จากข้อมูลเดือนมีนาคม 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงเหลือ 297,000 คน จาก 372,000 คนในเดือนกุมภาพันธ์
ในขณะเดียวกัน เวียดนามกลับมีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน 631,000 คน เพิ่มขึ้นแบบเท่าตัวจาก 381,000 คนในเดือนก่อนหน้า
บางคนจึงบอกว่า "เวียดนามแซงไทยแล้ว" อย่างน้อยก็ในแง่การท่องเที่ยว ซึ่งผมเห็นว่าเป็นการด่วนสรุปไปหน่อย
นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ตังเลขนี้บอกกับเราว่า "เราต้องยอมรับเสียทีว่า ประเทศไทยไม่ปลอดภัย" หรือ "ประเทศไทยปลอดภัยน้อยกว่าเวียดนาม"
ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าผมทำตัวเหน็บแนม ค่อนแคะ กล่าวแซะประเทศตัวเอง
แต่ถ้าเราไม่ยอมรับว่ามันเป็นปัญหาจริงๆ แล้วเราจะแก้ปัญหาได้เมื่อไร?
ถ้าเราต้องการจะพึ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต่อไป เราก็ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนต่อไป การจะพึ่งพาพวกเขาต้องเข้าใจ "จิตใจ" ของพวกเขาด้วย
คนจีนนั้นกังวลเรื่องความปลอดภัยที่สุด แต่ในระยะสองสามปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีเรื่องทำให้คนจีนผวาดผวามากที่สุด โดยเฉพาะ "ข่าวลือ" และ "ข่าวจริง" ที่เกี่ยวข้องกับพวกสแกมเมอร์
ทั้งจีนเทาและไทยเทาทำให้คนจีนไม่กล้ามาไทย
แทนที่รัฐบาลไทยจะทำให้บ้านเมืองปลอดภัยขึ้น กลับเมินเฉยเรื่องสแกมเมอร์ จนกระทั่งคนจีนสงสัยว่า "เจ้าหน้าที่ไทยคงเกี่ยวข้องกับพวกสีเทา"
ผมจะไม่พูดมาก เพราะพูดไปหลายครั้งแล้ว เอาเป็นว่า "คนจีนกลัวไทย" และมักจะถามว่าเมืองไทยมีเรื่องพรรค์นั้นเยอะแยะไปหมด เพราะอะไร?
เพราะรัฐบาลไทยไม่จริงจังกับการแก้ข่าว แค่ประกาศแผ่นเดียวไม่พอที่จะทำให้คนคบายกังวลได้หรอกครับ เพราะความเสียหายมันหลายพันล้าน ดังนั้นวิธีแก้จึงควรใช้วิธี"ระดับพันล้าน" เหมือนกัน
"พันล้าน" ที่ว่านี้ไม่ใช่เงินอย่างเดียว แต่หมายถึงปฏิบัติการที่มีความซับซ้อนมากกว่านี้ เพื่อประชาสัมพันธ์ประเทศแบบใหม่เอี่ยม เพราะภาพจำล่าสุดมันลบเอามากๆ และต้องทำลาย "ความกลัว" ในใจนักท่องเที่ยวให้หมด
นี่คือเหตุที่คนจีนแห่ไปเวียดนาม อย่างแรกคือเวียดนาม "สด" กว่าไทยในแง่เป็นจุดหมายปลายทางใหม่
อย่างที่สองคือเวียดนามไม่มีปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ แม้ว่าจะมีแหล่งสีเทาในกัมพูชาใกล้เวียดนามและมีคนเวียดคนจีรนถูฏหลอกไปที่นั่นจำนวนพอสมควร แต่มันไม่สามารถทำให้เวียดนามมีภาพจำแบบ "แดนสีเทา" เหมือนที่คนจีนจำนวนหนึ่งมองไทย
และโปรดทราบว่า เวียดนาม "มีเรื่องคลางแคลงใจกับจีน" ในทางภูมิรัฐศาสตร์และทางประวัติศาสตร์ มักจะมีการ "เล่นงานคนจีน" อยู่เสมอ ซึ่งไทยไม่เคยมีเงื่อนไขปัจจัยแบบนี้ ดังนั้น เมื่อคนจีนจะไปเวียดนามก็มักจะไปแบบแหยงๆ เพราะกลัวจะถูก "เหยียด" แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นเท่าไร
และนี่แสดงว่า คนจีนไม่กลัวที่จะไปเที่ยวประเทศที่มีปัญหาทางการเมืองกับตัวเอง แต่กลัวที่จะไปประเทศมีปัญหาเรื่องมีเทาๆ
อีกประการคือ เวียดนามมีรัฐบาลที่รวบอำนาจสูงจะสั่งการอะไรก็ง่าย เช่น "การเก็บข่าวลบ" และ "ประโคมข่าวบวก" เรื่องนี้ก็เป็นจุดเด่นของเวียดนามอย่างหนึ่ง ในขณะที่ไทยนั้น เต็มไปด้วยบรรยายกาศของ "ข่าวลบ" วันๆ มีแต่ข่าวฆ่ากันตาย และการหลอกลวง
เวียดนามน่ะหรือครับ? มีแต่ข่าวความเจริญของบ้านเมือง และการส่งเสริมวัฒนธรรม และความเรียบร้อยของบ้านเมือง แม้แต่ผมเองก็ยังรู้สึก "บ้านเมืองเขาสงบสุข" แน่นอนว่า มันเป็นแค่ความรู้สึก ยังห่างไกลจากความจริง
ความรู้สึกของคนจีนต่อเวียดนามนั้น "บวก" กว่าไทยเพราะเวียดนามปลอดสีเทานั่นเอง
ในขณะที่ไทยมีภาพจำในสมองของคนจีนในเรื่อง "ลักพาตัวขโมยไต" หรือ "ก่าเยาจื่อ" (噶腰子) ซึ่งเป็นข่าวลืออันชั่วร้ายที่แพร่ในจีนช่วงปีสองปีนี้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ซา เหตุเพราะข่าวลือบ้าๆ ถูก "ความจริงเรื่องสแกมเมอร์" หนุนให้มีน้ำหนักมากขึ้นโดยฉพาะกรณีการลักพาตัว "ซิงซิง"
เพราะภาพมันน่ากลัวแบบฝังใจนี่เอง ผมถึงบอกว่ารัฐบาลอยากจะหาเงินกับนักท่องเที่ยวจีน ก็ควรจะคิดให้ลึกกว่านี้เถิดครับ การไปออกโรดโชว์ งานอีเว้นต์ หรือให้นายกฯ พูดจีนแบบปลอมๆ มันใช้ไม่ได้หรอก
ผมจะยกตัวอย่างรายงานเรื่อง "เที่ยวเมืองไทยได้หรือเปล่า? ชาวจีนบอกเล่าเรื่องราวจริงของการ “เที่ยวเมืองไทย”" ของสถานีโทรทัศน์กลางของจีน (CCTV) ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2023 ตั้งแต่เกิดข่าวลือเรื่อง "ลักพาตัวขโมยไต" เกิดขึ้นใหม่ๆ
เขาสรุปไว้ได้ดีว่า "แน่นอนว่าเราสามารถวิพากษ์วิจารณ์และเปิดโปงปัญหาที่เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้ แต่การตั้งสมมติฐานนั้นต้องอาศัยข้อเท็จจริง คนดังทางอินเทอร์เน็ตบางคนใช้การคาดเดาเพื่อ "เปิดเผย" ข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันหรือเป็นข้อมูลปลอม ทำให้เกิดบรรยากาศที่ตึงเครียดและน่าสะพรึงกลัว นี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่รับผิดชอบ และผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นนั้นยากที่จะขจัดออกไป"
นี่คือการตำหนิคนจีนด้วยกันเองว่าปล่อยข่าวลือ และควรจะเลิกพฤติกรรมนี้เสีย
ผมมองว่านี่คือ "การช่วย" ของจีนเพื่อแก้ข่าวมั่วซั่วทั้งหลายที่เกาะกินเมืองไทย แต่หลังๆ เขาไม่ได้ทำแบบนี้แล้ว คงเพราะประเทศไทยนั้นเกินเยียวยาและ "ช่วยไม่ไหวแล้ว" เนื่องจากข่าวลือได้ถูก "เสริมแรง" ด้วยความจริงที่เกิดขึ้นในช่วงปีนี้
ช่วยไม่ช่วยนั้นเป็นความเห็นของผมเอง แต่เรื่องที่ยืนยันได้คือ สกู๊ปของ CCTV ชิ้นนี้สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องทั้งจีนและไทยค่อนข้างรอบด้าน สรุปออกมาน่านับถือ เทียบกับการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลไทยแล้ว ผมให้ "ตก"
สถานการณ์ความเชื่อมั่นต่อไทยตอนนี้เลวร้ายถึงจุดต่ำสุด ไม่สามารถนิ่งนอนใจแล้วให้ "จีนช่วย" เหมือนปีสองปีก่อนได้อีกแล้ว
พอจะแก้ปัญหา ก็ทำโดยไม่ลงทุน (แต่หวังผลสูง) พอผลลัพธ์มันออกมาเลวร้าย แทนที่เราจะมองตัวการปัญหาและหาวิธีแก้ที่มันทะลุทะลวงปัญหา เรากลับโอดครวญว่า "เพื่อนบ้านแซงเราแล้ว"
ผมไปเวียดนามมาก็พอสมควร ยอมรับว่าบ้านเมือง "เป็นระเบียบดี" และ "ผมชอบเวียดนามจริงๆ" แต่ถามว่าการท่องเที่ยวของเวียดนาม "โอ้โห" เท่าไทยหรือไม่ ตอบแบบไม่ลำเอียงเลยว่า "ประเทศไทยสวยที่สุด"
โดยเฉพาทะเล อาหาร และวัฒนธรรมของไทยไม่มีใครโค่นได้ในอาเซียนนี้
คนจีนแห่ไปเวียดนามไม่ใช่เพราะเวียดนามติดกับจีน แต่เพราะ "เที่ยวเวียดนามแล้วอุ่นใจกว่า" เอาเข้าจริงคนจีนบางคนรู้สึกว่า "เวียดนามคือจีนในอีกเวอร์ชั่น" เที่ยวครั้งสองครั้งก็เบื่อ
แต่เมืองไทยนั้นมากี่ครั้งก็แปลกใหม่ทุกครั้ง ไม่สามารถลบเลือนจากใจได้
ดังนั้น เรามาทำเมืองไทยให้น่าอุ่นใจกันอีกครั้งเถอะครับ
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - TOPSHOT - ผู้หญิงคนหนึ่งโพสท่ากับธงชาติเวียดนามหน้าทำเนียบเอกราชในนครโฮจิมินห์ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2025 ก่อนการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีสิ้นสุดสงครามเวียดนาม (ภาพโดย Nhac NGUYEN / AFP)