก็เพราะ "จิตใจของข้าพเจ้าก็สับสนเกี่ยวกับธรรม"
"ธรรม" ในที่นี้หมายถึง "หน้าที่" (สวธรรม) แน่นอนว่า "ธรรม" มีความหมายครอบจักรวาล แต่ในบริบทนี้หมายถึง "หน้าที่" ของบุคคลในวรรณะและชาติตระกูลนั้นๆ เช่น คนในชาติกษัตริย์เช่นอรชุน มีหน้าที่ออกรบเพื่อปกป้องและคุ้มครองประเทศของตน หากไม่ทำหน้าที่นี้ก็เท่ากับว่าเป็น "อธรรม" หรือไม่ทำตามหน้าที่
หากกล่าวอีกนัยก็คือ "ธรรม" คือความดีงาม หากนักรบไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ก็เท่ากับว่าไม่ดีงาม เมื่อนั้นนักรบก็ย่อมเป็น "อธรรม" หรือผู้ไม่ดีงาม ไม่อยู่ในครรลอง และในศาสนาพระเวทนั้นหน้าที่ของชาติชั้นวรรณะกำหนดมาจากพระเป็นเจ้า การไม่ปฏิบัติตามหน้าที่หรือธรรมที่พระเป็นเจ้กำหนดมา เท่ากับเป็นการล่วงละเมิด
แต่ศาสนาพระเวทก็มิได้สอนให้คนเข่นฆ่าอย่างไร้เหตุผล ยังสอนให้คนมีเมตตากรุณา ถือมังสวิรัติ ไม่กินเลือดเนื้อของสัตว์ด้วยกัน กระนั้นก็ตาม วรรณะกษัตริย์มีพันธะที่จะต้อง "ฆ่าเพื่อคุ้มครอง" ดังนั้นแล้วคนวรรณะกษัตริย์ หรือนักรบควรทำเช่นไร เพราะหาฆ่าก็เท่ากับว่าไม่มีเมตตาจิต ไม่เป็นธรรมต่อผู้อื่น แต่หากไม่ฆ่าในสงคราม ตนเองจะเป็นผู้ละเมิดธรรมของตนเสียเอง
นี่เองในบทย่อยบทนี้ของภควัคดีตา จึงเรียกว่า "ความลักลั่นของอรชุน" อรชุนสับสนในจิตใจอย่างมาก ไม่ใช่เพราะต้องเข่นฆ่าญาติของตน แต่เพราะคำถามในใจว่า "การฆ่านั้นชอบธรรมหรือไม่ท" (เป็นความสงสัยในใจเช่นเดียวกับนักรบทั้งปวง) ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับพรพกฤษณะว่า "โปรดบอกข้าพเจ้าว่าอะไรดีกว่าสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของท่าน และข้าพเจ้าขอพึ่งท่าน"
(กระนั้นก็ตาม ก่อนจะได้คำตอบ อรชุนก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะไม่สู้และขออยู่เงียบๆ" นี่แสดงว่าอรชุนเกิดสงครามภายในใจที่รุนแรงอย่างมาก)
คำตอบของพระกฤษณะนั้นเป็นปรัชญาชั้นสูง หากได้ศึกษาพื้นฐานของปรัชญาอินเดียมาจะทราบว่าภควัทคดีตาเป็นตำราสำคัญของ "สำนักเวทานตะ" อันเป็นสำนักปรัชญาหลักของอินเดียโบราณ ชื่อสำนักแปลว่า "ที่สุดแห่งพระเวท" เพราะถือตนว่าเป็นสำนักที่กล่าวหลักการอันเป็นแก่นแท้ ในพระเวท
คำสอนหลักของเวทานตะ คือเรื่อง "พรหมัน" และ "อาตมัน"
"พรหมัน" คือตัวตนสูงสุด เป็นความจริงสูงสุด เป็นพระเจ้าที่ไม่มีตัวตน ส่วน "อาตมัน" เป็นส่วนหนึ่งของพรหมันที่แตกออกมาเป็น "ชีวะ" หรือชีวิตต่างๆ ดังนั้น ชีวิตทั้งหลายจึงมาจากแหล่งเดียวกัน คนทั้งหลายที่ต่างกันโดยรูปลักษณ์ล้วนมีอาตมันภายในที่เหมือนกัน สรุปก็คือ แม้จะแตกต่างด้วยรูปกาย แต่วิญญาณภายในล้วนไม่ผิดแผก แม้ร่างกายจะแหลกสลาย แต่าอาตมันไม่ดับสูญ จะเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปฏิบัติธรรมสั่งสมบุญได้มากพอก็จะเข้าถึงพรหมัน เป็นหนึ่งเดียวกับความจริงสูงสุดหรือพระเจ้าในที่สุด
นี่คือปรัชญาที่เป็นแกนหลักของภควัทคดีตา และเป็นธีมหลักของคำสอนที่พระกฤษณมอบให้กับอรชุน
ดังนั้นพระกฤษณะจึงปลอบอรชุนดังนี้ว่า
"ไม่เคยมีกาลใดที่กษัตริย์เหล่านี้ (พวกเการพและปาณฑพ) ท่าน หรือข้าพเจ้า ไม่มีอยู่จริง และเราจะไม่ดับสูญไปในอนาคต"
"ฉันใด วิญญาณก็ได้กายวัยเด็ก กายวัยเยาว์ และกายชราในชาตินี้ฉันนั้น เช่นเดียวกัน วิญญาณก็ได้กายใหม่หลังความตาย ไม่ควรเอามาปนกับปัญญา"
"การสัมผัสระหว่างประสาทสัมผัสกับอายตนะ ก่อให้เกิดความรู้สึกร้อนหนาว ทุกข์สุข สิ่งเหล่านี้เป็นของไม่เที่ยง จึงไม่เที่ยง ฉะนั้น เราควรเรียนรู้ที่จะอดทน เพราะบุคคลผู้สงบ ปราศจากทุกข์สุข มั่นคงในทุกข์สุข ย่อมเป็นผู้เหมาะสมที่จะหลุดพ้น"
"วิญญาณที่มองไม่เห็น (อาตมา, อาตมัน) เป็นสิ่งนิรันดร์ และกายที่มองเห็นได้เป็นสิ่งไม่เที่ยง ความจริงของทั้งสองนี้ ย่อมปรากฏแก่ผู้เห็นสัจธรรมอย่างแน่นอน"
"วิญญาณที่แผ่ซ่านไปทั่วจักรวาลนี้ ย่อมไม่สูญสลาย ไม่มีใครทำลายวิญญาณอมตะได้"
"ร่างกายของวิญญาณอันเป็นนิรันดร์ ไม่แปรเปลี่ยน และไม่อาจเข้าใจได้นั้น ย่อมเสื่อมสลาย ฉะนั้น รบเถิดอรชุน"
ข้อความข้างต้นนี้ พระกฤษณะแสดงปรัชญาเวทานตะที่รวบรัดชัดเจน แม้จะลึกซึ้งอย่างมาก แต่หากได้อ่านคำอธิบายข้างต้นก็จะพอเข้าใจว่าพระกฤษณะได้ชี้ว่า "ตัวตน" ของบุคคลต่างๆ นั้นเป็นของปลอมหรือเป็นมายา มันไม่มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริงคือ "อาตมัน" ที่เป็นตัวตนสูงสุด ซึ่งหากหลุดพ้นจากร่างนี้แล้ว ก็ยังจะไปเกิดในร่างใหม่ไม่มีสิ้นสุด ไม่สูญสลาย และใครทำอะไรไม่ได้ ไม่เหมือนการ "ฆ่า" มายาหรือตัวตนภายนอก ในเมื่ออรชุนหรือใครก็ฆ่าอาตมันไม่ได้ จึงไม่ควรจะกังวลอะไรอีก พระกฤษณะจึงสั่งให้อรชุนออกรบ เพื่อรักษาธรรมแห่งการเป็นนักรบ และยังสามารถตระหนักในคำสอนสูงสุดด้วยว่า สิ่งที่เขาฆ่าไม่ใช่ตัวตนจริง เป็นแค่มายาเท่านั้น
พระกฤษณะยังย้ำต่อมาว่า "ผู้ที่คิดว่าอาตมันเป็นผู้ฆ่า และผู้ที่คิดว่าอาตมันถูกฆ่า ทั้งสองต่างก็โง่เขลา เพราะอาตมันไม่ได้ฆ่าและไม่ถูกฆ่า" - นี่หมายความว่า อรชุนไม่ได้ฆ่าใครเพราะอรชุนเป็นแค่ชื่อปลอมและตัวตนปลอม เการพและปาณฑพก็ไม่ได้ถูกฆ่าเพราะเป็นตัวตนปลอม ทั้งหมดมีอาตมันเป็นแกนหลัก ในเมื่ออาตมันยังคงอยู่นิรันดร แล้วจะถือว่า "ฆ่า" ได้อย่างไร?
นี่คือแนวคิดของสำนักเวทานตะที่ลึกซึงอย่างมาก แต่ผมขอย้ำว่าแนวคิดนี้ "หมิ่นหม่" ต่อศีลธรรมจรรยาของปรัชญาสำนักอื่น เช่น ในพุทธศาสนา ซึ่งไม่ถือว่า "อาตมัน" มีอยู่จริง เพราะอาตมันก็เป็นมายาเนื่องจากประกอบขึ้นมาจากเหตุปัจจัยต่างๆ ในระดับปรมัตถ์
แต่ในระดับสมมติแล้ว พุทธศาสนาถือว่าโลกมีกติกาที่ต้องรักษาไว้ สรรพสัตว์แม้จะตายไปแล้วเวียนว่ายตายเกิดเรื่อยๆ และทิ้งร่างอันเป็นการประกอบของธาตุและเหตุปัจจัยไว้ แต่เมื่อยังมีชีวิตจิตใจ "วิญญาณ" ของสรรพสัตว์ก็ยังห่วงร่างและกลัวตาย เมื่อถูกฆ่า "วิญญาณ" ของสัตว์นั้นก็จะเก็บจิตอันเคียดแค้นไว้ ทำให้ผู้ฆ่าและผู้ถูกฆ่าตามล่ากันไม่จบสิ้นในสังสารวัฏอันยาวไกล
ดังนั้น ในระดับสมมติพุทธศาสนาจึงห้ามฆ่าสัตว์ และยิ่งไม่สนับสนุนสงคราม เพราะเป็นการก่อเวรไปไม่สิ้นสุด
แต่ศาสนาพระเวทและศาสนาพุทธแตกต่างกันสุดขั้วในระดับปรัชญาชั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนาพุทธไม่ถือว่า "อาตมัน" และ "พรหมัน" เป็นอมตะ และถือว่าเป็นมีพระเจ้าสูงสุดที่กำหนดจริยธรรมทั้งหลาย เช่น พระกฤษณะที่เป็นอวตารพระเจ้าหรือเป็นส่วนทรี่เป็นรูปลักษณ์ของพรหมัน มีสิทธิบอกกับอรชุนว่า "ฆ่าแล้วไม่เป็นไร เพราะเธอทำหน้าที่ได้ถูกแล้ว"
แต่พระพุทธะจะทรงตรัสว่า "อรชุน เธอจงอย่าฆ่า การฆ่าจะก่อเวรไม่สิ้นสุด อีกทั้ง หน้าที่ของกษัตริย์นั้นแม้จะเป็นการรบและต้องฆ่า แต่การฆ่าจะนำไปสู่การฆ่าต่อไปเรื่อยๆ นั่นคือ ทำกรรมไว้ย่อมได้ผลกรรมนั้น" ในศาสนาพุทธจึงไม่สอนว่า นักรบฆ่าแล้วไม่เป็นไร เพราะทำหน้าที่ที่พระเจ้าได้มอบหมายแล้ว แต่สอนว่าแม้จะเป็นหน้าที่ก็ต้องรับกรรมด้วย
กระทั่งพระเจ้าก็ต้องอยู่ในกฎแห่งกรรม พระเจ้าสนับสนุนให้เข่นฆ่าแล้วก็ยอมรับผลกรรมนั้น เพราะศาสนาพุทธไม่มีหลัก "พรหมัน" หรือพระเจ้าสูงสุดมีแต่ "พลังแห่งกรรม" ที่เป็นที่สุดของพลังจักรวาล
สำหรับสังคมพุทธศาสนาแบบบ้านเรา หากไม่ศึกษาปรัชญาเปรียบเทียบมาก่อน ก็จะไม่เข้าใจบริบทของประโยค"รบเถิดอรชุน" และคิดว่าเป็นภควัทคีตาเป็น "เพลงปลุกใจ" ที่เร่งเร้าให้ทำสงครามโดยอ้างปรัชญาเพื่อเป็นความชอบธรรมในการสังหาร
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ภควัทคีตากเป็นประเด็นในการถกเถียง เพราะแม้จะมีหลักอันลึกซึ้งของเวทานตะ แต่ก็เหมือนกับคัมภีร์ที่สร้างความชอบธรรมให้สงคราม ทำให้เกิดความลักลั่นแม้แต่ในหมู่ชาวฮินดูในยุคหลังๆ ที่พยายามจะส่งเสริมศาสนาของตนว่าเป็นพวกอหิงสา
ในหมู่นักปราชญ์ศาสนาพระเวทรุ่นหลังๆ แม้ไม่สนับสนุนการตีความที่ให้ความชอบธรรมแก่สงคราม แต่ก็ไม่อาจผันแผรจากหลักการของเวทานตะได้ นั่นคือหลัก ธรรม/สวธรรมที่เอ่ยถึงข้างต้นและยังเป็นเสาหลักของศาสนาฮินดูในปัจจุบัน เช่น วิโนพะ ภเว ผู้สืบทอดหลักอหิงสาของ มหาตมะ คานธี ที่กล่าวว่า
(การที่อรชุนไม่อยากจะรบ) "อรชุนไม่เพียงแต่พูดตามโวหารแห่งหลักอหิงสาเท่านั้น แต่ยังพูดถึงสันยาสะ (การสละโลก นั่นคือการจะไปขอทานเขากิน) ด้วย เขากล่าวว่าสันยาสะดีกว่ากษัตริย์ (หรือทำหน้าที่ของกษัตริย์) ที่มือเปื้อนเลือด แต่นี่เป็นสวธรรมของเขาหรือ? นี่สอดคล้องกับธรรมชาติของเขาหรือ? เขาอาจสวมอาภรณ์ของฤๅษีได้อย่างง่ายดาย แต่เขาจะมีจิตใจของฤๅษีได้อย่างไร? หากเขาเดินทางเข้าไปในป่าเพื่อดำรงชีวิตแบบฤๅษี เขาคงเริ่มฆ่ากวางที่นั่นแล้ว พระเจ้าตรัสกับเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “โอ อรชุน! ท่านกำลังบอกว่าท่านจะไม่ต่อสู้ นี่เป็นเพียงภาพลวงตา ธรรมชาติ (ความเป็นนักรบ) ของท่านซึ่งถูกสร้างขึ้นมาตลอดหลายปี จะบังคับให้ท่านต่อสู้”
วิโนพะ ภเว ก็ยังมองว่า อรชุนไม่มีทางเลือกที่จะไม่รบ เพราะพระเจ้าคือพระกฤษณะทรงกำหนดหน้าที่ให้แล้ว ต่อให้ถือหลักอหิงสาก็ไม่ได้ ความลังเลใจของอรชุนนั้น วิโนพะ ภเว มองว่าเกิดจากความ "เจือปนของความมัวหมอง" ที่ทำให้เขามองให้เห็นสวธรรม อาตมัน และพรหมมัน ดังที่เขากล่าวสรุป (หลังจากที่อธิบายว่าความลังเลของอรชุนไม่ได้เกิดจากจิตที่เป็นอหิงสาแต่เกิดจากการสับสนในหน้าที่) ว่า
"จากการอภิปรายทั้งหมดนี้ ท่านคงเข้าใจแล้วว่าจุดประสงค์ของคัมภีร์ภควัทคีตาคือการขจัดความหลงผิดที่ขวางกั้นระหว่างเรากับสวธรรมของเรา อรชุนรู้สึกสับสนเกี่ยวกับธรรมะของเขา เขาถูกครอบงำด้วยความหลงผิดเกี่ยวกับสวธรรมของเขา เขาเองก็ยอมรับมันเมื่อพระกฤษณะตำหนิเขา ภารกิจหลักของคัมภีร์ภควัทคีตาคือการขจัดความหลงผิดและความยึดติดนั้น ในตอนท้ายของคัมภีร์ภควัทคีตา พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสถามอรชุนว่า "โอ้ อรชุน! ความหลงผิดของท่านหายไปแล้วหรือ?" อรชุนทูลตอบว่า "ใช่แล้ว พระเจ้าข้า ความหลงผิดได้หายไปแล้ว ข้าพระองค์ได้ตระหนักแล้วว่าสวธรรมของข้าพระองค์คืออะไร" ดังนั้น เมื่อพิจารณาทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบของคัมภีร์ภควัทคีตา จึงเป็นที่แน่ชัดว่าการขจัดความหลงผิดคือแก่นสารสำคัญ นี่คือจุดประสงค์ของคัมภีร์ภควัทคีตา และของมหาภารตะทั้งหมด ท่านวยาสได้กล่าวไว้ในตอนต้นของมหาภารตะว่าท่านกำลังจุดตะเกียงแห่งประวัติศาสตร์เพื่อขจัดความหลงผิดในจิตใจของผู้คน"
นี่คือการตามความตามหลักอหิงสา ซึ่งใกล้เคียงกับศาสนาพุทธอย่างมาก แต่ก็ยังติดอยู่กับเงื่อนของการทำหน้าที่โดยให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่ตามหลักกรรมที่เชื่อถือกันในพุทธศาสนิกชนในบ้านเมืองเรา
แน่นอนว่า นักรบก็ย่อมต้องรบ หรือต้องปฏิบัติตามสวธรรมของตนเอง พวกเขาต้องถืออาวุธก็เพื่อเข่นฆ่าศัตรูตามธรรมะที่กำหนดโดยสังคม แต่ตามหลักสูงสุดของจักรวาลแล้ว การฆ่าทุกอย่างมีราคาต้องจ่าย การทำสงครามมีต้นทุนอันยากจะแบกรับ
ดังนั้นการใช้คำว่า "รบเถิดอรชุน" เป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้ง ไม่ควรนำมากระตุ้นให้เกิดการสังหารระหว่างผู้คนด้วยกันโดยไม่คิดว่าตนคนพูดจะต้องรับผิดชอบอะไร
แม้เราจะมีความขัดแย้งกับประเทศใดๆ ก็ตาม ก็ควรจะถือว่าสงครามเป็น "ที่พึ่งสุดท้าย" (the last resort) หากไม่อาจหลีกเลี่ยงแล้ว ผู้ทำการรบในแนวหน้าก็ย่อมต้องหาอะไรเป็นที่พึ่ง ถึงเวลานั้น หากจะถือคำพระกฤษณะเป็นสรณะก็ไม่อาจว่าได้
แต่ในศาสนาพุทธนั้นถือว่าการฆ่าและสงครามย่อมมีผลที่ตามมา ไม่มีพระเจ้าใดที่จะชำระสะสางผลกรรมจากการเข่นฆ่าได้ นอกจากตัวเราจะแบกรับมันเอง
ทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - การหวนคืนของวีรบุรุษผู้วายชนม์ในมหาภารตะหลังจากฤๅษีวสยาสกล่าวโศลกมหากาพย์ ภาพจากหนังสือ Indian myth and legend (1913)