Bangkok International Film Festival 2025 กลับมาอีกครั้งหลัง 16 ปี กับหนังกว่า 200 เรื่องจาก 40 ประเทศ เปลี่ยนกรุงเทพฯ สู่เมืองแห่งภาพยนตร์
หลังจากห่างหายไปนานกว่าสิบหกปี กรุงเทพฯ กำลังจะกลับมาเป็นเจ้าภาพของงาน Bangkok International Film Festival 2025 (BKKIFF 2025) อีกครั้ง เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่คราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การฉายหนัง แต่คือ “เวทีแห่งวัฒนธรรมร่วมสมัยของเอเชีย” ที่จะเปลี่ยนเมืองให้กลายเป็นจุดหมายใหม่ของคนทำหนังและคนรักหนังจากทั่วโลก
เทศกาลครั้งนี้กินเวลาถึง 19 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน – 15 ตุลาคม 2568 พร้อมผลงานมากกว่า 200 เรื่องจาก 40 ประเทศ ครอบคลุมทั้งหนังยาว หนังสั้น สารคดี แอนิเมชัน ไปจนถึงโปรแกรมประกวดที่ถูกคัดสรรอย่างประณีต เสน่ห์ของ BKKIFF 2025 คือการผสมผสานระหว่างผู้กำกับรุ่นใหญ่ที่มีลายเซ็นชัดเจน กับผู้สร้างสรรค์รุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยไฟและมุมมองสดใหม่
ภาพยนตร์เปิดเทศกาลอย่าง “ธีหยด 3” คือการประกาศตัวตนว่าหนังไทยพร้อมจะยืนบนเวทีโลก ขณะเดียวกันผู้ชมยังจะได้เห็นหนังเด่นที่เคยสร้างกระแสในเทศกาลระดับตำนานอย่าง Cannes, Venice และ Berlin ที่มาฉายที่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก รวมถึงโปรแกรม World Cinema ที่พาเราออกเดินทางสำรวจโลกผ่านเรื่องเล่าหลากหลาย และ Special Screening ของผลงานคลาสสิกที่หาดูได้ยาก—ตั้งแต่ KOKUHO จากญี่ปุ่นที่ถูกยกให้เป็นหนังที่ดีที่สุดในรอบหลายปี ไปจนถึง Sound of Falling ตัวแทนจากเยอรมนีที่เพิ่งคว้ารางวัลจากเมืองคานส์
นอกจากหนังนานาชาติแล้ว เทศกาลยังจัด Thai Showcase ที่รวบรวมผลงานร่วมสมัยจากผู้กำกับไทย เพื่อสะท้อนพลังสร้างสรรค์และศักยภาพของวงการภาพยนตร์ไทยที่กำลังก้าวไกลสู่เวทีโลก นี่คือช่วงเวลาที่คนทำหนังไทยจะได้แสดงพลังต่อสายตานักวิจารณ์และผู้ชมต่างชาติแบบใกล้ชิด
และถ้าใครคิดว่าเทศกาลนี้มีแค่การฉายภาพยนตร์ กิจกรรมเบื้องหลังต่างหากที่เป็น “หัวใจ” ของงาน ไม่ว่าจะเป็น ตลาดหนังนานาชาติ (Film Market) ที่เชื่อมโยงผู้สร้างกับผู้จัดจำหน่ายและนักลงทุนจากกว่า 50 บริษัท, เวทีสัมมนาและมาสเตอร์คลาสจากผู้กำกับและนักแสดงระดับโลก, ไปจนถึง Project Pitching ที่เปิดโอกาสให้นักทำหนังรุ่นใหม่พรีเซนต์ไอเดียต่อสายตานักลงทุน พร้อมชิงเงินรางวัลกว่า 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ทุกองค์ประกอบสะท้อนให้เห็นว่า BKKIFF 2025 ไม่ได้เป็นเพียงงานเทศกาลเพื่อคนรักหนัง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ต่อยอดสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ตั้งแต่การท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ไปจนถึงบริการเชิงวัฒนธรรมอื่น ๆ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่กับการสร้างพื้นที่ทางศิลปะ
ตลอด 19 วัน กรุงเทพฯ จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น “เมืองแห่งภาพยนตร์” ที่เต็มไปด้วยความฝัน ความคิดสร้างสรรค์ และโอกาสใหม่สำหรับคนทำหนังทั้งไทยและต่างประเทศ และนั่นคือความหมายที่แท้จริงของการกลับมาครั้งนี้—การประกาศศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางวัฒนธรรมและภาพยนตร์แห่งเอเชีย