โอกาสที่สถาบัน'กษัตริย์เนปาล'จะกลับมาทวงบัลลังก์ หลังความล้มเหลวของ'คอมมิวนิสต์'

โอกาสที่สถาบัน'กษัตริย์เนปาล'จะกลับมาทวงบัลลังก์ หลังความล้มเหลวของ'คอมมิวนิสต์'

แต่ก่อนเนปาลปกครองโดยสถาบันกษัตริย์ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

นอกจากษัตริย์จะกุมอำนาจทั้งหมดในรัฐบาลและกองทัพ ดินแดนส่วนใหญ่ของเนปาลยังมีลักษณะ 'กึ่งศักดินา-กึ่งเมืองขึ้น' 

'กึ่งศักดินา' หมายถึงผู้คนยังไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ไม่มีทรัพยากรในการยกระดับชีวิต ทั้งหมดนั้นอยู่ในมือของชนชั้นสูง ทั้งชั้นเจ้าและชนชั้นข้าราชการ 

แม้เนปาลจะไม่ใช่สังคมที่มีทาสติดที่ดินและทาสแรงงานแบบ 'ยุคศักดินา' และมีสิทธิเสรีภาพระดับหนึ่ง แต่การที่ประชาชนไม่มีโอกาสในการครอบครอง 'ทุน' ทำให้พวกเขาไม่ต่างจาก 'กึ่งเสรีกึ่งศักดินา'

ที่เป็น 'กึ่งเมืองขึ้น' หมายความว่าเนปาลเป็นประเทศไม่ทางออกทะเลทำให้ต้องพึ่งทรัพยากรประเทศข้างเคียง แถมประเทศข้างๆ ยังเป็นมหาอำนาจทั้งสองประเทศอีก คือ จีน และอินเดีย เนปาลจึงต้องฟังเสียงของสองยักษ์นี้ โดยที่ทำอะไรตามใจได้ยาก

แม้ประเทศจะมีสภาพแบบนี้ แต่สถาบันกษัตริย์ก็ปกครองด้วยกำปั้นเหล็ก โดยแทบไม่มีการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน

แต่เพราะ 'ระบอบศักดินา' เผด็จการจนเกินไป ทำให้เกิดขบวนการต่อต้านที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง นำโดยขบวนการคอมมิวนิสต์กลุ่มต่างๆ ทั้งสายเหมาอิสต์ (ที่ดำเนินนโยบายแบบเหมาเจ๋อตง อดีตผู้นำคอมมิวนิสต์จีน) และสายเลนินนิสต์ และมาร์กซิสต์ 

ขบวนการฝ่ายซ้ายเคลื่อนไหวทั้งบนดิน (ทางการเมืองในรูปแบบ) และใต้ดิน (การทำสงจรยุทธ์แบบ "ป่าล้อมเมือง") เพื่อล้มล้างลักษณะบ้านเมืองแบบ 'กึ่งศักดินา-กึ่งเมืองขึ้น' ซึ่งหมายถึงการโค่นล้มระบอบกษัตริย์อันเป็นเสาหลักของ 'ศักดินา' ไปด้วย

หลังจาการนองเลือดในสงครามกลางเมืองนานหลายปี ในที่สุดฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ได้รับชัยชัยชนะ ไม่ใช่เพราะรบชนะ แต่เพราะประชาชนทนไม่ไหวกับการปกครองแบบ 'ศักดินา'  ของสถาบันกษัตริย์ จนนำไปสู่การลุกฮือครั้งใหญ่สองครั้งในทัศวรรษที่ 90 ที่กษัตริย์ต้องยอมให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และกลางทศวรรษที่ 2000 ที่สถานบันถือโอกาสยึดอำนาจอีกครั้งจนผู้คนทนไม่ไหว ครั้งนี้สถาบันฯ ต้องยอมลดบทบาทลงอย่างมาก จนแทบ "ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดำรงอยู่ต่อไป"

ดังนั้น พวกคอมมิวนิสต์จึงเลิกอยู่ในป่าแล้วทำสงครามล้อมเมือง เพราะสถาบันฯ ยอมรามือแล้วด้วยพลังประชาชนต่อต้าน พวกคอมมิวนิสต์และพรรคการเมืองอุดมการณ์อื่นๆ จึงยอม "หยุดยิง" และทำข้อตกลงสันติภาพ เพื่อยุติสงครามกลางเมือง จากนั้นยกเลิกระบอบกษัตริย์ แล้วสถาปนาเนปาลให้เป็นสาธารณรัฐ

จากนั้นสถาบันกษัตริย์ก็จบสิ้นลง ส่วน (อดีต) ในปี 2006 กษัตริย์ก็ทรงปลีกวิเวกทางการเมือง หายหน้าไปจากการรับรู้ของสังคมไปนานปี 

นับแต่นั้นนายกรัฐมนตรียุคสาธารณรัฐตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปัจจุบัน มาจากวายคอมมิวนิสต์-สังคมนิยมประชาธิปไตยถึง 12 สมัยหรือเกือบทุกสมัยหรือทุกคน (เว้นหนึ่งคนที่ถูกยกให้เป็นนากยฯ ชั่วคราว เป็นนักการเมืองอิสระ)

แต่ในระหว่างนี้พวกคอมมิวนิสต์เนปาลสายต่างๆ ก็ยังไม่รวมตัวกันเป็นพรรคเดียว ทำให้เกิดความไม่เป็นเอกภาพ อีกทั้งรัฐบาลสาธารณรัฐยังเขากันไม่ได้ เพราะประกอบไปด้วยพรรคการเมืองหลายพรรค แม้อีกพรรคใหญ่จะมีแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย คือ Nepali Congress แต่ก็ทำงานร่วมกันไม่ราบรื่น

พวกคอมมิวนิสต์มารวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองเดียวในชื่อ  Nepal Communist Party ก็เมื่อ 2021 ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็ "สายเกินไปแล้ว"

ในช่วงระหว่างหลังการโค่นล้มระบอบกษัตริย์จนมาถึงวันนี้ การเมืองฝ่ายซ้ายของเนปาลไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เนปาลก็ยังคงเป็นประเทศ 'กึ่งศักดินา-กึ่งเมืองขึ้น' อยู่เช่นกัน ทั้งๆ ที่การทำลายลักษณะ 'กึ่งศักดินา-กึ่งเมืองขึ้น' ควรจะเป็นภารกิจแรกๆ ของพวกคอมมิวนิสต์ 

การที่พวกคอมมิวนิสต์ประสบความสำเร็จจากปฏิบัติการ "ป่าล้อมเมือง" ส่วนหนึ่งก็เพราะให้คำมั่นสัญญากับคนท้องถิ่นว่าพวกเขาจะมีทุนและที่ดินนั่นเอง

ที่จริงแล้วพวกคอมมิวนิสต์ทำสำเร็จเรื่องหนึ่ง คือ การเปลี่ยนรูปแบบการบริหารประเทศเป็น "สหพันธรัฐ" (Federalism) คือให้แต่ละจังหวัดมีอำนาจปกครองตนเอง แต่เพราะไม่มีการ "พลิกฟ้าคว่ำดิน" ในทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นแค่ "เปลือกนอก" ไม่สามารถทำให้ประชาชน "มีชีวิตใหม่" ได้เลย

มิหนำซ้ำ แทนที่จะกระจายอำนาจ จัดการปฏิรูปที่ดินในชนบท และลดอำนาจพวกเจ้าที่ดินและข้าราชการท้องถิน รัฐบาลฝ่ายซ้ายกลับถูก "กลืนกิน" โดยการเมืองในเมืองหลวงทำให้ "มองเข้าไปแต่ในเมือง" ไม่ได้ "มองไกลสู่นอกเมือง" อันเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ 

ผลก็คือ ประชาชนก็ยังไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากร (ทุน หรือ ที่ดิน) ได้ ดังนั้นมันจึงยังเป็นสังคมแบบ 'กึ่งศักดินา' อีกทั้งพรรคคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะพวกเหมาอิสต์ยังไม่สามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ ต้องพึ่งพาจีนอย่างมากทั้งเงินช่วยเหลือและการกู้ยืม ทำให้ยังมีลักษณะ'กึ่งเมืองขึ้น' อยู่กลายๆ แต่เรื่องนี้อาจมองว่าเป็นการช่วยเหลือระหว่าง "คอมมิวนิสต์สากล" ด้วยกันก็ได้ 

สิ่งสำคัญกว่าก็คือ เศรษฐกิจของเนปาลเลวร้ายลง ประชาชนไม่มีทุน ที่ดิน ไม่มีโอกาสเรื่องการเงิน ผู้คนต้องออกนอกประเทศไปทำงานต่างแดน ทั้งๆ ที่นโบายของพวกคอมมิวนิสต์เน้นที่ "รัฐสวัสดิการ" แท้ๆ แต่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ 

เพราะอะไร?

สาเหตุแรกคือ พวกคอมมิวนิสต์เนปาลไม่มีเอกภาพทางการเมือง ขาด "พรรคนำ" ที่จะใช้อำนาจเด็ดขาดแบบ "เผด็จการชนชั้นแรงงาน" ซึ่งหมายถึงจะต้องมีพรรคการเมืองเดียวหรือพรรคฝ่ายซ้ายที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยได้รับฉันทามติจากประชาชนให้เป็นรัฐบาล โดยที่ประชาชนยอมรับอำนาจเผด็จการของพรรคนี้

อีกทางหนึ่งคือ พรรคฯ จะต้องรวบอำนาจเป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์โดยมีกองทัพเป็นของตนเอง แล้วดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศโดยไม่ต้องกังวลเรื่งการแทรกแซงของพรรคอื่นหรือจะถูกรัฐประหาร

ดังที่เหมาเจ๋อตง (เจ้าของปรัชญาที่ชี้นำพวกเหมาอิสต์ในเนปาล) กล่าวว่า "อำนาจรัฐได้มาด้วยปลายกระบอกปืน" นั่นเอง

ลักษณะแบบนี้คือพื้นฐานที่ทำให้ คอมมิวนิสต์จีนและคอมมิวนิสต์รัสเซียเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมได้สำเร็จ

แต่เพราะพวกคอมมิวนิสต์เนปาลไม่ได้ใช้กองทัพในการยึดอำนาจแต่แรก แต่ยอมเข้าสู่การเมืองในรูปแบบหลังทำจ้อตกลงสันติภาพกับฝ่ายการเมืองอื่นๆ ทำให้พวกคอมมิวนิสต์ไม่มีอำนาจเผด็จการที่ทำตามนโยบายได้เบ็ดเสร็จ อีกทั้งยังถูกครอบงำด้วยการเมืองในรูปแบบที่มีหลายพรรค ซึ่งบั่นทอนเอกภาพของพวกคอมมิวนิสต์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็น "พรรคการเมืองธรรมดาๆ" ไม่ใช่ "พรรคการเมืองปฏิวัติ"

ที่เลวร้ายกว่านั้น คือ พอพวกคอมมิวนิสต์ไม่พียงไม่มีกองทัพ ลืมปรัชการเมืองของตัวเอง และปรับใช้นโยบายตัวเองไม่ได้ ก็เริ่ม "กลายพันธ์" เมื่อพวกเขากลายเป็น "พรรคการเมืองธรรมดาๆ" สมาชิกพรรคฯ ก็กลายเป็น "นักการเมืองธรรมดาๆ" ที่เนปาลมีอยู่มากมายตั้งแต่สมัยยังมีสถาบันกษัตริย์ นั่นคือนักการเมืองที่ฉ้อฉล มัวเมาในอำนาจ และไม่เห็นหัวประชาชน

แม้แต่คนระดับประธานพรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังอื้อฉาวมนเรื่องสั่งสมความมั่คั่ง

ลูกหลานของนักการเมืองเหล่านี้ยิ่ง "ตีนไม่ติดดิน" ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่งเฟือย มีความเป็นไปได้ว่าหลายคนอวดมั่งอวดมีด้วยภาษีประชาชน

ในขณะที่ประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ไม่มีงานทำ ไม่มีอนาคต ไม่มีอันจะกิน และเริ่มหมดความอดทนกับนักการเมืองโดยไม่แยแสว่าจะเป็นฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา "ขอให้เป็นนักการเมืองก็พอ ทุกคนล้วนแต่ต้องถูกกำจัด" 

ในช่วงเวลานี้เองที่ อดีตกษัตริย์ได้รับความสนใจขึ้นมา

ตั้งแต่ต้นปีนี้ มีการชุมนุมใหญ่นับหมื่นคนเพื่อเรียกร้องให้รื้อฟื้นระบอบกษัตริย์ โดยผู้ชุมนุมมีทั้งพวกพรรคราชตริยะ ปรัชตันตระ (Rastriya Prajatantra Party) ซึ่งเป็นพรรคกษัตริย์นิยมในการขับเคลื่อน และอีกส่วนที่ขับเคลื่อนคือคนรุ่นใหม่ หรือพวก Gen Z ที่หมดหวังกับพวกนักการเมืองที่ฉ้อฉลเหมือนๆ กันหมด

พวกพรรคกษัตริย์นิยมนี้ที่จริงไม่อาจมีสิทธิ์มีเสียงในวงอำนาจได้ เพราะวงอำนาจอยู่ในมือพวกฝ่ายซ้าย แต่เพราะมีเงื่อนไขในการสร้างความสมานฉันทางการเมือง จึงต้องต้องให้ "เสียง" กับพรรคนี้ด้วย และล่าสุด พรรคราชตริยะ ปรัชตันตระมีเสียงในสภาในอันดับที่ 5

แน่นอนว่า ด้วยเสียงแค่นี้พรรคกษัตริย์นิยมไม่มีสิทธิพลิกระบอบการเมืองอะไร อีกทั้งพวก Gen Z เองก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ในรื่องสนับสนุนกษัตริย์ และมีจำนวนไม่มากนัก หากคนรุ่นนี้ได้ทราบความหลังเรื่องระบอบกษัตริย์ก็มีหวังที่จะต่อต้านด้วยซ้ำ

กระนั้นก็ตาม มีตัวแปรที่อาจผลักดันให้คนหันมานิยมสถาบันกษัตริย์ได้ เพราะหนึ่งในเหตุผลที่พรรคการเมืองและผู้คนคิดถึงระบอบกษัตริย์อีกครั้ง ก็เพราะ "ระบอบกษัตริย์คือัตลักษณ์ของชาติเนปาล" และกษัตริย์เนปาลคือผู้เชิดชูอุปถัมภ์ศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นศาสนาหลักของชาติ แต่ในยุค-องพวกคอมมิวนิสต์ได้ทำลายอัตลักษณ์นี้ลง โดยยกเลิกความเป็น "รัฐฮินดู" ไปเสีย แล้วให้เนปาลเป็น "รัฐฆราวาส" ที่ไม่มีศาสนาประจำชาติ

กระนั้นก็ตาม แม้พวกคอมมิวนิสต์เนปาลจะต่อต้านอัตลักษณ์ของชาติ แต่กลับเร่งเร้าเรื่องชาตินิยมเนปาลเพราะเนปาลถูกประกบด้วยชาติมหาอำนาจอันอาจทให้เสี่ยงต่อการถูกกลืนเป็น 'กึ่งเมืองขึ้น' ง่ายๆ 

ความยอกย้อนนี้เกิดกับพวกคอมมิวนิสต์ แต่กลับเป็นเนื้อแท้อันปกติของระบอบกษัตริยย์

ดังนั้น หากคนเนปาลโหยหาความเป็นชาตินิยมและอัตลักษณ์ความเป็นเนปาล ระบอบกษัตริย์อาจเป็นคำตอบ แต่ต้องเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญโดยไม่มีอำนาจทางการเมือง โดยกลับมาในฐานะ "ศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ"

เมื่อพิจารณาจากความล่มสลายของรัฐเนปาลและความสิ้นหวังทางเศรษฐกิจและสังคม สิ่งที่จะกระตุ้นให้เนปาลฟื้นฟูประเทศได้อีกครั้งก็คงจะมีแต่สิ่งที่เป็น "ศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ" นี่เอง

เรื่องนี้แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งอินเดีย ซึ่งเป็น "พรรคพี่น้อง" กับพรรคอมมิวนิสต์ในเนปาล ได้มีแถลงการณ์เตือนไว้ว่า "ในขณะเดียวกัน จำเป็นต้องระมัดระวังในการปกป้องคุณค่าทางประชาธิปไตยและทางโลกที่จารึกไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งบรรลุผลได้ด้วยการต่อสู้อันยาวนานและยากลำบากเพื่อต่อต้านสถาบันกษัตริย์ เยาวชนและพลังประชาธิปไตยในเนปาลควรเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าสถานการณ์จะไม่ถูกฉวยโอกาสโดยกลุ่มนิยมกษัตริย์และกลุ่มปฏิกิริยาอื่นๆ ผลลัพธ์ของการประท้วงครั้งใหญ่เหล่านี้จะต้องเป็นการฟื้นคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่การกลับไปสู่การปกครองแบบเผด็จการแบบศักดินา"

แม้แต่คอมมิวนิสต์ด้วยกันยังได้กลิ่นทะแม่งๆ นั่นแสดงว่า หากฝ่ายซ้ายฉุดไม่อยู่แล้ว ฝ่ายขวาอาจจะกลับมาชิงพื้นที่คืนได้

แต่กระบวนการนี่จะไม่เกิดขึ้นในเดือนสองเดือน หรือปีสองปี อาจใช้เวลาลองผิดลองถูกกันอีกนาน ซึ่งการ "ทดลองทางการเมือง" กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วในประเทศเนปาล

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - อดีตกษัตริย์แห่งเนปาล สมเด็จพระราชาธิบดีชญาเนนทระ โบกพระหัตถ์ขณะเสด็จมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติตริภูวัน ในกรุงกาฐมาณฑุ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568 (ภาพโดย PRAKASH MATHEMA / AFP)