'นิสัยละแวก'ของกัมพูชา มักหักหลังไทย ประณามผู้มีพระคุณ แต่ไม่เห็นความผิดตัวเอง

'นิสัยละแวก'ของกัมพูชา มักหักหลังไทย ประณามผู้มีพระคุณ แต่ไม่เห็นความผิดตัวเอง

เมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่การปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชายังแรงๆ อยู่มี 'ปัญญาชน' กัมพูชาคนหนึ่งออกมาแสดงความเห็นว่า "ไทยมักปล่อยข่าวเท็จมาตั้งแต่สมัยลงแวก"

'ลงแวก' ที่ว่านี้ไทยเรียกว่า 'ละแวก' เป็นชื่อยุคสมัยที่เมืองหลวงของกัมพูชาตั้งอยู่ที่เมืองละแวก หรืออำเภอกำปงตระลาจ จังหวัดกำปงชนัง ตรงกัยช่วงกลางสมัยอยุธยาของไทย 

สมัยลงแวกเป็นยุคที่ 'เจ้าเขมร' เริ่มตีกันเอง แล้วหนีมาอยู่ที่ไทย จากนั้นไทยก็จะอุปถัมภ์แล้วส่งกำลังไปช่วยชิงแผ่นดินคืน แล้วเจ้าเขมรพวกนั้นก็มักจะทรยศหักหลังไทย โดยบางครั้งถึงกับยกทัพมาตีแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาเพื่อกวาดต้อนผู้คนไป

จนกระทั่งถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงยกทัพมาตีลงแวกจนแตกในปี พ.ศ. 2129 จากนั้นเจ้าเขมรก็หนีลงใต้ไปตั้งหลักที่เมืองศรีสุนทรจากนั้นก็ย้ายมาเมืองอุดงค์ โดยที่หลังจากนั้นเจ้าเขมรก็ยังตีกันเองไม่หยุด แล้วก็พยายามมาพึ่งใบบุญไทยอยู่เรื่อยๆ 

จากไล่เรียงประวัติศาสตร์ดูจะเห็นว่า นับแต่ตั้งสมัยลงแวก/ละแวกแล้วที่เจ้าเขมรเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย แม้ไทยจะช่วยกู้อำนาจให้หลายครั้ง แต่ก็ตีกันเองอีก บางครั้งพอรวมหัวกันได้ก็สามัคคีแทงข้างหลังไทยเสียอย่างนั้น

แต่ไทยก็ไม่รู้จักจำคอยช่วยค้ำชูเจ้าเขมรเรื่อยมา เพราะเจ้านายไทยทรงเวทนาว่าเป็น "ถือพุทธศาสนาเหมือนกัน" เมื่อเขมรเสียเมืองเพราะทำกันเองบ้าง เชิญศัตรูเข้ามาทำร้ายตัวเองบ้าง ก็ไทยนี่แหละที่ไปช่วยฟื้นบ้านฟื้นเมือง

ดังนั้น 'นิสัยละแวก' เป็นอย่างไรก็ย่อมชัดเจนในทางประวัติศาสตร์

แต่เพราะมักจะตีกันเองเผาเมืองกันเอง ทำให้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของกัมพูชากระพร่องกระแพร่งไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แทนที่จะชำระประวัติศาสตร์ให้เป็นระบบ ผู้ที่ 'พอจะมีความรู้' ในกัมพูชายุคปัจจุบันกลับนิยม 'นั่งเทียนเขียนประวัติศาสตร์กันเอง'

ตัวอย่างก็เช่นบุคคลที่เอ่ยมาข้างต้น

บุคคลนี้ คือ ยง เปา (យង់ ពៅ) อัคคเลขาธิการ (អគ្គលេខាធិការ) แห่งราชบัณฑิตสภากัมพูชา (រាជបណ្ឌិត្យសភាកម្ពុជា) เขียนบนบัญชีเฟซบุ๊กของเขาเมื่อเช้าวันที่ 9 มิถุนายนว่า "หนังสือพิมพ์ไทยเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนอยู่เสมอ เพื่อให้ชาวเขมรสูญเสียความไว้วางใจระหว่างประชาชนกับรัฐบาลกัมพูชา ในแง่ของการทำสงครามจิตวิทยา โปรดใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง นี่คือสิ่งที่เซียมทำมาตั้งแต่สมัยลงแวก"

บุคคลนี้เป็นถึง 'ราชบัณฑิต' มีแต่อคติโดยเรียกประเทศไทยด้วยคำว่า 'เซียม' (សៀម) หรือสยาม ซึ่งแม้จะเป็นชื่อของประเทศไทยก็ตาม แต่ปัจจุบันมีนัยในทางดูหมิ่นเพื่อให้แตกต่างจากคำเรียกทางการว่า 'ไท' (ថៃ)

คนที่ดูแคลนชาติอื่นแบบนี้ แสดงว่ากอปรด้วยโทสจริต คนที่มีความโกรธในใจ ต่อให้เป็น 'ดอกเตอร์' ก็สามารถทำอะไรที่โง่เขลาได้เหมือนกัน

ดังเช่นคำสอนของ 'พระโพธิญาณเถร' หรือ 'หลวงพ่อชา สุภัทโท' ที่กล่าวว่า "เวลาโกรธ ด็อกเตอร์ หรือ ป.4 ก็โง่พอๆกัน"

ยังไม่นับว่า 'ราชบัณฑิต' ผู้นี้ยังโมเมอ้างว่า การปล่อยช่าวเท็จ "คือสิ่งที่เซียมทำมาตั้งแต่สมัยลงแวก"

ผมพลิกประวัติศาสตร์อ่านดูแล้วไม่เห็นจะมีตอนไหนที่ไทยไปปล่อยข่าวปลอมปลุกปั่นพวกชนชั้นนำกัมพูชา มีแต่พวกเจ้าเขมรด้วยกันเองปล่อยข่าวลือเพื่อฆ่าและชิงอำนาจกันเอง 

ตัวอย่างเช่น ในยุคอุดงค์หรือยุคที่คล่อยหลังจากยุคละแวกและยุคศรีสุนทร ในสมัยสมเด็จพระนารายน์ราชารามาธิบดี หรือ นักองค์ตน กษัตริย์กัมพูชาในช่วงปลายสมัยอยุธยาของไทย ซึ่งเป็นยุคที่เจ้าเขมรเริ่มซัดกันเองอีกครั้งแล้วหนีมาพึ่งอยุธยาอีกครั้ง 

กรณีการซัดกันเองด้วยข่าวลือเกิดขึ้นดังนี้ (เนื้อความจากหนังสือ "รวมเรื่องเกี่ยวกับญวนและเขมรในสมัยรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 4) ของกรมศิลปากร") หลังจากที่เจ้าเขมรเข่นฆ่ากันมาจนถึงยุคสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นักองค์ตนซึ่งชิงอำนาจกับนักองค์นนท์ก็ดำริว่าชิงอำนาจกันมานานแล้ว "ที่รบพุ่งฆ่าฟันกันนี้ ก็เพราะปรารถนาสมบัติ ถ้าจะนิ่งอยู่ดังนี้ ราษฎรก็ไม่มีความสุข" นักองค์ตนจึงยอมยกราชสมบัติให้กับนักองค์ตนขึ้นเป็นกษัตริย์ พระนามว่าสมเด็จพระรามราชาธิราช ส่วนตนเองลดฐานะลงมาเป็น 'อุปโยราช' ซึ่งเป็นตำแหน่งกษัตริย์ที่สละราชบัลลังก์ ส่วนอนุชา (น้องชาย) ของนักองค์ตน ดำรงตำแหน่งเป็น 'มหาอุปราช' คือรัชทายาทหรือผู้ที่มีสิทธิ์เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป

เรื่องนี้สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเห็นด้วยแม้ว่าจะทรงสนับสนุนพระนารายน์ราชารามาธิบดี หรือนักองค์ตนก็ตาม

แต่ทว่า "ครั้นมาถึงปีระกา นพศพ จุลศักราช 1139 (พ.ศ. 2320) พระยาวิบูลยราชชื่อซู คิดจะเอาราชสมบัติให้แก่พระมหาอุปราชๆ ไม่ยอม จึ่งกลับไปทูลสมเด็จพระรามราชาว่า พระมหาอุปราชคิดกบฎ สมเด็จพระรามราชาไม่ทันพิเคราะห์ เชื่อว่าเป็นความจริง จึ่งให้พระยาวิบูลยราชไปคิดฆ่าพระมหาอุปราช พระยาวิบูลยราชจึงให้พระยาศรีอรรคราชไปลอบฆ่าพระมหาอุปราชเสีย พระมหาอุปราชอายุ 22 ปี ฝ่ายพระมหาอุปโยราชออกจากที่ทรงราชย์ได้ 2 ปีก็ป่วย ครั้นแจ้งว่ามีผู้ลอบฆ่าพระมหาอุปราชอนุชาเสียแล้ว ก็มีความโทมนัสเป็นอันมาก โรคที่ป่วยก็กำเริบขึ้น ถึงแก่พิราลัย"

ต่อมาพวกขุนนางทรยศหักหลังนักองค์นนท์หรือสมเด็จพระรามราชา ทำการคบคิดกับเวียดนาม แล้วปล้นพระราชวังแล้วเผามณเฑียรทั้งสิ้น สมเด็จพระรามราชาถูกกบฏเขมรกับพวกญวนจับตัวได้แล้วจับถ่วงน้ำจนสิ้นพระชนม์

หลังจากนั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงทราบว่าเขมรขบถไปเข้ากับญวน จึงส่งทัพไปปราบนำทัพโดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) และเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณวาธิราช (วังหน้าพระยาเสือ)

ต่อมาเมื่อกัมพูชากลายเป็น 'ประเทศราช' ของฝรั่งเศสแล้วและยืนด้วยลำแข้งตัวเอง แทนที่จะสนใจกับเรื่องของตัว กลับเพ่งเล็งว่าไทยต้องการจะยึดดินแดนของตน ถึงขนาดปั้นเรื่องโกหกเพื่อใส่ร้ายไทยในสมัยทรี่ 'สีหนุ' เป็นใหญ่ โดยที่สีหนุผู้นี้พออยากได้เอกราชจากฝรั่งเศสขึ้นมาก็ซมซานมาหาไทย แต่ไทยก็ไม่อาจช่วยแต่ก็ต้อนรับขับสู้อย่างดี คาดไม่ถึงว่าพอไล่ฝรั่งเศสไปแล้ว สีหนุก็โจมตีไทยครั้งใหญ่ด้วย 'นิสัยละแวก' ไม่ผิดเพี้ยน

จนกระทั่งรัฐบาลไทยต้องเผยแพร่หนังสือ "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา" เมื่อปี 2504 หลังจากที่กัมพูชาตัดความสัมพันธ์กับไทย 2 ครั้งโดยอ้างว่าไทยต้องการรุกรานกัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องโกหก ทั้งยังมีการปลุกปั่นโดยสีหนุและสื่อเขมรเพื่อใส่ร้ายป้ายสีไทยด้วยเรื่องโกหกต่างๆ นานา จนกระทรวงการต่างประเทศต้องออกหนังสือเล่นนี้เพื่อตอบโต้ ความตอนหนึ่งว่า 

"ข้อกล่าวหาทั้งปวงของกัมพูชาเป็นการเสกสรรค์ปั้นขึ้นเพื่อลวงมติมหาชนของโลก จึงย่อมจะไร้ผลเมื่อความจริงปรากฏขึ้น สิ่งที่น่าเสียใจมากขึ้นไปอีกก็คือ ข้อกล่าวอันปราศจากมูลความจริงเหล่านี้ มุ่งที่จะก่อให้เกิดความเกลียดชังในหมู่ชาวกัมพูชาต่อประเทศไทย และเพื่อเป็นทางที่จะได้มาซึ่งประโยชน์ทางการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ อีกทั้งยังมุ่งต่อการสร้างสงครามด้วยจิตวิปลาสดังจะเห็นได้จากรายงานข่าวที่ว่ารัฐบาลกัมพูชาได้ดำเนินมาตรการทางทหาร และจัดเคลื่อนย้ายทหารตลอดจนขุดสนามเพลาะใกล้ชายแดนไทย"

ข้อความจากเมื่อปี 2504 นี้ยังเป็นความจริงใน พ.ศ. นี้ โดยที่กัมพูชายังโกหก ปล่อยข่าวลวง ทำสงครามจิตวิทยา และยัง "ขุดสนามเพลาะใกล้ชายแดนไทย" เหมือนเดิมทุกกระเบียด

นั่นแสดงว่า 'นิสัยละแวก' เป็นการสืบสันดานต่อๆ กันมาโดยชนชั้นนำเขมรไม่มีการแก้ไขดัดแปลงนิสัยนี้ให้ดีขึ้นเลย แม้เวลาจะผ่านมาเป็นร้อยๆ ปีแล้วก็ตาม

นี่เป็นแค่ตัวอย่างสองสามเรื่องของการ "โกหกเพื่อชิงอำนาจ" และ "เขมรฆ่าเขมรด้วยกันเองเพื่อชิงอำนาจ" ในประวัติศาสตร์กัมพูชา ทั้งหมดนี้ "เขมรฆ่ากันเอง" ไม่ได้เกี่ยวข้องกับไทยเลย และคนปล่อย "เฟคนิวส์" ก็ไม่ใช่ไทย แต่เป็นเขมรด้วยกันเอง

ราชบัณฑิตเขมรจึงควรจะอ่านประวัติศาสตร์ตัวเองให้ถี่ถ้วน ก่อนที่จะเอาประวัติศาสตร์มาโจมตีไทยไม่อย่างนั้นจะเป็นการ "ทำปืนลั่นใส่เท้าตัวเอง" 

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล ในกรุมพนมเปญ ถ่ายปี ค.ศ. 1895 ถ่ายโดย  André Salles ภาพเป็นของ  Bibliothèque nationale de France

TAGS: #กัมพูชา #ละแวก #เขมร #ประวัติศาสตร์