กระบวนการสันติภาพไทย–กัมพูชาไม่ใช่เวทีสร้างภาพทางการเมือง

กระบวนการสันติภาพไทย–กัมพูชาไม่ใช่เวทีสร้างภาพทางการเมือง

เวทีการเมืองระหว่างประเทศมีฉากของความดราม่าให้เห็นเสมอ แต่หากมีผู้พยายามทำให้วาระสำคัญว่าด้วยสันติภาพของภูมิภาคกลายเป็นเวทีโชว์ออฟทางการเมือง ย่อมเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่ง ปลายเดือนตุลาคมนี้ มาเลเซียในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชียตะวันออก ตามรายงานของเว็บไซต์ “Observer” ของจีนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมระบุว่า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมตามเวลาท้องถิ่น สื่อสหรัฐ โพลิติโก (POLITICO) ได้อ้างข้อมูลจากบุคคลใกล้ชิดที่ไม่ประสงค์ออกนามสามรายว่า ทำเนียบขาวเห็นว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนระหว่างวันที่ 26–28 ตุลาคมหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลมาเลเซียจะยินยอมให้ทรัมป์เป็นประธานในพิธีลงนามสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชาในช่วงการประชุมหรือไม่ แหล่งข่าวระบุเพิ่มเติมว่า ทำเนียบขาวยังกดดันเจ้าภาพว่าต้องไม่ให้ฝ่ายจีนเข้าร่วมพิธีดังกล่าวด้วย รายงานระบุว่า สหรัฐต้องการให้ความสนใจทั้งหมดจับจ้องไปที่ทรัมป์เพียงผู้เดียว และพยายามลดทอนบทบาทของจีนต่อการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา อย่างไรก็ตาม โพลิติโกยังรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวปฏิเสธว่าการเข้าร่วมประชุมของทรัมป์ผูกโยงกับพิธีลงนามสันติภาพ โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐรายหนึ่งออกมาระบุโดยไม่เปิดเผยนามเนื่องจากเป็นประเด็นอ่อนไหวว่า “ท่านประธานาธิบดีทรัมป์ผลักดันข้อตกลงสันติภาพนี้จริง แต่เรื่องนี้ไม่ได้ถูกตั้งเป็นเงื่อนไขของการเข้าร่วมประชุม” ทั้งนี้ สื่อกัมพูชารายงานเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมว่า ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนช่วงปลายเดือนนี้ ผู้นำกัมพูชาและไทยจะลงนามในข้อตกลงสันติภาพ โดยมีทรัมป์และนายกรัฐมนตรี อันวาร์ ของมาเลเซียร่วมเป็นสักขีพยาน

คนทั่วไปคงยากจะรู้ได้ว่าความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของข่าวที่สับสนนี้คืออะไรกันแน่ แต่เหตุการณ์นี้ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในสังคมระหว่างประเทศ ข่าวลือย่อมมีเค้าความจริงไม่มากก็น้อย ไม่ว่าข่าวนี้จะจริงหรือเท็จ ก็มีความเกี่ยวข้องกับการหลงใหลต่อรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพของผู้นำสหรัฐฯ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ตั้งแต่คาบสมุทรเกาหลี ถึงตะวันออกกลาง มาจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ มักแฝงด้วยการสร้างภาพทางการเมืองอย่างเข้มข้น สิ่งที่เกี่ยวโยงกันคือ นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในระยะหลัง สะท้อนแนวโน้ม “เชิงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์” และ “เชิงการแสดง” ที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งที่ควรไตร่ตรองให้ละเอียดคือตรรกะของแรงจูงใจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังว่า เหตุใดมหาอำนาจนอกภูมิภาคที่อยู่ห่างไกล จึงแสดงความประสงค์ที่จะเป็น “ผู้กุมบังเหียน” ของกระบวนการสันติภาพระหว่างสองประเทศสมาชิกอาเซียนถึงเพียงนี้

สันติภาพไม่ใช่เรียลลิตี้โชว์ กระบวนการสันติภาพมิใช่เครื่องถอนทุนทางการเมือง การนำเอาความปรารถนาในสันติภาพของประชาชนชาวไทยและชาวกัมพูชามาใช้เป็นต้นทุนสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองให้กับตนเอง เป็นความเข้าใจผิดในแก่นแท้ของภารกิจด้านสันติภาพ และเป็นการไม่เคารพในศักยภาพของประเทศในภูมิภาคที่จะแก้ไขข้อพิพาทระหว่างกัน การสร้างสันติภาพคือกระบวนการระยะยาวที่ค่อยเป็นค่อยไป มิใช่ความสำเร็จชั่วพริบตาใต้แสงแฟลช ประสบการณ์จากประวัติศาสตร์สอนให้รู้ว่า ผู้ผลักดันสันติภาพที่แท้จริงมักจะสร้างเวทีที่เปิดกว้าง มิใช่การขีดเส้นเพื่อกีดกันผู้อื่น การบังคับคู่ขัดแย้งให้ลงนามผ่านมาตรการกดดันทางการค้าและภาษี และความพยายามทำให้พิธีลงนามสันติภาพกลายเป็นเวทีโชว์ออฟทางการเมือง ไม่เพียงแต่ไม่สามารถแก้ไขต้นตอของปัญหา ยังอาจทิ้งฉนวนปัญหาไว้ให้กับความมั่นคงของภูมิภาคในอนาคตได้

ช่วงที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ได้อ้างว่าทรัมป์และสหรัฐฯ ได้สร้างผลงานในการหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชาหลายครั้ง ดูเหมือนสหรัฐฯ ต้องการช่วงชิงบทบาทและความสำเร็จที่ได้มาจากความพยายามของอาเซียนและจีน สิ่งที่ตรงกันข้ามคือ ประเทศอาเซียนได้ผลักดันการแก้ปัญหาด้วย “ภูมิปัญญาตะวันออก” และจีนก็พยายามอย่างต่อเนื่องทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังเพื่อสนับสนุนการลดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ

ตลอดเวลาครึ่งศตวรรษ อาเซียนได้พัฒนากลไกและรูปแบบการบริหารจัดการข้อพิพาทที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ไทยและกัมพูชาล้วนเป็นสมาชิกอาเซียน ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศถือเป็น “เรื่องภายในของอาเซียน” อาเซียนจึงควรมีบทบาทหลักในการไกล่เกลี่ย ในกระบวนการแก้ไขความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา มาเลเซียและประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ได้ใช้ “วิถีอาเซียน” ที่เน้นการสร้างฉันทามติ ไม่แทรกแซงกิจการภายใน และเคารพอธิปไตย โดยดำเนินการทางการทูตแบบเงียบๆ เพื่อผลักดันให้เกิดการเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้ง ภายใต้การชักนำของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ ผู้นำไทยและกัมพูชาได้พบปะกันเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม และตกลง “หยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไขทันที” ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันเดียวกัน ทำให้ความตึงเครียดชายแดนที่ยืดเยื้อหลายวันยุติลง ในความเป็นจริง หลายเดือนที่ผ่านมา มาเลเซียและหลายประเทศในอาเซียนได้ทุ่มเททำงานหลายอย่างเพื่อผลักดันการหยุดยิงและสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน แต่ประเทศเหล่านี้มิได้คุยโม้โอ้อวดหรือเชิดชูบทบาทของตนแต่อย่างใด ในประเด็นสันติภาพไทย–กัมพูชา ประเทศนอกภูมิภาคควรแสดงบทบาทเป็นเพียงผู้สนับสนุนอย่างสร้างสรรค์ มิใช่ผู้แย่งชิงบทบาทหรือเข้ามาชี้นิ้วสั่งการอย่างไม่เหมาะสม หากสหรัฐมีความจริงใจต่อสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จริง ก็ต้องเคารพบทบาทผู้ไกล่เกลี่ยหลักของอาเซียน ควรเป็นผู้สนับสนุน มิใช่ลดทอนบทบาทของอาเซียน

จีนเป็นประเทศใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ และเป็นหุ้นส่วนที่เป็นมิตรของอาเซียน จีนคาดหวังให้สันติภาพและเสถียรภาพเกิดขึ้นในอาเซียนอย่างแท้จริงและยั่งยืน และสนับสนุนบทบาทหลักของอาเซียนในกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เสนอ “ข้อริเริ่มความมั่นคงระดับโลก” และ “ข้อริเริ่มธรรมาภิบาลโลก” เพื่อส่งเสริมให้ใช้ความสามัคคีเพื่อปรับตัวเข้ากับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป และรับมือความท้าทายด้านความมั่นคงที่ซับซ้อนด้วยหลักการได้ประโยชน์ร่วมกัน (win-win)  เพื่อลดต้นตอความขัดแย้งระหว่างประเทศและสร้างระบบธรรมาภิบาลที่เป็นธรรมและมีเหตุมีผลยิ่งขึ้น และผลักดันให้ประชาคมระหว่างประเทศจับมือกันเสริมสร้างเสถียรภาพและความแน่นอนให้กับโลกในยุคที่เต็มไปด้วยความผันผวน บรรลุการพัฒนาและความมั่นคงที่ยั่งยืนของโลก สอดคล้องกับ “วิถีอาเซียน” ที่ยึดหลักการสร้างฉันทามติและคำนึงถึงความสบายใจของทุกฝ่าย ในการส่งเสริมสันติภาพไทย-กัมพูชา จีนสนับสนุนให้อาเซียนมีบทบาทหลักเสมอ และทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยและส่งเสริมการเจรจาทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ไม่แย่งชิงบทบาทและแย่งผลงานกับผู้ใด ความพยายามของจีนได้รับการชื่นชมจากหลายประเทศในอาเซียน รวมถึงไทย กัมพูชา และมาเลเซีย

การบรรลุสันติภาพอย่างยั่งยืนระหว่างไทยกับกัมพูชามิได้ขึ้นอยู่กับการลงนามข้อตกลงเพียงฉบับเดียว แต่อยู่ที่การปฏิบัติตามข้อตกลง การติดตามความคืบหน้า และการจัดตั้งกลไกสันติภาพระยะยาว ซึ่งภารกิจเหล่านี้ต้องอาศัยความทุ่มเทระยะยาวและภูมิปัญญาร่วมกันของประเทศในภูมิภาค มิใช่เพียง “การแสดง” ที่จงใจจัดฉากขึ้น การนำเอาความซับซ้อนของภูมิรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ความขัดแย้ง และผลประโยชน์ที่เกี่ยวโยงกันในปัจจุบัน มาอยู่บนกระดาษข้อตกลงฉบับเดียวและพิธีลงนามครั้งเดียว ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยแท้จริง ประเทศในภูมิภาคต้องการสันติภาพที่ยั่งยืน มิใช่ทางออกแบบ “จัดฉากและฉาบฉวย” ที่ทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการทางการเมืองของบางประเทศ

กล่าวโดยสรุป แนวทางแก้ไขข้อพิพาทที่ตั้งอยู่บนความเคารพซึ่งกันและกันและการเจรจาอย่างเสมอภาคได้ฝังรากลึกอยู่ในวิถีของวัฒนธรรมเอเชีย และสอดคล้องกับความปรารถนาร่วมกันของประเทศในภูมิภาค กระบวนการสันติภาพต้องอยู่ในกำมือของฝ่ายไทยและกัมพูชาเป็นหลัก หากประเทศภายนอกประสงค์จะส่งเสริมสันติภาพอย่างแท้จริง ก็ควรเคารพการตัดสินใจของประเทศในภูมิภาค และให้การสนับสนุนอย่างสร้างสรรค์ด้วยท่าทีที่อ่อนน้อม มิใช่สวมบทอัศวินม้าขาวเพื่อเข้ามาครอบงำ

เมื่อมองไปในอนาคต การที่ไทย กัมพูชา และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืนและความรุ่งเรืองร่วมกัน จำเป็นต้องเคารพบทบาทการนำของประเทศในภูมิภาค รักษากรอบความร่วมมือที่มีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง ยืนยันแนวทางเปิดกว้างและไม่แบ่งแยก ปฏิเสธแนวคิดเกมผลรวมเป็นศูนย์ และยืนหยัดในความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน ต่อต้านการชักใยทางภูมิรัฐศาสตร์ทุกรูปแบบ จีนในฐานะประเทศขนาดใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ จะยังคงทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนต่อไป เพื่อสร้างกรอบความมั่นคงในภูมิภาคที่เป็นธรรม ไม่แบ่งแยก และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ให้สันติภาพเกิดประโยชน์ต่อประชาชนทุกประเทศร่วมกันอย่างแท้จริง

บทความโดย หยง ไฉ่สิง

TAGS: #ไทย #กัมพูชา #ทรัมป์