"จีนพลาดครั้งใหญ่" ถ้าขู่จะเอาคืนประเทศที่ถูกบังคับให้ทำข้อตกลงกับทรัมป์

เมื่อวานนี้ผมเขียนเตือนไปว่า ไทยอาจจะตกที่นั่งลำบากเพราะถูกทรัมป์บีบแยกตัวจากเศรษฐกิจจีน หรือทำ Decoupling ไม่ใช่แค่ไทยที่ทำไม่ได้ ประเทศอื่นๆ ก็ทำไม่ไหว แม้แต่สหรัฐฯ ก็ทำไม่สำเร็จ

ดังนั้น ไม่ว่าฝ่ายเจรจาของไทยจะเสนออะไรไปก็ตาม (โดยใส่พานให้มากมาย) แต่รัฐบาลทรัมป์โยนกลับมาทุกครั้ง ไม่ใช่มันไม่พอ แต่เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ทรัมป์ต้องการ นั่นคือ "แยกไทยออกจากจีน" 

มันมีวี่แววว่า สหรัฐฯ ใช้การขึ้นภาษีบีบประเทศที่ยอมศิโรราบให้ แล้วใช้ประเทศพวกนี้เป็น "หนูทดลอง" ในการทำ Decoupling เพราะตัวเองทำไม่ได้ แต่ถ้าประเทศเล็กๆ พวกนี้ยอมทำตาม ถึงจะพินาศก็ไม่เป็นไร

ประเทศส่วนใหญ่ยังไม่ดีลหรือไม่ยอมดีลด้วยกับทรัมป์เพราะไม่อยากจะเป็นหนูลองยาแบบนี้เอง 

นี่จึงเป็นโอกาสที่ทั่วโลกจะรวมตัวกันเพื่อต่อต้านสหรัฐฯ แล้วผมก็เห็นว่าจีนพยายามจะชี้ชวนให้ประเทศต่างๆ มาร่วมมือกัน

แม้แต่ประเทศที่ไม่ค่อยชอบจีนและเป็นมิตรกับสหรัฐฯ อย่างเหนียวแน่น ก็มีเหตุผลให้เกลียดทรัมป์เข้าไส้ เช่น เกาหลีใต้ที่ถูกส่งจดหมายขึ้นภาษีก่อนใครเพื่อนพร้อมๆ กับญี่ปุ่น ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังรบเร้าให้เกาหลีใต้ควรจ่ายเงินเพิ่มสำหรับการป้องกันประเทศของตนเอง พูดง่ายๆ คือ จ่ายภาษีเพิ่มด้วยแถมยังต้องซื้ออาวุธจากพวกอเมริกันเพิ่มอีก

ถ้าผมเป็นพวกเกาหลีใต้ ผมจะเกลียดทรัมป์ที่สุดในเวลานี้ แล้วพร้อมที่จะร่วมมือกับจีน

แต่แล้วจีนก็พลาดครั้งใหญ่ เพราะ "กังวล" จนเกินไป หรือ "ไม่นิ่ง" ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ทำให้แทนที่ทุกคนจะเพ่งเล็งทรัมป์ที่เอาแต่ใจ ตอนนี้หันมาเพ่งเล็งจีนด้วยแล้วว่า "เอาแต่ใจ" ไม่ต่างกัน

เรื่องมันมีอยู่ว่า บทความทัศนะในหนังสือพิมพ์ People's Daily สื่อทางรัฐบาลจีนที่เขียนโดย “จงเซิง” หรือ “เสียงแห่งจีน” ซึ่งเป็นนามแฝงที่ใช้แสดงทัศนคติเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ได้วิพากษ์วิจารณ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์ว่าเป็นการ "บูลลี่" และบอกว่า “ข้อสรุปที่ชัดเจนประการหนึ่งก็คือ การเจรจาและความร่วมมือเป็นหนทางที่ถูกต้องเพียงทางเดียว”  

ถ้า “จงเซิง” ย้ำแค่นี้ก็ดีอยู่แล้ว ชาวโลกย่อมอนุโทนาสาธุเพราะเห็นด้วยทุกประการ

แต่ “จงเซิง” ดันบอกว่า “จีนคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อฝ่ายใดก็ตามที่ทำข้อตกลงที่ต้องเสียสละผลประโยชน์ของจีนเพื่อแลกกับการผ่อนปรนภาษีศุลกากร หากเกิดสถานการณ์ดังกล่าวขึ้น จีนจะไม่ยอมรับและจะตอบโต้อย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องผลประโยชน์อันชอบธรรมของตน”

เมื่อข่าวนี้มาถึงประเทศไทย ปรากฏว่าสื่อไทยประโคมกันใหญ่ "จีนขู่ประเทศที่ยอมคล้อยตามทรัมป์" 

นิสัยคนไทยนั้นมักจะเขาข้าง "ผู้ถูกบูลลี่" เช่น จีนเองถ้าเป็นฝ่ายถูกบูลลี่ คนไทยก็จะเฮละโลกันให้กำลังใจแล้วด่าประเทศที่รังแกจีน หรืปปฏิบัติต่อจีนโดยไม่เป็นธรรม

แต่คนไทยจะต่อต้านจีนทันทีถ้าจีนทำตัวเป็น "ผู้บูลลี่คนอื่น" 

เช่นกัน หลังจากที่ "จงเซิง" กล่าาว "ข่มขู่" ประเทศที่ทำข้อตกลงกับทรัมป์ คนไทยก็เริ่มรู้สึกว่า "หนีเสือปะจระข้" กับทรัมป์ถ้ายอมก็ตาย กับจีนถ้ายอมก็ตายอีก ไม่เหลือทางเลือกให้เดินเอาเลย ไม่ใช่แค่ไทยแต่รวมถึงชาติอื่นๆ ด้วยที่จะต้องเจอสถานการณ์เดียวกัน 

นี่เองผมถึงบอกว่า "จีนพลาดครั้งใหญ่" เพราะพลิกสถานการณ์จาก "ที่พึ่ง" และ "ผู้กอบกู้" มาเล่นหมากเกมด้วยกับทรัมป์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวโลกรังเกียจ

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนท่าทีแบบนี้ นี่เป็นทัศนะของสื่อของรัฐซึ่งพอจะเปลี่ยนจุดยืนกันได้ แต่ก่อนหน้านี้คนของรัฐออกมาพูดด้วยซ้ำว่าจะตอบโต้ประเทศที่ยอมเอาผลประโยชน์กับจีนเข้าแลกเพื่อดีลกับทรัมป์

แต่ก่อนอื่น ผมอยากให้ข้าใจหัวอกของจีนก่อนว่า "จีนถูกหักหลัง" จริงๆ จากเวียดนามและกัมพูชา ที่เป็นสองประเทศที่คบค้ากับจีนหนักมาก โดยเฉพาะกัมพูชานั้นในช่วงไม่กี่เดือนมานี้จีนช่วยทั้งเรื่องการค้าและเรื่องลงทุนมากมาย แต่ท้ายกัมพูชา "ยอมเอาผลประโยชน์กับจีนเข้าแลกเพื่อดีลกับทรัมป์" แล้วยังคุยโวว่า "นี่คือชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่" เรียกว่าเนรคุณอย่างน่าละอายจริงๆ 

ผมเขียนเรื่องนี้ไปล้วหลายวันก่อน โดยที่ตอนนั้นรัฐบาลจีนไม่ออกอาการโกรธชัดๆ แต่คนจีนโมโหเขมรกันหนักขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน จนกระทั่งวานนี้ สื่อของทางการจีนก็ได้โอกาส "ข่มขู่" ประเทศที่หักหลังและเนรคุณจีน

ครับ ผมเชื่อว่าเป้าหมายของ "จงเซิง" ไม่ใช่ขู่ประเทศที่จะต้อง "เอาผลประโยชน์กับจีนเข้าแลกเพื่อดีลกับทรัมป์" เพราะทุกประเทศถูกบังคับให้ทำแบบนี้ แต่เป้าหมายของ "จงเซิง" คือการตำหนิประเทศอย่างกัมพูชาและเวียดนามที่ "หักหลังจีน" 

โดยเฉพาะกัมพูชานั้น จีนให้ความช่วยเหลือตั้งมากมาย แต่แล้วก็ทำการ "หักดิบ" ด้วยการ Decoupling จากจีนเสียเลย ทั้งยังประกาศเป็นชัยชนะเสียอีก แบบนี้ไม่ให้จีนโกรธก็แปลกแล้ว

แต่ "จงเซิง" ควรจะพูดให้ชัดกว่านี้ว่า จีนจะตอบโต้เฉพาะประเทศที่หักหลังจีนแบบกัมพูชา ส่วนประเทศอื่นๆ ที่ถูกบีบให้ตัดขาดกับจีนโดยไม่เต็มใจ (ทั้งตัดมากตัดน้อย) จีนควรเป็นกำลังใจ ให้ความช่วยเหลือ เปิดตลาด ลงทุนเพิ่ม ฯลฯ 

พูดง่ายๆ คือ สหรัฐฯ "บูลลี่" อะไรมา จีนก็พร้อมที่จะ "ประคับประคอง" ประเทศที่ตกเป็นเหยื่อแล้วช่วยเหลือเท่าๆ กันบที่ถูกเอาเปรียบไป

ผมเชื่อว่าตอนนี้หลายประเทศคงแอบไปคุยกับจีนลับๆ ว่าจะทำอย่างไรดีเพราะถูกสหรัฐฯ บดขยี้มา หากจีนไม่สามารถช่วยได้ จีนก็น่าจะเข้าอกเข้าใจบ้างก็ยังดี 

สำหรับประเทศในอาเซียนที่เก๋าเกมย่อมรู้ว่าการตัดขาดกับจีนนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ในระยะสั้นอาจต้อง "ยอมคล้อยตาม" ทรัมป์อยู่บ้าง รอจนกว่าโอกาสจะมาถึง เมือจีนพร้อมจะช่วยเหลือและอาเซียนสามารถประกาศอิสรภาพจากภาษีทรัมป์ได้สำเร็จ

แม้แต่ประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นมิตรสหายของสหรัฐฯ ก็ยังวิ่งเข้าจีน คงจะมาเจรจาให้ช่วยประคองเช่นกัน เมื่อชัดขนาดนี้แล้วจีนไม่ควรเล่นไปตามบทบาทของทรัมป์ด้วยการเป็น "บูลลี่" แต่ควรเป็นมิตรในยามยาก

ผมเชื่อว่าจีนก็อยากทำแบบนั้น แต่การปล่อยให้สื่อของรัฐออกมาแสดงท่าทีข่มขู่แบบตีขลุมเกินไปจะส่งผลเสียต่อจีนเอง และทำให้มิตรประเทศขวัญเสีย บางประเทศที่นิสัยเป็นไทไม่ยอมฟังใครง่ายๆ อาจจะถึงขั้นต่อต้านด้วยซ้ำ

นี่คือโอกาสที่จะเปลี่ยนขั้วการเมือง/ระเบียบโลกใหม่กันง่ายๆ ถ้าใช้โอกาสนั้นเป็น

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo by TINGSHU WANG and Allison ROBBERT / various sources / AFP
 

TAGS: #สงครามภาษี #จีน #ทรัมป์