ธนาคารโลกคาดการณ์ GDP ไทยปี 66 โต 3.6% รับท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศหนุน แต่ส่งออกยังชะลอตัว แนะรัฐเร่งรับมือ สังคมสูงวัย จีนสหรัฐ และเทคโนโลยี
ธนาคารโลก (World Bank) เผยรายงาน อัพเดทเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกในเดือนเมษายน 2566 โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะเติบโตได้ 3.6% เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่เติบโตได้ 2.6% โดยปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ยังคงอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการระบาดใหญ่ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวในประเทศที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะนับตั้งแต่ต้นปี 2566 ที่กิจกรรมการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับชาติอื่นในอาเซียน ธนาคารโลกมองว่า เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ช้ากว่าประเทศอื่นในอาเซียน เนื่องจากมีปัจจัยหลักที่มาจากภาคการท่องเทียว และการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ขณะที่ภาคการส่งออกไทย ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/65 จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ตลอดจนนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้น และเงินเฟ้อที่ทำให้การส่งออกของไทยยังคงไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร
ขณะเดียวกันธนาคารโลกยังมองว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก จะเร่งตัวขึ้นในปี 2566 เนื่องจากการกลับมาเปิดประเทศของจีน ในขณะที่อัตราการขยายตัวของประเทศส่วนใหญ่ที่เหลือในภูมิภาคคาดว่าจะชะลอตัวลงหลังจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา
โดยเศรษฐกิจทั่วภูมิภาคแม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่อาจมีข้อจำกัดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น และสภาวะทางการเงินที่ตึงตัวเพื่อตอบสนองต่อเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามรายงานอัพเดทเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เมษายน 2566 ของธนาคารโลก
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นเป็น 5.1% ในปี 2566 จาก 3.5% ในปี 2565 เนื่องจากการกลับมาเปิดประเทศของจีน ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 5.1% จาก 3% ในปีที่ผ่านมาการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคไม่รวมประเทศจีนคาดว่าจะอยู่ในระดับปานกลาง ถึง 4.9% จากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ 5.8% ในปี 2565 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นในบางประเทศได้ส่งผลกระทบต่อการบริโภค
มานูเอลา วี. เฟอโร รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกกล่าวว่า “แม้ว่าประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกได้ผ่านความยากลำบากจากสถานการณ์โรคระบาด แต่ตอนนี้ต้องมารับมือกับภูมิทัศน์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น เพื่อให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ จึงยังมีสิ่งที่ต้องดำเนินการ เพื่อให้เกิดการส่งเสริมนวัตกรรม เพิ่มผลิตภาพ และวางรากฐานสำหรับการฟื้นตัวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”
ในบรรดาประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคส่วนใหญ่ รวมถึงอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในระดับปานกลางในปี 2566 เนื่องจากการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2565 สำหรับประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในปี 2566 ยกเว้นกรณีของฟิจิที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษในปี 2565 มีแนวโน้มขยายตัวในระดับปานกลาง
ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกมีการเติบโตที่สูงกว่า และมีเสถียรภาพมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคอื่น ส่งผลให้ความยากจนลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับกรณีของความเหลื่อมล้ำที่ลดลงในทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการเพิ่มระดับรายได้ต่อหัวให้ทันประเทศเศรษฐกิจหลักได้ชะงักลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเติบโตของผลิตภาพและการปฏิรูปโครงสร้างได้ชะลอตัวลง ดังนั้น การจัดการกับ “ช่องว่างการปฏิรูป” ที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ จะสามารถขยายผลกระทบของการปฏิวัติดิจิทัล และเพิ่มประสิทธิภาพในภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ด้านค้าปลีกและการเงิน ไปจนถึงด้านการศึกษาและสุขภาพ
นอกจากนี้ เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ยังต้องรับมือกับความท้าทายที่สำคัญ 3 ประการ ที่ผู้กำหนดนโยบายต้องเร่งดำเนินการเพื่อรักษาและเร่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากผลของโควิด-19 ได้แก่ สถานการณ์ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างประเทศคู่ค้าหลัก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุน
เทคโนโลยีที่มีการแลกเปลี่ยนกันในภูมิภาคเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ดิจิทัล และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วของประเทศหลัก ๆ ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เกิดความท้าทายและความเสี่ยงชุดใหม่ที่มีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดุลการคลัง และด้านสุขภาพ และประการสุดท้าย ภูมิภาคนี้มีความเสี่ยงเป็นพิเศษจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความหนาแน่นของประชากร และกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวชายฝั่ง