'ออกขุนชำนาญใจจง'แห่งอยุธยาผู้รอดตายจากเรือล่มที่แอฟริกาแล้วต่อมาได้พบกับพระสันตะปาปา 

'ออกขุนชำนาญใจจง'แห่งอยุธยาผู้รอดตายจากเรือล่มที่แอฟริกาแล้วต่อมาได้พบกับพระสันตะปาปา 

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1684 ออกขุนชำนาญใจจงหนึ่งในคณะทูตชุดแรกที่ถูกส่งไปยังโปรตุเกส ได้เดินทางไปพร้อมกับคณะทูตโปรตุเกสที่มายังอยุธยาแล้วกำลังจะกลับประเทศ   โดยคณะทูตสยามมีเป้าหมายที่จะไปเข้าเเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสแล้วถวายพระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

แต่เรือของคณะกลับประสบอุบัติเหตุแตกกลางทะเลนอกแหลมอะกัลลัสเมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1686 ซึ่งแหลมนี้เป็นแหลมหินที่เป็นจุดแบ่งอย่างเป็นทางการระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกกับมหาสมุทรอินเดียของทวีปแอฟริกา อยู่ห่างจากแหลมกู๊ดโฮปไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 150 กิโลเมตร และเป็นจุดใต้สุดของทวีปแอฟริกา

จากปากคำของออกขุนชำนายใจจงกล่าวไว้ว่า “มวลน้ำสูงตระหง่านดั่งภูผาแตกออกซัดเข้าหาทะเล ยกเรือขึ้นไปบนเมฆและตกลงมาบนโขดหินด้วยความเร็วและแรงมากจนเรือไม่สามารถต้านทานได้นาน ได้ยินเสียงแตกดังมาจากทุกด้าน เรือทุกลำแยกตัวออกจากกัน และเห็นกองไม้ขนาดใหญ่สั่นไหว โค้งงอ และแตกหักไปทุกด้านพร้อมเสียงโครมครามอันน่าสยดสยอง” ผู้คนบนรือถูกกลืนกินด้วยคลื่นในเวลาพริบตา 

Photo - รายละเอียดของแผนที่ Fra Mauro ที่อธิบายถึงการสร้างเรือสำเภาที่เดินเรือในมหาสมุทรอินเดีย

ผู้ที่รอดชีวิตพยายามสร้างแพขึ้นมาจากไม้กระดานและเสากระโดงของเรือ โดยเอกอัครราชทูตสยามพยายามว่ายน้ำเข้าฝั่ง โดยอาศัยไม้กระดานเพียงไม่กี่แผ่น ส่วนอุปทูตว่ายได้นำหน้าไป โดยเขารับหน้าที่ดูแลพระราชสาสน์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่แนบไว้กับด้ามดาบของเขา เมื่อมาถึงฝั่งก็พบชาวโปรตุเกสจำนวนมาก แต่พวกเขาไม่เหลือเสบียงอะไรเลย

ออกขุนชำนาญใจจงจึงตัดสินใจกลับไปที่เรือเพื่อเอาเสื้อผ้าและอาหาร แม้จะต้องฝ่าคลื่นลมแรง อกขุนชำนาญฯ เล่าว่า สภาพอากาศ “เย็น” และ “ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกไวต่อมัน (อากาศเย็น) มากขึ้น เพราะธรรมชาติยังไม่คุ้นเคยกับมัน”

แต่ออกขุนชำนาญก็สามารถว่ายกลับมายังฝั่งด้วยความอ่อนล้าพร้อมกับขวดไวน์และบิสกิตหกขวด แต่ไม่มีน้ำ ส่วนบิสกิตนั้นต่อมาพบว่าเสียหมดไม่สามารถใช้เป็นเสบียงได้ จากนั้น วันต่อมาผู้รอดชีวิตก็พากันเดินฝ่าป่าและพุ่มไม้โดยไม่มีอาหารและน้ำเมื่อไปยังแหลมกู๊ดโฮปที่ห่างไปเป็นเวลา 2 วัน หลังจากเดินถึงประมาณสี่โมงเย็น ก็พบหนองน้ำให้ผู้รอดชีวิตได้ดับกระหาย คณะผู้รอดชีวิตจึงตัดสินใจหยุดที่นั่น แล้วจับปูสองสามตัวมาย่างกิน

วันรุ่งขึ้น ออกเดินทางแต่เช้า โดยมีโปรตุเกสเป็นแนวหน้า แต่บันทึกกล่าว เอกอัครราชทูตคนแรกของสยามนั้น "อ่อนแรงและเฉื่อยชามากจนไม่สามารถรีบไปได้มาก เราจึงจำเป็นต้องหยุดกับเขา" จนกระทั่ง เอกอัครราชทูตคนแรกอ่อนแรงจนไปต่อไม่ไหวอีก ต้องบอกให้คนอื่นๆ ล่วงหน้าไปก่อน แล้วเมื่อพบบ้านชาวดัตช์ (ซึ่งเป็นเจ้าถิ่นในแถบกู๊ดโฮป) ค่อยส่งม้ากับของจำเป็นกลับมาช่วย

แต่แล้วยิ่งเดินทางไปเรื่อยๆ ยิ่งหลงทาง จนกระทั่งพวกโปรตุเกสทิ้งคณะทูตชาวสยามไปโดยสิ้นเชิง ทำให้ชาวสยามรวมถึงออกขุนชำนาญต้องคลำทางเอาเองท่ามกลางป่าดงของแอฟริกา แม้จะพบแหล่งน้ำเป็นระยะ แต่คนในคณะชาวสยามอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนต้องทิ้งไว้กลางทาง 7 คน แล้วที่เหลือเดินทางต่อบางครั้งไม่มีอะไรกินนอกจากหญ้า แต่โชคยังดีที่พบคนพื้นเมืองระหว่างทาง และช่วยเป็นผู้นำทางชาวสยามไปหาชาวดัตช์ โดยชาวสยามต้องเอากระดุมทองกระดุมเงินบนเสื้อผ้าเป็นของแลกเปลี่ยนอาหารกับคนพื้นเมืองเหล่านั้น 

Photo - ชาวเมืองที่อาศัยอยู่บริเวณแหลมกู๊ดโฮปซึ่งชาวโปรตุเกสขนานนามว่า คาเฟรส ภาพจากหนังสือ Códice Casanatense, ราวปี ค.ศ. 1540

จนกระทั่งวันที่ 31 ของการเดินทางฝ่าดง คนพื้นเมืองก็พบกับชาวดัตช์และนำพวกเขาไปพบกับคณะราชทูตชาวสยาม ออกขุนชำนาญฯ และคนอื่นๆ จึงได้ลิ้มรสอาหารอย่างดีเป็นครั้งแรก ออกขุนชำนาญฯ ยังแสดงความขอบคุณชาวดัตช์ด้วยการมอบเพชรที่ฝังอยู่ในแหวนทองคำที่มีติดตัวให้พวกเขา จากนั้นจึงมีการส่งคณะไปรับตัวคนสยามที่รอความช่วยเหลืออยู่ในจุดต่างๆ ส่วนคณะแรกนั้นเดินทางล่วงหน้ามายังเมืองเคปทาวน์ก่อน โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้ว่าราชการ และมีการยิงสลุตเพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์สยามด้วย

ปรากฏว่าพวกโปรตุเกสที่หนีชาวสยามมา ได้มาถึงเคปทาวน์ก่อนหน้านั้นแล้ว 8 วัน แต่เมื่อชาวสยามพบกับพวกเขานอกจากจะไม่ได้โกรธเคืองแล้ว ยังดีอกดีใจด้วยซ้ำ 

จากนั้นอีก 2 เดือนต่อมา คณะชาวสยามแข็งแรงดีแล้ว จึงเดินทางไปกับเรือของชาวดัตช์ไปยังเมืองปัตตาเวีย (จาการ์ตา) จากนั้นก็หวนกลับคืนสู่กรุงศรีอยุธยา

ส่วนออกขุนชำนาญฯ ผู้แข็งแกร่งและกล้าหาญยังใช้โอกาสนี้เรียนภาษาโปรตุเกส อันเป็นภาษากลางของเส้นทางการค้าในยุคนั้น

แต่เรื่องราวของออกขุนชำนาญฯ ยังไม่จบลงแค่นี้

เพราะความแกร่งและกล้า รวมถึงความสามารถด้านภาษากระมัง ต่อมาในปี ค.ศ. 1688 ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ได้มีการส่งคณะราชทูตไทย (หรือสยาม) ไปยังไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งประเทศฝรั่งเศสอีกครั้ง พร้อมกับถือโอกาสไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาที่กรุงโณมด้วย โดยสมาชิกของคณะราชทูตประกอบด้วย ออกขุนชำนาญใจจง ทูตอีกสองคนในคณะประกอบด้วยออกขุนวิเศษภูบาลและออกหมื่นพิพิธราชา 

บาทหลวงจากคณะเยซูอิตชาวฝรั่งเศส ชื่อ กี ตาชาร์ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขอตัวออกขุนชำนาญใจจงมาเป็นผู้นำคณะทูตนี้

Photo - บาทหลวงจากคณะเยซูอิตชาวฝรั่งเศส ชื่อ กี ตาชาร์ วาดโดย คาร์โล มารัตตา

ออกขุนชำนาญฯ นั้นกล่าวว่า “แม้ว่าข้าพเจ้าจะเพิ่งฟื้นจากความเจ็บป่วยที่ข้าพเจ้าต้องทนทุกข์มาได้ไม่นาน เรื่องราวของขุนนางที่เดินทางมาจากฝรั่งเศสก็ทำให้เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้เห็นประเทศที่พวกเขาเผยแพร่สิ่งมหัศจรรย์มากมาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ชื่นชมพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีชื่อเสียงและทรงนำความรุ่งโรจน์และคุณธรรมมาสู่ดินแดนที่ห่างไกลที่สุด”

คณะผู้แทนสยามเดินทางมาพร้อมกับบาทหลวง ตาชาร์ และซิมง เดอ ลา ลูแบร์ ทูตฝรั่งเศสประจำสยาม โดยมีผู้ร่วมทางอื่นๆ คือ  ครูสอนคำสอนศาสนาคริสตัง (คาทอลิก) จากตังเกี๋ย (เวียดนาม)  และนักเรียนชาวไทยห้าคนถูกส่งตัวไปศึกษายังวิทยาลัยหลุยส์ เลอ กรองด์ (Lycée Louis-le-Grand) ในปารีส อันเป็นวิทยาลัยทางศาสนาของคณะเยซูอิต

คณะราชทูตที่นำโดยออกขุนชำนาญใจจงออกเดินทางจากกรุงศรีอยุธยาโดยเรือเกลลาร์ดเมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1688

ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของคณะราชทูตจากหนังสือ "เรื่องทูตานุทูตของสมเด็จพระนารายน์ออกไปกรุงฝรั่งเศสครั้งสุดท้าย" โดย พระสารสาสน์พลขันธ์ (เยโรลาโม เยรินี) ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 18 

เมื่อคณะทูตเดินทางไปถึงฝรั่งเศสแล้ว ปรากฎว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ไม่ได้ประทับในปารีส และเป็นการยากที่จะเสด็จกลับมาทันเวลา "ครั้นได้ทรงทราบว่า ราชทูตสยามจะต้องไปถวายพระราชสาส์นต่อโปปกรุงโรมด้วย จึงมีพระราชดำรัสสั่งเสนาบดีให้มาแจ้งความแก่ราชทูตสยามว่า ถ้าจะรอคอยเฝ้าตามวันกำหนดนั้น ก็จะไม่ทันไปเฝ้าโปปกรุงโรม แลจะไม่ทันฤดูลมที่จะกลับไปกรุงสยามได้ เพราะฉนั้น ให้ทูตานุทูตสยามรีบไปเฝ้าโปป (สมเด็จพระสันตะปาปา) ณ กรุงโรมก่อน แล้วจึงกลับมากรุงฝรั่งเศส จึงจะได้เข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสพร้อมกัน แล้วจะได้กลับไปกรุงสยามให้ทันฤดูลม" ทั้งนี้ ฤดูลมที่เอ่ยถึงนี้หมายถึงเวลาที่กระแสลมจะพาเรือชักใบกลับไปทิศทางของประเทศสยาม หากไม่ทันกระแสลมตามฤดูกาลนี้จะต้องรอเวลาอีกเป็นปีกว่าจะเดินทางไปสยามได้อีก

Photo -  ออกขุนชำนาญใจจง วาดโดย คาร์โล มารัตตา

บันทึกประวัติศาสตร์กล่าวว่า "ครั้นทูตานุทูตสยามได้ทราบพระราชดำรัสพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสนั้นแล้ว เมื่อถึงวันที่ 5 เดือนโนเวมเบอร์ คือ เดือนพฤศจิกายนตรงกับเดือน 11 แรม 11 ค่ำในปีนั้น ทูตานุทูตสยามก็ขึ้นรถออกจากกรุงปารีสพร้อมด้วยบาดหลวงล่ามผู้กำกับแลชาวสยามคนใช้ 2 นายไปจนถึงเมือง (กัน) อันอยู่ชายทะเล ได้ลงเรือใบ 2 ลำซึ่งเสนาบดีผู้ว่าราชการต่างประเทศสั่งให้จัดมารับ ใช้ใบออกจากเมืองนั้นต่อไปจนถึงปากอ่าวเมืองเยนูวา (เจนัว Genoa) ประเทศอิตาลี พักอยู่ที่นั้นสองสามวัน ก็ใช้ใบเลียบฝั่งต่อไปอีก ได้พักตามหัวเมือง (จิวิตา เวกเกีย หรือ civitavecchia) รายทางใน ทะเลหลายเมือง ถึงปากอ่าวเมืองจิวิตา เวกวียะซึ่งเปนปากอ่าวของกรุงโรม ในวันที่ 20 เดือนธันวาคม ตรงกับเดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ ในปีนั้น เรือสองลำได้เข้าไปในลำน้ำวัน 1 ก็ถึงหน้ากรุงโรม ได้ขึ้นรถเล่ม 1 เทียมม้า 3 คู่ ซึ่งท่านมหาสังฆราชผู้ว่าราชการต่างประเทศกรุงโรมได้จัดมารับทูตานุทูตสยาม ๆ ได้พักในที่ตึกใหญ่โตรโหฐานเปนที่สำราญมาก ซึ่งท่านมหาสังฆราชจัดไว้รับรอง และมีการเลี้ยงอย่างบริบูรณ์วันละ 2 เวลา มีทหารรักษาพระองค์ของโปป (สมเด็จพระสันตะปาปา) มาประจำรักษาประตูที่พักนั้นด้วย"

ก่อนจะเข้าเฝ้าพระสันตะปาปานั้น มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับธรรมเนียมเข้าเฝ้าเรื่องหนึ่ง คือ ตามปกติแล้วจะต้องจูบที่พระบาทของพระสันตะปาปา แม้แต่กษัตริย์ในยุโรปก็ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมนี้ กระนั้นก็ตาม ธรรมเนียมการจูบพระบาทนี้เคยเป็นเหตุให้เกิดการต่อต้านและเป็นถูกยกขึ้นมาเป็นเหตุผลในการ "ชำระพระศาสนา" โดยมาร์ติน ลูเธอร์ ในยุคการปฏิรูปศาสนามาแล้วในศตวรรษก่อนๆ โดย ลูเธอร์ ชี้ว่าเป็น "ความเย่อหยิ่งที่อนุญาตให้พระจักรพรรดิจูบพระบาทของพระสันตะปาปา หรือนั่งแทบพระบาท หรืออย่างที่กล่าวว่า ต้องถือบังเหียนและโกลนของลาพระที่นั่งเมื่อพระสันตะปาปาทางประทับลา" 

เนื่องจากศาสนจักรในยุโรปได้ผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวมา อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลมาที่เริ่ม "ยุคแห่งเหตุผล" ในยุโรปแล้ว ดังนั้นก่อนที่จะถึงเวลาเข้าเฝ้า "ครั้นถึงวันที่ 27 เดือนธันวาคมในปีนั้น กำหนดวันที่ทูตานุทูตสยามพร้อมกันจะได้เข้าเฝ้าโปปนั้น ฝ่ายโปปได้ทรงทราบว่า ทูตานุทูตสยามถือสาสนาต่างกัน จะมีความรังเกียจในธรรมเนียมที่ต้องจูบพระบาทซึ่งแสดงความนับถือต่อโปปตามจารีตประเพณีของโรมันแต่โบราณสืบมา เพราะฉนั้น จึงโปรดให้ยกเลิกธรรมเนียมที่ราชทูตจะต้องจูบพระบาทนั้นเสีย โปรดให้เข้าเฝ้าตามธรรมเนียมปรกติ มิได้ต้องจูบ"

Photo - ออกขุนวิเศษภูบาล วาดโดย คาร์โล มารัตตา

จากนั้นก็ถือเวลาเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาเสียที ซึ่งรายละเอียดในหนังสือมีดังนี้

"ครั้นถึงเวลากำหนดนั้น ท่านมหาสังฆราชผู้ว่าราชการต่างประเทศจัดให้ขุนนางที่ 2 ของเสนาบดีคน 1 กับบาดหลวง 1 คุมรถที่นั่งของโปป 2 รถ ไปรับทูตานุทูตสยามตามธรรมเนียมราชทูตใหญ่ฝ่ายเมืองเอกราช รับราชทูตสยามมาในรถ ๆ มาตามถนน มีชาวกรุงโรมมาคอยดูราชทูตสยามตามถนนเปนอันมากเหลือที่จะประมาณ รถทูตานุทูตสยามถึงประตูพระราชวังโปปนั้น มีพลทหารรักษาพระองค์เปนอันมากมายยืนรับสองข้างถนนตั้งแต่ประตูพระราชวังจนถึงในพระราชวัง รถทูตานุทูตสยามเข้าในพระราชวังจนถึงเชิงบันไดท้องพระโรง จึงลงจากรถ ขณะนั้น มหาสังฆราช ชื่อ จีโบ เปนตำแหน่งอรรคมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ มายืนคอยรับราชทูตสยามอยู่ที่เชิงบันไดท้องพระโรงด้วย เวลานั้น มีพระสังฆราช แลบาดหลวงผู้ใหญ่ แลข้าราชการฝ่ายฆราวาศเปนอันมาก ยืนอยู่ตามท้องชาลาน่าท้องพระโรง แลสองข้างบนท้องพระโรงเต็มแน่นอัดแอกันไม่มีช่องจะเดินได้ เพราะฉนั้น นายทหารรักษาพระองค์ที่นำน่าราชทูตสยามจึงไล่คนที่ยืนตามบันไดให้หลีกเปนช่องทางให้ราชทูตสยามเดินขึ้นไปได้ ในท้องพระโรงนั้น ราชทูตเชิญพานแว่นฟ้าทองคำรับราชสาส์น ๆ จารึกลงในแผ่นสุพรรณบัตรกว้าง 6 นิ้ว ยาวศอกเศษ ม้วนบรรจุไว้ในผะอบทองคำลงยาราชาวดีอย่างใหญ่ พระสุพรรณบัตรกับผะอบรวมน้ำหนักประมาณทอง 2 ชั่ง มีถุงตาดเทศดวงทองหุ้มผะอบ แลมีสายรัดผูกปากถุง มีภู่ทองสองภู่ติดที่ปลายสายรัดด้วย ผะอบนั้นตั้งอยู่ในหีบถมตะทอง ๆ ตั้งอยู่บนพานแว่นฟ้าทองคำ"

"อุปทูตเชิญเครื่องมงคลราชบรรณาการ มีถุงตาดตาตั๊กกะแตนหุ้มตั้งบนพานทองคำชั้นเดียว ตรีทูตเชิญของถวาย เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ อรรคมหาเสนาบดีกรุงสยาม มีถุงเข้มขาบพื้นเขียวหุ้ม 1 ถุงตั้งบนพานถมตะทองสำหรับถวายโปป ทูตานุทูตสยามทั้ง 3 นายแต่งกายเต็มยศตามธรรมเนียมสยาม คือ นุ่งยกทองพื้นเขียว สวมเสื้อสักหลาดแดงขลิบทอง คาดเข็มขัดสายทองคำนอกเสื้อ เหน็บกระบี่ฝักแลด้ามทองคำ สวมพอกเกี้ยวกระจังทองคำสูงสามนิ้วปักดอกไม้ไหวเพ็ชร มีสายสร้อยทองคำผูกนอกรัดคาง เหมือนกันทั้ง 3 นาย เดินเข้าไปในท้องพระโรงพร้อมด้วยบาดหลวงล่ามผู้กำกับไปจากกรุงสยามนั้น ฝ่ายโปปทรงพระนามว่า พระเจ้าอินนอเซนต์ที่ 11 เอกอรรคมหาชนกาธิปตัยในกรุงโรม เสด็จออกประทับบนพระแท่นในท้องพระโรง มีมหาสังฆราชนั่งบนเก้าอี้ต่อน่าพระที่นั่งออกมาสองข้าง ๆ ละ 4 รูป ราชทูตสยามเชิญพานพระราชสาส์นเดินตรงเข้าไปตั้งไว้บนโต๊ะตรงน่าพระแท่น แล้วเดินถอยหลังออกมาพักนั่งที่เฝ้า ขณะนั้น บาดหลวงล่ามผู้กำกับจึงเดินเข้าไปตรงพระแท่นในน่าท้องพระโรง ก็คุกเข่าลงถวายคำนับครั้งหนึ่ง แลลุกเดินเข้าไปถึงกลางท้องพระโรง ก็คุกเข่าลงถวายคำนับเป็นครั้งที่ 2 แล้วลุกเดินเข้าไปถึงน่าพระแท่น คุกเข่าลงถวายคำนับเป็นครั้งที่ 3 แล้วจึงจูบพระบาทยุคล ฝ่ายโปปจึงโปรดให้บาดหลวงล่ามนั้นยืนขึ้น ๆ แล้วจึงก้มศีรษะถวายคำนับ แล้วก็เดินถอยหลังออกมาห่างจากน่าพระแท่น แต่พอถึงที่สุดท้ายเก้าอี้มหาสังฆราชทั้ง 8 ท่านนั้น จึงถวายคำนับอิกครั้งหนึ่ง แล้วทูลเบิกทูตานุทูตสยามเข้ามาเฝ้า กล่าวด้วยพระราชดำริของสมเด็จพระนารายน์มหาราชเจ้าทรงพระปรารภจะใคร่เจริญทางพระราชไมตรีต่อกรุงโรมเป็นข้อต้น แลการที่ทรงพระมหากรุณาทำนุบำรุงบาดหลวงทั้งหลายที่สั่งสอนคริสตศาสนาอยู่ในกรุงสยามด้วย แลกล่าวการที่เป็นมงคลอีกหลายประการ"

"ฝ่ายโปปจึงตรัสตอบทรงแสดงความชื่นชมยินดีเปนอันมาก บาดหลวงล่ามจึงเชิญพานพระราชสาส์นไปจากโต๊ะนำไปถวายต่อพระหัดถ์โปป โปปทรงรับพระราชสาส์นนั้นแล้วก็ทรงคลี่ออกทอดพระเนตรทราบสิ้นทุกประการ"

Photo - ออกหมื่นพิพิธราชา วาดโดย คาร์โล มารัตตา

จากนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาป "จึงรับสั่งให้บาดหลวงเรียกทูตานุทูตสยามเข้ามาใกล้พระองค์ ขณะนั้น ทูตานุทูตสยามคลานมาสองสามก้าวก็หยุดถวายบังคม 3 หนครั้ง 1 แล้วก็คลานเข้าไปอีกสองสามก้าวก็หยุดถวายบังคม 3 หนอีกครั้ง 1 แล้วคลานเข้าไปอีกสองสามก้าวใกล้พระแท่น แล้วจึงถวายบังคม 3 หนอีก ครั้ง 1 ในครั้งที่สุดท้ายนั้น ราชทูตถวายบังคมก้มศีรษะลงให้ยอดลำพอกจดชายฉลองพระองค์ทั้งสามครั้ง แล้วคลานถอยหลังออกมาห่างพระแท่นถึงท้ายเก้าอี้มหาสังฆราชทั้ง 8 รูป แล้วอุปทูตตรีทูตก็ผลัดกันคลานเข้าไปทำเช่นราชทูตนั้นทุกคน แล้วจึงคลานออกมาเรียงอยู่ตามลำดับตำแหน่งยศทูตานุทูตในกลางท้องพระโรงนั้น" จากนั้นแล้ว "ในขณะนั้น มหาสังฆราชผู้หนึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงน่าพระแท่น แล้วจึงปลดพระภูษาที่คล้องพระศอทับนอกฉลองพระองค์นั้นออกแล้ว โปปจึงตรัสพระราชทานพระพรแก่ทูตานุทูตสยามตามธรรมเนียมเสร็จแล้วจึงเสด็จขึ้น"

ในการเข้าเฝ้าครั้งนั้น ได้มีการวาดภาพคณะราชทูตสยามเอาไว้ด้วย เป็นภาพขณะที่กำลังถวายบังคมสมเด็จพระสันตะปาปา และภาพเหมือนของราชทูตสยามแต่ละคน วาดโดย คาร์โล มารัตตา (Carlo Maratta) จิตรกรและช่างเขียนแบบชาวอิตาลีในยุคบาโรก ผู้มีผลงานโดดเด่นในกรุงโรมในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 17 โดยทำงานให้กับลูกค้าที่มีชื่อเสียงในกรุงโรม รวมถึงพระสันตปาปาหลายพระองค์ 

หลังจากเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาแล้วราชทูตสยามก็ได้ไปเยี่ยมชมกรุงโรม "ได้ไปเที่ยวชมถิ่นฐานบ้านเมือง แลตึกใหญ่น้อย แลวัดวาอารามทุก ๆ แห่งในจังหวัดกรุงโรม แลได้ไปดูสิ่งของโบราณ มีตึกและโบสถ์วิหารเป็นต้น หลายแห่ง เป็นที่พิศวงน่าชมล้วนประหลาดยิ่งนัก" และได้อยู่ที่กรุงโรมจนถึงวันได้ร่วมพิธีวันคริสต์มาส และยังได้ร่วมพิธีวันขึ้นปีใหม่ปี 1688 ซึ่งในโอกาสนั้นคณะราชทูตก็ได้เข้าเฝ้าพระสันตะปาปาอีกครั้งเพื่อถวายบังคมล พระสันตะปาปาปจึงพระราชทานพระราชสาส์นสนองพระเจ้ากรุงสยามฉบับหนึ่ง

จากนั้น "ครั้นถึงวันที่ 7 เดือนมกราคม ทูตานุทูตสยามก็ออกจากกรุงโรม มีความยินดีที่โปปทรงรับรองแข็งแรงสมแก่เกียรติยศดังนั้น แล้วก็โดยสารลงเรือไปวันหนึ่ง จึงถึงเมืองจิวิตา เวกเกีย หัวเมืองปากอ่าวชายทะเลของกรุงโรม ผู้รักษาเมืองนั้นก็ออกมาต้อนรับพร้อมด้วยกรมการแลพลทหารที่ประจำเมืองทั้งปวง แลกำปั่นของโปปที่ทอดสมอในอ่าวนั้นจึงยิงปืนใหญ่คำนับทูตานุทูตสยามเปนการเอิกเกริกใหญ่ยิ่ง ผู้รักษาเมืองก็พาทูตานุทูตสยามไปพักในจวนเมืองนั้น แล้วจัดการเลี้ยงราชทูตสยามที่บนทำเนียบตามสมควร รุ่งขึ้น วันอาทิตย์ เป็นวันที่ 9 เดือนมกราคม ทูตานุทูตสยามกับบาดหลวงล่ามผู้กำกับพร้อมกันลงเรือกำปั่นใบชาวเกาะมระตา (มอลตา หรือ Malta) ใช้ใบไปยังกรุงฝรั่งเศส"

นี่คือการเดินทางของคณะราชทูตสยามที่นำโดยออกขุนชำนาญฯ ซึ่งได้พบกับสมเด็จพระสันตะปาปา จนเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ไทยและศาสนจักรคาทอลิก

Photo - คณะik=ทูตสยามเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 11 วาดโดย คาร์โล มารัตตา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คณะราชทูตสยามที่นำโดยออกขุนชำนาญฯ ไม่ทราบก็คือ ในขณะที่พวกเขาอยู่ที่กรุงโรมและฝรั่งเศสนั้น ที่กรุงศรีอยุธยาได้เกิดการรัฐประหารขึ้นนำโดยพระเพทราชา และมีการกวาดล้าง "พวกฝรั่งเศส" และจับกุมบาดหลวงชาวฝรั่งเศสในกรุงศรีอยุทธยาครั้งใหญ่ 

กว่าที่คณะของออกขุนชำนาญฯ จะมาถึงกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งก็เป็นหลังปี  ค.ศ. 1690 ในเวลานั้นออกขุนชำนาญใจจง ซึ่งได้ไปเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาในฐานะไม่ใช่ชาวคริสตัง ก็ได้เข้ารีตเปลี่ยนมานับถือศาสนาคาทอลิกในภายหลัง โดยไม่ทราบว่าบรรยากาศการนับถือศาสนาอย่างเสรีและ "ความนิยมฝรั่ง" ในกรุงศรีอยุธยาได้จบสิ้นลงแล้วหลังการยึดอำนาจโดยพระเพทราชา

โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better 

TAGS: #พระสันตะปาปา #อยุธยา #ออกขุนชำนาญใจจง