ผมได้ยินบางความเห็นที่บอกว่า หากเราปิดด่านชายแดนต่อไป จะสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อระบอบตระกูลฮุน จนกระทั่งเมื่อคนกัมพูชาอดอยากปากแห้ง ไม่มีงานทำ ไม่มีอะไรจะกิน ก็จะลุกฮือขึ้นมาโค่นล้มระบอบฮุนจนพินาศ
บางคนชี้ว่าสถาพของกัมพูชาจะคล้ายกับเนปาล ซึ่งประชาชนทนไม่ไหวจนต้องล้มรัฐบาลและไล่ล่าพวกนักการเมือง
แต่นี้เป็นการ "ฝันหวาน" จนเกินไปของคนไทยโดยคิดว่าทุกประเทศที่มีรัฐบาลอันชั่วร้ายจะต้องพบจุดจบแบบเนปาล
ผมขอสรุปสั้นๆ ว่า มันแทบเป็นไปไม่ได้ในกรณีของคนกัมพูชา
ผมขอชี้ให้เห็นว่าในกรณีของเนปาลนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเปิดโปงพวก Nepo Kid ที่เป็นลูกหลานอวดร่ำอวดรวยของนักการเมืองฟิลิปปินส์ พอเนปาลเอาอย่างบ้างก็ไม่เพียงแค่เปิดโปง แต่ไล่ล่าตัวเป็นๆ กันเลยทีเดียว
กระนั้นก็ตาม ต้นตำรับแนวคิดนี้คือฟิลิปปินส์ไม่ได้ลงมือไล่ล่าและล้มรัฐบาลแบบเนปาล ปัจจุบันคนฟิลิปปินส์ก็ยัง "ฝันหวาน" กับการโค่นนักการเมืองกันอยู่ แต่ไม่มีใครกล้าก่อม็อบ
เพียงแค่นี้จะเห็นแล้วว่าเงื่อนไขและปัจจัยของแต่ละประเทศไม่นั้นต่างกันลิบลับ จะเอามาเทียบโดยไม่พิจารณาลักษณะเบื้องหลังของประเทศนั้นๆ ไม่ได้
ในกรณีของคนกัมพูชา ผมขอเรียกว่าเป็น "มนุษย์ที่ว่านอนสอนง่ายต่ออระบอบอำนาจนิยม"
เราจะเห็นว่าแม้กัมพูชาจะยากจนและ รายได้ต่อหัวต่ำ สกุลเงินก็ไร้ค่า โรงพยาบาลไม่พอ โรงเรียนคุณภาพต่ำ ฯลฯ ถือเป็นประเทศยากจนอันดับต้นๆ ของเอเชีย
แต่คนกัมพูชาก็ยังยินดีอยู่ในระบอบตระกูลฮุนโดยไม่มีใครกล้าท้าทาย นอกจากจะไม่ท้าทายยังยกย่องบูชาราวกับเป็นพระมาโปรด
สาเหตุก็คือ คนกัมพูชามีความคิดวิเคราะห์ (Critical thinking) น้อย หากมีทักษะการวิเคราะห์สูง พวกเขาก็คงเห็นว่า "ตัวเองอยู่ในประเทศสลัมแท้ๆ" และควรจะต่อต้านรัฐบาลที่ทำให้ชีวิตผู้คนตกต่ำตั้งแต่หลายปีที่แล้ว
อีกสาเหตุก็คือ คนกัมพูชามีความตื่นตัวทางการเมือง (Political awareness) น้อย หากตื่นตัวทางการเมืองสักนิด ก็จะควรจะต่อต้านระบอบฮุนที่กดขี่ทางการเมือง ปิดปากฝ่ายตรงข้าม และกอบโกยผลประโยชน์เข้าพวกตน
แค่เพียงสองข้อนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนกัมพูชา "จงรักภักดี" หรือ "จมปลัก" ไปกับระบอบฮุนไปอีกนานแสนนาน
นี่เองที่ผมเรียกว่า "มนุษย์ที่ว่านอนสอนง่ายต่ออระบอบอำนาจนิยม" ซึ่งต่างจากปรเะทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันอออกเฉียงใต้ที่พร้อมจะต่อต้านรัฐบาลของตนทุกเมื่อ
แม้แต่คนเมียนมาพร้อมที่จะสู้รัฐบาลเผด็จการได้ทุกเมื่อ หรือแม้แต่คนลาวก็พร้อมที่จะวิจารณ์ "พรรครัฐ" อย่างตรงไปตรงมา ท่าทีแบบนี้จะสร้างเสริมพัฒนาการทางการเมืองและการตระหนักรู้สถานะของประเทศตนที่แท้จริง และจะทำให้ "เจริญรุ่งเรือง" เมื่อทุกอย่างสุกงอมแล้ว
แต่มนุษย์ประเภทอย่างคนกัมพูชาจะไม่มีวันลุกฮือต่อต้านผู้กดขี่ตนเองทำให้ "ไม่มีอนาคต" ยิ่งกว่านั้น หากรัฐบาลผู้กดขี่ยังใช้วิธีอันชั่วร้ายด้วยการโยนความผิดให้กับ "ปัจจัยภายนอก" คนพวกนี้ก็จะเชื่อว่า "พวกข้างนอก" ทำให้พวกเขาลำบาก และยิ่งยกย่องเชิดชู "เผด็จการภายใน" ที่ช่วยปกป้องพวกเขา
เช่น หากมีการปิดล้อมทางเศรษฐกิจโดยไทยต่อกัมพูชา (เช่น ปิดด่าน ไปจนถึงปิดท่าเรือ และปิดน่านน้ำ) จนกระทั่งเศรษฐกิจของกัมพูชาถึงจุดต่ำสุด
เพียงแค่ระบอบฮุนโฆษณาชวนเชื่อว่าไทยเป็น "มารร้าย" ที่ทำให้คนกัมพูชาต้องอยู่อย่างอดอยาก คนกัมพูชาก็พร้อมที่จะเชื่ออย่างสุดหัวใจ
ดังนั้น ต่อให้ไทยปิดด่าน กัมพูชาก็จะไม่เกิดการลุกฮือเหมือนเนปาล แต่คนกัมพูชาจะหาเหตุผลร้ายแปดประการมาโทษไทยเท่านั้น
นี่คือ "อวิชชา" ของการเป็น "มนุษย์ที่ว่านอนสอนง่ายต่ออระบอบอำนาจนิยม" ของคนกัมพูชา คือมองไม่เห็นแสวงสว่างอื่นๆ เลย นอกจากแสงจากระบอบฮุน
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ข้างต้นเป็นการวิเคราะห์ "สถานการณ์ระยะสั้น"
ในระยะสั้นคนกัมพูชาจะเชื่อถือระบอบเผด็จการเพราะอย่างน้อยการสนับสนุนเผด็จการก็ยังดีกว่าปล่อยให้ไทยเอาชนะ "พวกเดียวกันเอง"
หากประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะกวาดล้างเผด็จการระบอบฮุนที่เป็นตัวการความขัดแย้งทั้งมวลและยังเป็นผู้เลี่ยงดูธุรกิจสีเทาที่ทำลายคนไทยและคนทั่วโลก - ประเทศไทยสามารถดำเนินการแบบ "สถานการณ์ระยะยาว" และมีความดุดันมากกว่าปิดด่าน
เช่น การทำการปิดกั้นทางเศรษฐกิจในวางกว้าง ไม่ว่าจะเป็น การสร้างอุปสรรคทางการค้า (เก็บภาษีในอัตราสูง) การอายัดทรัพย์สินนักการเมืองกัมพูชา และการห้ามคนไทยเดินทางเข้ากัมูชาและห้ามคนกัมพูชาเดินทางมายังไทย
พวกนี้คือ "อาวุธทำลายล้างสูงในสงครามเศรษฐกิจ"
ในระยะยาวนานนับปี มันจะค่อยๆ บ่อนทำลายความอดทนต่อระบอบเผด็จการของคนกัมพูชา หากเมื่อถึงจุดขีดสุดที่เหมือนฟางเส้นสุดท้าย พวกเขาก็จะเปลี่ยนเป้าหมายจากการโจมตีไทย มาเป็นการขับไล่ระบอบฮุน
อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้ "โหดร้าย" ต่อประชาชนกัมพูชาอย่างมาก และประเทศไทยไม่ควรกระทำต่ำช้าเหมือนกัมพูชาที่ใช้พลเรือนเป็น Collateral damage เหมือนกับที่กัมพูชาเข่นฆ่าพลเรือนไทยอย่างเลือดเย็น
ในสถานการณ์ระยะยาว สิ่งที่ชอบธรรมกว่าและกอปรด้วยเมตตาธรรมมากกว่า คือการทำแคมเปญเปิดโปงความชั่วร้ายของระบอบฮุน ซึ่งคอร์รัปชั่นอย่างเลวร้าย ทำการสนับสแกมเมอร์ สนับสนุนการค้ามนุษย์ และเมินเฉยต่อคุณภาพชีวิตประชาชน
พูดง่ายๆ คือ หากจะชนะในระยะยาว จะต้องทำ "สงครามโฆษณาชวนเชื่อ" ต่อโลกภายนอกและบอกความจริงกับประชาชนภายในกัมพูชา
ในช่วงเวลานี้จะต้องไม่มีการแทรกแซงทางการเมืองในกัมพูชา แต่ป้อน "ความจริง" ให้คนกัมพูชาได้ตระหนัก แล้ว "ความเคลื่อนไหว" จะปรากฏในที่สุด
ผมจะยกตัวอย่างประเทศหนึ่งซึ่งถูกปิดกันทางเศรษฐกิจมายาวนาน คือ เวเนซุเอลา
เวเนฯ ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรต่างกรรมต่างวาระ ทั้งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่การเมืองไปจนถึงการคว่ำบาตรระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ทำให้ประเทศที่ร่ำรวยด้วยน้ำมันแห่งนี้มีสภาพเศรษฐกิจมี่เหมือนยาจก
สาเหตุแห่งการคว่ำบาตรมีหลายประการ ทั้งเรื่องความเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด การที่รัฐบาลกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และการที่เวเนซุเอลาเป็นศัตรูทางอุดมการณ์กับสหรัฐฯ (เข้าข้างรัสเซียและอิหร่าน)
สภาพของเวเนฯ นั้นคล้ายกัมพูชา ผิดกันตรงที่เวเนฯ รวยน้ำมัน ส่วนกัมพูชาไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เวเนฯ ถูกปิดกั้นทางเศรษฐกิจมานานหลายปี ประชาชนเริ่มโทษรัฐบาล แต่ถึงที่สุดแล้วจากผลสำรวจของ Datanalisis ในปี 2023 พบว่าชาวเวเนซุเอลา 74% ไม่สนับสนุนการคว่ำบาตร โดย 30% เชื่อว่าปัญหาของเวเนซุเอลาเกิดจากการคว่ำบาตร
ประชาชนรู้ดีว่าต้องโทษรัฐบาลที่เป็นตัวการที่ทำให้ประเทศถูกคว่ำบาตร แต่พอการคว่ำบาตรกินเวลานานๆ เข้าและไม่บรรลุเป้าหมาย ชาวเวเนฯ เริ่มไม่สนับสนุนการคว่ำบาตร ต่างจากตอนแรกที่คนส่วนใหญ่เห็นใจต่อแนวทางนี้
ยังไม่นับการที่ รัฐบาลเวเนฯ มักจะกล่าวโทษ "ศัตรูภายนอก" ว่าเป็นตัวการความยาลำบาก การปั่นหัวแบบนี้นานๆ เข้าก็ทำให้คนเวเนฯ ไม่มีกะใจจะต่อต้าน "ศัตรูภายใน" ที่ทำให้ชีวิตของพวกเขายากลำบาก
เช่นการที่รัฐบาลเวเนฯ กล่าวว่าวิกฤตการเมืองในประเทศ คือ"การรัฐประหารที่นำโดยสหรัฐอเมริกาเพื่อโค่นล้ม (รัฐบาลมาดูโร) และควบคุมสำรองน้ำมันของประเทศ"
เช่นกัน ระบอบฮุนก็อาจอ้างได้ว่า "วิกฤตในกัมพูชาเกิดขึ้นเพราะไทยต้องการดินแดนของกัมพูชา" พื่อปลุกระดมคนในประเทศให้เบี่ยงเบนจากปัญหา
ดังนั้น การปิดล้อมทางเศรษฐกิจ เช่น ปิดด่าน สั่งห้ามเข้าประเทศ การอายัดทุน ฯลฯ จะไม่ได้ผลง่ายๆ แถมยังอาจได้ผลตรงกันข้าม ที่เลวร้ายกว่านั้นคือจะส่งผลให้วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรม คือ ทำให้ประชาชนตาดำๆ ต้องซวยไปด้วย
แม้จะทุกข์ยากขนาดนี้แล้ว คนเวเนฯ หรือแม้แต่คนกัมพูชาก็จะไม่ลุกฮือต่อต้าน
ดังนนั้น วิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าและเสียหายน้อยกว่าต่อประชาชน (หากอยากจะให้กัมพูชาเป็นแบบเนปาล" ก็คือ "ต้องทำแบบเนปาล" คือการเปิดโปงความฉ้อฉลของ "ลูกหลานนักการเมือง" และ "ลูกหลานในเครือข่ายตระกูลฮุน" ที่อยู่ดีมีสุขบนความทุกข์ของประชาชนกัมพูชา
ในท่ามกลางความขัดสนที่เกิดจากสงครามของสองประเทศ "ข้อเท็จจริง" เรื่องความฉ้อฉลของระบอบฮุน จะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนความคิดของคนกัมพูชาได้ดีที่สุด
ไม่ใช้วิธีสร้างความทุกข์รวมหมู่ ที่จะทำให้คนกัมพูชายิ่งเป็นแนวร่วมกับระบอบที่กดขี่พวกเขา
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ผู้ประท้วงตะโกนคำขวัญระหว่างการประท้วงหน้ารัฐสภาในกรุงกาฐมาณฑุ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 ประณามการห้ามใช้โซเชียลมีเดียและการทุจริตของรัฐบาล (ภาพโดย PRABIN RANABHAT / AFP)