จับตา'ทุนเทากัมพูชา'กว้านซื้อทองคำเพื่อฟอกเงิน จนเป็นตัวการ"ทำลายสมดุลการเงินไทย"

จับตา'ทุนเทากัมพูชา'กว้านซื้อทองคำเพื่อฟอกเงิน จนเป็นตัวการ

มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในโลกอยู่สองเรื่อง และทั้งสองเรื่องเกี่ยวกับ "ทองคำ"

เรื่องแรกคือ ราคาทองคำสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดคำถามว่า "ใครทำอะไรกับทองคำหรือเปล่า?" 

เรื่องนี้ตอบได้ไม่ยาก เพราะธนาคารกลางทั่วโลกกำลังตุนทองคำอย่างบ้าระห่ำ อันเป็นผลมาจากดอลลาร์อ่อนค่าและพันธบัตรสหรัฐถูกเมิน เนื่องจากสงครามการค้า

ยังรวมถึงตลาดต้องการทองคำเพื่อตอบรับกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในหลายประเทศ 

ข้างต้นนี้ดูๆ ไปก็ไม่ผิดปกติอะไร แต่จริงๆ แล้วผิดอย่างมาก เพราะเป็นผลมาจากนโยบายที่พิลึกพิลั่นของโดนัลด์ ทรัมป์ 

กระนั้นก็ตาม แม้นมันจะพิลึกแค่ไหน ก็ยังถือว่าอยู่ในกลไกที่ยอมรับได้และไม่ผิดกฎกติกาใดๆ

เรื่องผิดปกติที่สองก็คือ ทองคำปริมาณมหาศาลถูกซื้อจากไทยแล้วโยกย้ายไปยังกัมพูชา โดยที่หน่วยงานกำกับดูแลเพิ่งจะสังเกตเห็นเมื่อเร็วๆ นี้ 

ผลของการซื้อทองคำออกไป ทำให้เงินบาทแข็งค่า และผลที่ตามมาก็คือภาคส่งออกจะขายไม่ออก

ต่อมาเราได้ทราบว่า ทองคำเหล่านี้อาจถูกซื้อไปโดย "ทุนเทากัมพูชา" และวันนี้ก็ยังมีข่าวว่าตำรวจสามารถสกัดจับพวก "บัญชีม้า" ในไทยที่ทำหน้าที่ไปซื้อทองและเตรียมจะโยกย้ายไปให้พวกทุนเทา

การใช้ทองคำของพวกทุนเทามีเหตุผลสองประการ คือ หนึ่ง เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง สอง กัมพูชาเริ่มที่จะลดการใช้เงินดอลลาร์ (De-dollarization) สาม ทองคำเป็นสินทรัพย์ใช้ฟอกเงินได้ดีโดยไม่ทิ้งร่องรอยทางการเงินเอาไว้

นี่คือความผิดปกติอย่างแท้จริง เพราะเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้และผิดกฎหมายของประเทศต่างๆ 

และผมอาจจะคิดมากไปหน่อยก็ได้ 

แต่การกว้านซื้อทองของใครก็ตามในกัมพูชายังเป็นการทำลายศักยภาพการค้าของไทยอยู่ดี ในช่วงเวลาที่เราเองก็เจอภาษีทรัมป์หนักหน่วงพอแล้ว ยิ่งเงินบาทแข็ง (และดอลลาร์อ่อนลงๆ) แบบนี้ภาคส่งออกที่เป็นเสาหลักของชาติจะรอดได้อย่างไร 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาคการท่องเที่ยว ทุกวันนี้ นักท่องเที่ยวเริ่มบ่นว่า "เมืองไทยไม่ได้ถูกอย่างที่คิด" ซึ่งก็จริงของเขา เพราะอย่าว่าแต่ฝรั่งมังค่าเลย คนไทยกันเองก็เริ่มบ่นว่าของแพงจนกินข่าวนอกบ้านกันไม่ลงแล้ว

ผมอาจจะคิดมากไป แต่ก็อดคิดไม่ได้ เพราะเขียนและพูดเรื่อง "สงครามไร้ขีดจำกัด" ไว้มาก โดยเตือนให้ระวัง "กัมพูชาจะทำสงครามการเงินและเศรษฐกิจกับไทย"

ยังไม่ทันขาดคำก็มีประเด็นเรื่องทองไหลเข้ากัมพูชา แล้วเงินบาทแข็งโป๊กเสียก่อน

การที่เงินบาทแข็งมีหลายสาเหตุก็จริง แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ชี้ด้วยว่าเป็นเพราะความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น อีกทั้งผู้ช่ำชองในวงการธุรกิจก็ชี้ว่าเพราะทองคำไหลจากไทยเข้าไปในกัมพูชาด้วย 

ทัศนะเหล่านี้บางทีก็ขัดแย้งกัน เช่นเดียวกับทฤษฎีทางเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ว่าจะลงรอยกันได้ทุกทฤษฎี ที่ตีกันเองก็มีมาก

กระนั้นก็ตาม สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เป็น "วิธีการที่อาชญากรใช้ทองคำในการฟอกเงิน"

เพราะไม่ใช่แค่การขนทองคำจากไทยเข้ากัมพูชาอย่างมโหฬารเท่านั้น เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้เองที่ไต้หวัน เจ้าหน้าที่พบกลุ่มฉ้อโกงการลงทุนปลอมที่แปลงเงินที่ขโมยมาให้เป็นทองคำ ห่อด้วยแท่งตะกั่วเพื่อทำเป็นฉนวนไม่ให้ตรวจพบว่าเป็นทองคำ แล้วขนส่งทองเหล่านั้นทางอากาศไปยังกัมพูชาเพื่อฟอกเงิน โดยคนเหล่านี้ลักลอบนำทองคำเข้ามาไม่ต่ำกว่า 300 กิโลกรัมภายในหนึ่งปี มูลค่าเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน

ไม่ใช่แค่กรณีนี้ แต่อาจจะทำกันมาตั้งแต่ 10 ปีที่แลเว ตอนที่กัมพูชาเริ่มเป็น "ฮับของพวกสแกมเมอร์"  เช่นกรณีที่เจ้าหน้าที่ไต้หวันได้สกัดกั้นพัสดุภัณฑ์สองห่อบรรจุฉนวนผสมตะกั่วสองแผ่นที่กลุ่มอาชญากรรมตั้งใจจะส่งไปยังกัมพูชาและเวียดนาม (ชายแดนเวียดนามกัมพูชาเป็นศูนย์สแกมเมอร์ใหญ่อีกที่หนึ่ง) น้ำหนักรวมของทองคำแท่งที่ยึดได้คือ 24 กิโลกรัม โดยคนกลุ่มนี้ได้ลักลอบขนทองคำไปกัมพูชามาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2557 โดยหากพิจารณาจากปริมาณการลักลอบขนทองคำรายเดือนที่ประมาณ 30 กิโลกรัม กลุ่มดังกล่าวอาจลักลอบขนทองคำออกนอกประเทศเพื่อฟอกเงินมากกว่า 300 กิโลกรัม

ดังนั้น การขนทองจากไทยไปกัมพูชา จึงอาจไม่ได้ทำโดยคนกัมพูชา แต่ทำโดยคนประเทศที่สองและสาม แต่ให้จับตา "ไต้หวันเทา" และ "จีนเทา"  เอาไว้ เพราะคนกลุ่มนี้เป็น "ตัวบอส" ของการทำสแกมเมอร์ในกัมพูชา 

ดูเผินๆ การฟอกเงินด้วยทองคำไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร เช่น จากรายงานของ FATF (หน่วยปฏิบัติการทางการเงิน) ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐบาลเพื่อกวาดล้างกาฟอกเงิน อธิบายไว้ว่า มีกรณีหนึ่งที่สหรัฐฯ พวกแก๊งค้ายาจะนำเงินที่ได้ไปเร่ซื้อทองคำจากร้านทองหลายๆ แห่ง จากนั้นนำทองไปขายผ่านโบรกเกอร์

แต่รายงานของ FATF ก็ยังยกตัวอย่างกระบวนการที่ซับซ้อนขึ้นไปอีก เช่น

แก๊งค้ายาเสพติดในฝรั่งเศสจะเก็บเงินผ่านบุคคลที่ถูกเรียกว่า "ล่อ" (สัตว์ที่เป็นลูกผสมลาตัวผู้และม้าตัวเมีย หรือในไทยก็คือพวก "บัญชีม้า") พวก "บัญชีล่อ" ก็รู้ว่าเงินมาจากการก่ออาชญากรรม แต่พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวอาชญากรรมด้วยตนเอง การใช้บัญชีล่อก็เพื่อสร้างระยะห่างระหว่างการทำอาชญากรรมกับการเป็นบัญชีล่อ FATF อธิบายว่า การทำแบบนี้ "ทำให้ยากที่จะพิสูจน์ว่าเงินนั้นเป็นเงินที่ได้จากการกระทำผิดเบื้องต้นที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในหลายเขตอำนาจศาลเพื่อพิสูจน์การฟอกเงิน"

การสืบสวนประเมินว่าภายในระยะเวลาหกเดือน กลุ่มบัญชีล่อสามารถรวบรวมเงินได้มากกว่า 10 ล้านยูโร ไม่เพียงเป็นตัวเก็บเงิน แต่ "บัญชีล่อ" ยังรับคำสั่งซื้อจากพ่อค้ายาเสพติดให้นำเงินมาจ่ายให้กับคนกลางชาวอินเดีย แม้ว่าชาวอินเดียรายนี้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในฝรั่งเศส (เขาไม่มีรายได้อย่างเป็นทางการใดๆ นอกจากเงินช่วยเหลือสังคมของภรรยา และอาศัยอยู่ในบ้านพักสังคมในเขตชานเมืองปารีส) แต่เขากลับมีทรัพย์สินมีค่าจำนวนมากในอินเดีย

เพราะเมื่อได้รับเงินแล้ว ชาวอินเดียรายดังกล่าวได้จัดเตรียมการขนส่งเงินสดด้วยรถยนต์ไปยังเบลเยียม เพื่อนำไปใช้ซื้อทองคำและเครื่องประดับ เงินสดส่วนใหญ่ถูกฝากไว้ในบัญชีต่างๆ ของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับผู้ค้าทองคำที่ระบุตัวตน และนำไปใช้ซื้อทองคำจากผู้ค้าส่ง ใบแจ้งหนี้ปลอมที่ชาวอินเดียรายนี้จัดทำขึ้น (ในนามของบริษัทที่เขาก่อตั้ง) ถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนธุรกรรมเกี่ยวกับเหรียญทอง แท่งทองคำ และใบรับรองทองคำ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าหน้าที่สอบสวนผู้ถือครองทองคำ

รายงานระบุว่า การสืบสวนพบสองเส้นทางหลักที่ใช้ในการขนทองคำไปยังอินเดีย

เส้นทางแรก: ทั้งเครื่องประดับและทองคำถูกส่งไปยังดูไบโดยใช้ใบจัดซื้อปลอมและบริษัทปลอมในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ การสืบสวนคำนวณว่าความต้องการทองคำของกลุ่มผู้ค้าทองคำรายนี้ใกล้เคียงกับ 20 กิโลกรัมต่อสัปดาห์  ชาวอินเดียรายนี้ใช้ญาติขนส่งทองคำไปยังอินเดียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยญาติคนหนึ่งเดินทางไปอินเดียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากกว่า 200 ครั้ง ในช่วงเวลา 7 ปี (เดือนละสองถึงสามครั้ง) ทองคำจะถูกขนส่งไปยังดูไบและขายให้กับชาวอินเดียซึ่งถูกจ้างให้มาซื้อทองโดยเฉพาะโดยแก๊งค้ายาออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ จากนั้นทองคำแท่งจะถูกลักลอบนำเข้าอินเดีย ในกรณีนี้ โดยมีพนักงานของบริษัทท่องเที่ยวในดูไบช่วยเหลือ โดยจ้างบัญชีล่อให้ทำงานนี้โดยคิดค่าธรรมเนียมเล็กน้อยประมาณ 220 ยูโร จากการสืบสวนพบว่ามีคู่รัก ผู้สูงอายุ และในครั้งหนึ่งยังพบการใช้ "เด็กเล็ก" ในการดำเนินการนี้ด้วย

เส้นทางที่สอง: อีกเส้นทางหนึ่งในการขนส่งทองคำจากเบลเยียมไปยังอินเดียคือผ่านสนามบินนานาชาติกรุงเทพฯ และสิงคโปร์ไปยังผู้ลักลอบขนทองคำชาวพม่ามืออาชีพ จากนั้นทองคำจะถูกส่งผ่านเมียนมาไปยังอินเดียเพื่อขายต่อ โดยกำไรของสมาคมทองคำอินเดียมาจากการแปลงสภาพและการขายต่อทองคำ โดยการลักลอบนำทองคำเข้ามาและหลีกเลี่ยงภาษี สมาคมทองคำอินเดียสามารถขายในราคาได้เปรียบและยังคงทำกำไรได้ ทองคำดังกล่าวถูกซื้อในราคา 31 ยูโรต่อกรัมในเบลเยียม และขายต่อในราคา 36.32 ยูโรต่อกรัมในดูไบหรืออินเดีย ผู้ค้าทองคำชาวเบลเยียมได้รับค่าธรรมเนียม 325 ยูโรต่อกิโลกรัม ซึ่งคิดเป็นกำไร 5,000 ยูโรต่อกิโลกรัมสำหรับสมาคมทองคำอินเดีย

รายงานของ FATFระบุว่า "ระบบที่กลุ่มทุนอินเดียใช้นี้ทำกำไรได้มหาศาลจนคนอินเดียยอมสละค่าคอมมิชชั่นปกติ 2.25% จากการฟอกเงิน ความปรารถนาเดียวของเขาคือการนำเงินมาซื้อทองคำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น เขาจึงเสนอโอกาสพิเศษให้หุ้นส่วนของพวกเขาที่เป็นพ่อค้ายาในฝรั่งศสทำการฟอกเงินได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย"

นี่เป็นเพียงหนึงในวิธีการใช้ "บัญชีม้า" (หรือบัญชีล่อ) ในการฟอกเงินโดยใช้ทองคำแบบเต็มรูปแบบ นั่นคือ บัญชีม้าเก็บเงินให้อาชญากร จากนั้นรับคำสั่งจากอาชญากรไปซื้อทองคำในประเทศที่สอง จากนั้นนำทองคำข้ามพรมแดนไปยังประเทศที่สาม 

ยังมีวิธีการฟอกเงินด้วยทองคำอีกมากมายจากรายงานของ FATF แต่เราไม่มีพื้นที่ให้มันมากขนาดนั้น

สรุปก็คือ อาชญากรมีวิธีการร้อยแปดพันประการที่จะฟอกเงิน แม้จะยากที่จะติดตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้

ในกรณีมีทองคำออกจากไทยไปกัมพูชาอย่างมากมายนั้น ควรสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นการดำเนินการของอาชญากรเพื่อฟอกเงินโดยอาศัยพวกบัญชีม้า เพราะมีตัวอย่างที่จับไต้ที่ไต้หวัน และที่จริงตำรวจไทยก็พบแล้วว่ามีกรณีพวกบัญชีม้าเก็บเงินให้และไปซื้อทองให้เครือข่ายอาชญากรจริงๆ

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจับตาเช่นกันคือ ดูเหมือนว่า "พวกใต้ติน" ในกัมพูชา ต้องการทองคำอย่างมากถึงขนาดว่า หากไม่ขนถ่ายจากไทย ก็ทำการขุดทองกันเอาเองในกัมพูชา

กัมพูชามีเหมืองทองผิดกฎหมายมากมายในจังหวัดพระวิหารและจังหวัดแถบ "เขมรป่าดง" ในภาคตะวันออก ซึ่งพวกที่ทำเหมืองทองคำผิดกฎหมาย เป็นคนจีนเสียเป็นส่วนใหญ่ และยังมีคนเวียดนามด้วย สันนิษฐานว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุนเทาที่ทำสแกมเมอร์ 

เมื่อปี พ.ศ. 2567 กระทรวงเหมืองแร่และพลังงานกัมพูชาได้เริ่มปฏิบัติการปราบปรามการทำเหมืองผิดกฎหมายทั้งหมด 103 ครั้งในปีนั้น โดยครอบคลุมเหมืองผิดกฎหมายเกือบ 200 แห่ง โดยเฉพาะในแถบจังหวัดกระแจะ นอกจากนี้ ในปีนี้ยังมีรายงานว่ากิจกรรมการทำเหมืองผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นในจังหวัดพระวิหารในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยอาชญากรบางรายใช้ประโยชน์จากพื้นที่ภูเขาอันห่างไกลของแถบ "เขมรป่าดง" เพื่อขุดแร่โดยไม่ได้รับอนุญาต เหมืองเหล่านี้มี "เจ้าของ" เป็นคนจีน

ไม่ใช่แค่เหมืองผิดกฎหมาย แค่เหมืองถูกกฎหมายก็ยังทำผิดกฎหมายด้วยซ้ำ เพื่อกอบโกยทองคำในเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติ เช่นกรณีของ บริษัท ว่านเฉิง การพัฒนาการทำเหมือง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจีน ได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลกัมพูชาให้ทำเหมืองในจังหวัดกำปงธม

แต่ปรากฏว่า เหมืองแห่งนี้ทำการขุดหาทองเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเปรยลาง ในจังหวัดกระแจะและกำปงธม ทางตอนกลางของกัมพูชา หลังจากที่เรื่องแดงออกมา กระทรวงเหมืองแร่ได้ออกแถลงการณ์สัญญาว่าจะ "ยุติกิจกรรมการทำเหมืองที่ผิดกฎหมายและไร้ระเบียบ" และส่งเสริมการทำเหมืองอย่างถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเปรยลาง รายงานว่าเหมืองขนาดใหญ่ยังคงดำเนินการอยู่โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ 

อันที่จริง ชาวบ้านอ้างว่าบริษัทดังกล่าวขุดทองมานานก่อนที่จะได้รับใบอนุญาตขุดในปี 2565 ด้วยซ้ำ 

นั่นหมายความว่า ทางการกัมพูชาไม่สนใจการทำเหมืองผิดกฎหมายเอาเลย แม้เหมืองเหล่านี้จะถูกจับได้ว่าทำเหมืองก่อนได้รับสัมปทานก็ยังปล่อยให้ดำเนินการต่อไป แถมเมื่อเหมือนพวกนี้ขุดทองในเขตอนุรักษ์ รัฐบาลก็ไม่ใส่ใจที่จะห้ามปรามอีก 

อดคิดไม่ได้ว่า รัฐบาลกัมพูลชาต้องการอะไรจากการทำแบบนี้? คงมีเหตุผลเดียวก็คือ ปล่อยให้ "ทุนเทา" ทำการตุนทองเอาไว้เพื่อรองรับการฟอกเงินของพวกนี้ โดยที่รัฐบาลกัมพูชาอาจจะมีส่วนรู้เห็นด้วยซ้ำ

แน่นอนว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่เคยยอมรับการกระทำผิดของตน แต่ข้อมูลจากการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหรัฐฯ และรายงานขององค์กรระดับโลก ชี้ไปที่ผู้มีอำนาจในกัมพูชาในฐานะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกทุนเทาและบริษัทที่ทำการฟอกเงิน เช่น Huione ซึ่ง The New York Times กล่าวว่าเป็น "ปฏิบัติการฟอกเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก"

บางทีอาจถึงเวลาที่จะสืบสวนให้ลึกไปอีกว่า ทุนเทาและรัฐบาลกัมพูชาทำการใช้ทองคำเพื่อฟอกเงินสกปรกกันไปถึงระดับไหนแล้ว และเป็นภยันตรายต่อประเทศไทยแค่นไหน?

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo by BAY ISMOYO / AFP

TAGS: #ทองคำ #ฟอกเงิน #สแกมเมอร์ #กัมพูชา