ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์และมูลนิธิรักษ์ตับ จัดงาน Voice of Liver ครั้งที่ 4 ผนึกกำลังแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ ร่วมขับเคลื่อนการเข้าถึงยานวัตกรรมรักษามะเร็งตับ
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ร่วมกับมูลนิธิรักษ์ตับ จัดงาน Voice of Liver ฟังเสียงตับ รับมือมะเร็ง ครั้งที่ 4 เพื่อระดมพลังจากแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และภาคีเครือข่าย รับฟังเสียงของผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลาม พร้อมผลักดันให้พวกเขาสามารถเข้าถึงยานวัตกรรมได้อย่างเท่าเทียม โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
ในงานครั้งนี้จัดขึ้นเนื่องในวันมะเร็งโลก 2568 และได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญในวงการแพทย์และสาธารณสุขเข้าร่วม อาทิ ศ.เกียรติคุณ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รักษาการรองเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์, นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์, รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รวมถึงตัวแทนจากมูลนิธิรักษ์ตับและภาคีเครือข่าย ที่ร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงสิทธิในการเข้าถึงการรักษามะเร็งตับด้วยยานวัตกรรม
มะเร็งตับ: ปัญหาสาธารณสุขที่ท้าทายของไทย
มะเร็งตับเป็นภัยเงียบที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 1 และเป็นอันดับ 4 ของโลก แม้ว่าปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีการรักษาที่ก้าวหน้า แต่ผู้ป่วยจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงยานวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพได้ ศ.เกียรติคุณ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน ระบุว่า มะเร็งตับที่พบในไทยมี 2 ชนิดหลัก ได้แก่ มะเร็งเซลล์ตับ (Hepatocellular Carcinoma - HCC) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีเรื้อรัง และ มะเร็งท่อน้ำดีในตับ (Cholangiocarcinoma - CCA) ที่เกิดจากพยาธิใบไม้ตับ โดยพบมากในภาคอีสานและภาคเหนือ
“ปัจจุบันมียารักษามะเร็งตับแบบภูมิคุ้มกันบำบัดที่ช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษาแบบเดิม และช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลามมีอัตราการรอดชีวิตที่สูงขึ้น แต่ข้อจำกัดคือ ยาดังกล่าวยังไม่ถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงการรักษานี้” ศ.เกียรติคุณ นพ.รัชตะ กล่าว
เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จึงได้ดำเนินโครงการศึกษาวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีคัดกรองและเฝ้าระวังมะเร็งตับและท่อน้ำดี โดยนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ร่วมกับการประมวลผลภาพอัลตราซาวด์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วย
กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้าผลักดันการรักษามะเร็งแบบครอบคลุม นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มะเร็งตับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล โดยประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เฉลี่ยปีละ 183,541 คน และมะเร็งตับพบสูงถึง 27,963 คน
กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินนโยบาย “มะเร็งครบวงจร” ครอบคลุมตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน คัดกรอง วินิจฉัย รักษา บำบัด และฟื้นฟู เพื่อช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังมีนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” หรือ Cancer Anywhere ที่ให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพทุกแห่งได้โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัวและไม่มีค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งโครงการ “ทีมนักรบสู้มะเร็ง” หรือ Cancer Warrior เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกับระบบการส่งต่อผู้ป่วยผ่านแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น TCB Plus และ Health Link ช่วยให้การส่งต่อข้อมูลและการรักษาผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความหวังใหม่ของผู้ป่วย: การเข้าถึงยานวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ
นพ.จำรัส พงษ์พิศ อายุรแพทย์โรคตับ โรงพยาบาลหนองคาย และตัวแทนมูลนิธิรักษ์ตับ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนใหญ่ได้รับเพียงการรักษาแบบประคับประคอง ซึ่งช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้เพียง 3-6 เดือน ขณะที่การใช้ ยามุ่งเป้า ช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิตเป็น 10-13 เดือน และการใช้ ยาภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมกับยาต้านการสร้างหลอดเลือด สามารถช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลามมีอัตราการรอดชีวิตสูงถึง 19.2 เดือนในระดับสากล และ 24 เดือนในประเทศจีน
“ยานวัตกรรมเหล่านี้ยังไม่ถูกบรรจุในชุดสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ จึงจำเป็นต้องได้รับการผลักดันจากภาครัฐ เพื่อให้ผู้ป่วยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพอย่างเท่าเทียม” นพ.จำรัสกล่าว
แนวทางการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ภายในงานยังมีการเสวนาในหัวข้อ “การเข้าถึงยานวัตกรรมมะเร็งตับ: อีกก้าวที่ใกล้ความจริง” โดยผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ นักวิชาการ แพทย์ และอดีตผู้ป่วยมะเร็งตับที่ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับปัญหาในการเข้าถึงการรักษา พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไข
พญ.จอมธนา ศิริไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวถึงแนวคิดการจัดตั้ง “กองทุนยามะเร็ง” เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยานวัตกรรมได้เร็วขึ้น โดยศึกษาต้นแบบจากประเทศอังกฤษ อิตาลี และไต้หวัน “หากไม่มีการเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ผู้ป่วยมะเร็งตับจะยังต้องพึ่งพาการรักษาแบบเดิม ๆ ที่ไม่เพียงพอ เราต้องร่วมมือกันเพื่อให้ผู้ป่วยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่ดีขึ้น และลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับในอนาคต” พญ.จอมธนากล่าว
งาน Voice of Liver ฟังเสียงตับ รับมือมะเร็ง ครั้งที่ 4 จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนให้ผู้ป่วยมะเร็งตับได้รับสิทธิในการรักษาที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง