เมื่อผมได้ยินคำกล่าวของคุณ 'พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส' อดีตผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน จากรายงานของ 'เพจ ติ่งข่าว เวิร์คพอยท์' ผมก็นึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งได้
โดยคุณพิศิษฐ์ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ตึก สตง. ที่ถล่มว่า "เป็นเพราะผมเลือกฮวงจุ้ยไม่ดีเอง ต้องขอภัยด้วย" และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า "ขณะดำรงตำแหน่งเขาเป็นผู้มีบทบาทในการคัดเลือกสถานที่ก่อสร้างสำนักงานดังกล่าว และในตอนนั้น ให้ความสำคัญกับหลักฮวงจุ้ยเป็นพิเศษ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เขารู้สึกเสียใจและยอมรับความรับผิดชอบในส่วนของตน"
ผมเองมีความสนในศาสตร์โบราณของจีนอยู่บ้างรวมถึง 'ฮวงจุ้ย' ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการ "สร้างบ้านแปงเมือง" ของจีน แม้แต่ยุคปัจจุบันก็ยังต้องพึ่งศาสตร์นี้
เมืองหลวงของจีนนั้นถูกวิเคราะห์ฮวงจุ้ยตั้งแต่ก่อนสร้างจนถึงตอนนี้ก็ยังมีการวิเคราะห์กันว่าเหตุใดเมืองหลวงนี้ถึงอยู่ไม่ยืด และทำไมเมืองหลวงนี้ถึงอายุยืนยาว แม้แต่ภัยสงครามก็ทำอะไรไม่ได้
เรื่องนี้อย่าให้สาธยาย เพราะจะยืดยาวเกินไป เอาเป็นว่าเรื่อง'ฮวงจุ้ย'ไม่ใช่สิ่งที่จะพูดเล่นๆ ได้เป็นถือเป็น 'ศาสตร์ระดับชาติ' อย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม คนที่เรียน 'ฮวงจุ้ย' ย่อมจะทราบดีว่า ยังมีสิ่งที่เหนือกว่า 'ฮวงจุ้ย' อยู่อีก
นั่นคือ 'คุณธรรม'
เพราะต่อให้เลือก 'ฮวงจุ้ย' ดีแค่ไหน ถ้าคนสร้าง คนอยู่ คนเกี่ยวข้องไร้คุณธรรมเสียแล้ว บ้านก็ฉิบหายเมืองก็วายป่วงได้
ดังคำกล่าวว่า "หนึ่งคือคุณธรรม สองคือชะตา สามคือฮวงจุ้ย" (一德,二命,三风水)
ปราชญ์ด้านปรัชญาจีนและพุทธรรมในยุคปัจจุบัน คือท่านอุบาสกหนานไหวจิ่น (南怀瑾) ได้กล่าวไว้ใน "การบรรยายพิเศษเรื่องอี้จิง" 《易经系传别讲》 (อี้จิงเป็นหลักการทำนายทักของจีน) เอาไว้ดังนี้
ในเรื่องของคุณธรรมอันเป็นอันดับหนึ่งของโลกเรานั้น ท่านกล่าวว่า "“โลกนี้ต่ำต้อย วิญญูชนย่อมแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยคุณธรรมอันยิ่งใหญ่” เงินทอง ความมั่งคั่ง อำนาจ ชื่อเสียง ความสุขในชีวิต ฯลฯ ล้วนอยู่ในขอบเขตของสิ่งต่างๆ และต้องแบกไว้ด้วยคุณธรรม จะเห็นได้ว่ารากฐานที่แท้จริงของคนๆ หนึ่งอยู่ที่คุณธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของความเป็นมนุษย์
"คำสอนตระกูลจูซี 《朱子家训》 (จูซี หรือจูจื่อ คือปราชญสำนักขงจื๊อสมัยราชวงศ์ซ่ง) กล่าวไว้ว่า “หากคุณธรรมไม่สอดคล้องกับสถานะ ความหายนะจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” เรื่องนี้เตือนเราว่าผู้คนต้องมีศีลธรรมอันสูงส่งจึงจะสามารถรับพรแห่งเงิน อำนาจ และชื่อเสียงได้ มิฉะนั้น หากคุณธรรมไม่สอดคล้องกับสถานะ ความหายนะจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน"
ในเรื่องของโชคชะตานั้นท่านกล่าวไว้ว่า "โจวอี้ 《周易》 (ตำราว่าด้วยการทำนายของจีน) เชื่อว่าโชคชะตาสามารถแบ่งได้เป็น “โชคชะตาโดยกำเนิด” (先天命 หรือชะตาฟ้าลิขิตก่อน) และ “โชคชะตาที่ได้มาเอง” (后天命 หรือชะตาหลังฟ้าลิขิต) โชคชะตาโดยกำเนิดนั้นอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ ในขณะที่โชคชะตาที่ได้มานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยความพยายามของแต่ละบุคคล
"หากเรารู้ชะตากรรมของตนเองและเข้าใจหลักการของชีวิต เขาก็จะไม่กังวล
"อย่างไรก็ตาม อนาคตของเราขึ้นอยู่กับทางเลือกที่เราเลือกในตอนนี้ เรายังสามารถควบคุมและสร้างโชคชะตาของเราเองได้
"โชคชะตาโดยกำเนิดนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่โชคชะตาที่ได้มาเองนั้นสามารถระงับมันได้
"การควบคุมโชคชะตาของตนเองคือความหมายที่แท้จริงของการดำเนินชีวิต"
ส่วนเรื่องฮวงจุ้ย ท่านกล่าวไว้ยาวมาก แต่ขอให้ค่อยๆ อ่านแล้วจะเข้าใจความนัยของศาสตร์นี้ ท่านกล่าวว่า
"ชาวจีนเชื่อว่า “ความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ” เป็นแนวคิดที่เชื่อว่าจิตวิญญาณของมนุษย์เชื่อมโยงกับพลังจิตวิญญาณของสวรรค์และโลก
ดังคำกล่าวที่ว่า “สถานที่ที่ดีจะหล่อเลี้ยงคนเก่ง” แผ่นดินและน้ำที่ดีสามารถหล่อเลี้ยงคนเก่งได้
ตั้งแต่สมัยโบราณ หลายคนเชื่อว่าฮวงจุ้ยที่ดีสามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ผู้คนได้
เช่นเดียวกับต้นไม้ หากเติบโตในดินที่อุดมสมบูรณ์ ผลจะเต็มที่ตามธรรมชาติ หากเติบโตในที่แห้งแล้ง ก็จะยากต่อการผลิตผลที่มีคุณภาพสูง
ฮวงจุ้ยคืออะไร “ลม” (ฮวง) หมายถึงบรรยากาศและพลังงานสนาม ส่วน “น้ำ” (จุ้ย) หมายถึงการไหลและการเปลี่ยนแปลง พูดง่ายๆ ฮวงจุ้ยคือความสมดุลระหว่างผู้คนและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
เราต้องการฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดเสมอ จริงๆ แล้ว ฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดอยู่ที่ใจของเรา ฮวงจุ้ยหล่อเลี้ยงผู้คน คนก็หล่อเลี้ยงฮวงจุ้ยด้วย คนมีกุศลอาศัยอยู่ในสถานที่อันประเสริฐ
หัวข้อแรกในหนังสือ “สิบสิ่งไร้ประโยชน์” 《十无益》 ของหลินเจ๋อสวี (林则徐 วีรบุรุษสมัยราชวงศ์ชิงผู้ต่อสู้ในสงครามฝิ่น) พูดถึง “ถ้าเจตนาไม่ดี ฮวงจุ้ยก็จะไม่มีประโยชน์”
สถานที่ที่มีฮวงจุ้ยดีก็จะมีรัศมีแห่งความสงบสุข เมื่อรัศมีแห่งความเป็นมงคลเข้ามาเท่านั้น จึงจะเกิดการสั่นพ้องกับรัศมีเดียวกัน และรัศมีแห่งความสงบสุขจะยิ่งเข้มข้นขึ้น แม้ว่าคนชั่วจะพบสถานที่ฮวงจุ้ยที่ดีจริงๆ เขาก็อาจเสื่อมถอยเร็วขึ้นเพราะรัศมีที่ไม่เข้ากัน
ดังนั้น หากคนๆ หนึ่งไม่มีจิตใจดี ไม่ว่าฮวงจุ้ยจะดีแค่ไหนก็ไม่สำคัญ หลายคนลืมหลักการพื้นฐานนี้และแสวงหาโชคลาภและผลตอบแทนโดยเปล่าประโยชน์
นักธุรกิจอธิษฐานต่อพระพุทธเจ้าและเทพเจ้า หวังว่าจะได้เงิน แต่อย่าลืมว่าการทำธุรกิจที่ซื่อสัตย์คือฮวงจุ้ยที่ดีที่สุด"
นี่คือข้อเขียนอันล้ำลึกของอุบาสกหนานไหวจิ่น
หากอ่านตั้งแต่บทว่าด้วยคุณธรรมจนถึงฮวงจุ้ย ก็จะเห็นความเชื่อมโยงหนึ่งซึ่งสะท้อนได้ในคำกล่าวว่า “ถ้าเจตนาไม่ดี ฮวงจุ้ยก็จะไม่มีประโยชน์” ซึ่งหมายความว่าต่อให้โลเคชั่นเป็นเลิศ แต่ถ้าเจ้าของสถานที่มีจิตไม่เป็นกุศล มันก็อาจกลายเป็นสถานที่อันชั่วร้ายได้เหมือนกัน
และคำกล่าวว่า "สถานที่ที่มีฮวงจุ้ยดีก็จะมีรัศมีแห่งความสงบสุข เมื่อรัศมีแห่งความเป็นมงคลเข้ามาเท่านั้น จึงจะเกิดการสั่นพ้องกับรัศมีเดียวกัน" ซึ่งสะท้อนว่าหากโลเคชั่นดีงาม จิตใจผู้ครอบครองยิ่งเปี่ยมกุศลและคุณธรรม สถานที่นั่นยิ่งยอดเยี่ยม
โดยรวมก็คือสถานที่เป็นรอง จิตใจอันประเสริฐนั้นสำคัญที่สุด
จะขอทิ้งท้ายเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "หนึ่งคือคุณธรรม สองคือชะตา สามคือฮวงจุ้ย" อีกสักเรื่องเพื่อให้เห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมขึ้นเกี่ยวกับหลักการนี้
เรื่องเล่านี้มีเวอร์ชั่นต่างกันออกไป แต่เนื้อหาสาระเหมือนกัน
ครั้งหนึ่ง มีอาจารย์ฮวงจุ้ยกำลังเดินทางไกล รู้สึกเหนื่อยและกระหายน้ำมาก จึงหยุดพักที่บ้านหลังหนึ่งแล้วขอน้ำจากเจ้าของบ้าน
เจ้าของบ้านที่กำลังยุ่งอยู่จึงส่งน้ำให้ แต่ก่อนที่อาจารย์ฮวงจุ้ยซึ่งกำลังหิวน้ำแทบจตายจะได้ดับกระหายให้สบายอุรา เจ้าของบ้านกลับโปรยรำข้าวลงไปในชามน้ำ ทำให้ดื่มลำบากเข้าไปอีก อาจารย์ฮวงจุ้ยคิดว่าเจ้าของบ้านคิดจะกลั่นแกล้ง จึงผูกใจเจ็บเอาไว้
เมื่อดื่มน้ำเสร็จแล้วจึงดูภูมิสถานรอบๆ บ้าน พบว่ามีฮวงจุ้ยปีศาจอยู่ใกล้ ด้วยความที่เจ็บใจเพราะถูกแกล้ง จึงแนะนำเจ้าของบ้านว่า "นี่แน่ะ ข้าไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นอาจารย์ฮวงจุ้ยที่มีชื่อเสียง เห็นว่าบ้านของท่านมีฮวงจุ้ยอันประเสริฐอยู่ทางตะวันออก หากไปทางสร้างบ้านที่นั่นจะมั่งคั่งร่ำรวยกายในปีสองปีนี้" (บางเวอร์ชั่นบอกว่าแนะให้เจ้าของบ้านสร้างฮวงซุ้ยบรรพบุรุษที่นั่น)
เจ้าของบ้านก็ดีอกดีใจ บอกว่ากำลังจะสร้างบ้านใหม่พอดี ถ้าอย่างนั้นก็สร้างมันตรงจุดที่ว่าเลยแล้วกัน (อีกเวอร์ชั่นว่ากำลังจะฝังพ่อที่ตายไปไม่นาน ณ จุดนั้น) แล้วก็ขอบคุณอาจารย์ฮวงจุ้ยยกใหญ่
อาจารน์ฮวงจุ้ยก็จากไปโดยคิดว่าครอบครัวนี้จะต้องพินาศในเร็ววัน เพราะเขาบอกฮวงจุ้ยอันเลวร้ายให้
อีกสิบปีต่อมา บังเอิญอาจารย์ฮวงจุ้ยกลับที่บ้านแห่งนั้นอีก แทนที่จะพบกับบ้านคนจนข้นแค้น กลับพบว่าบ้านนั้นมั่งมีด้วยทรัพย์สิน มีปศุสัตว์มากมาย ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง
อาจารย์ฮวงจุ้ยถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ก็นี่เราบอกฮวงจุ้ยอับจนให้พวกนี้ แล้วทำไมพวกเขาถึงได้เป็นตรงกันข้ามกับที่ฮวงจุ้ยกำหนดไว้ เมื่อลองตรวจดู ก็ยิ่งตกใจเพราะฮวงจุ้ยอัปรีย์นั้นก็ยังอัปรีย์ตรงตามตำราเหมือนเดิม แต่ทำไมคนที่อยู่ถึงได้อยู่ดีมีสุข?
อาจารย์ฮวงจุ้ยจึงเข้าไปทักทายเจ้าของบ้าน แล้วเล่าเรื่องย้อนหลังตอนที่เขามาขอน้ำกินแล้ว "ถูกแกล้ง" ว่าทำไมเจ้าของบ้านถึงทำแบบนั้นกับเขา
แต่เจ้าของบ้านแย้งว่า "ท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้แกล้งท่านเลย ที่ข้าโปรยรำข้าวลงไปในชามน้ำ ก็เพราะเห็นท่านกระหายน้ำขนาดหนัก หากรีบดื่มจะทำให้สำลักตายได้ จึงโปรยรำข้าวลงไปให้ท่านต้องคอยเป่ารำข้าวออกแล้วดื่มช้าๆ จะได้ไม่เป็นอันตราย"
อาจารย์ฮวงจุ้ยจึงเข้าใจในบัดดลว่า จิตอันเป็นกุศลของเจ้าบ้านที่หวงใยอาคันตุกะนี่เองที่เป็นพลังคอยคุ้มครองบ้านของเขาจากฮวงจุ้ยอันเลวร้ายและการกลั่นแกล้ง
แต่ก่อนนั้นเขาไม่เชื่อว่า "หนึ่งคือคุณธรรม สองคือชะตา สามคือฮวงจุ้ย" และเชื่อว่า "ที่หนึ่งคือฮวงจุ้ย" ต่างหาก ตอนนี้เขาอย่างสุดใจแล้วว่า "ที่หนึ่งคือคุณธรรมจริง" และผู้ที่ทำความดีฟ้าดินย่อมคุ้มครอง ไม่ว่าการกลั่นแกล้งใดๆ โดยศาสตร์ใดๆ ก็ไม่อาจทำอันตรายเขาได้
ตำนานเรื่องนี้ช่วยตอกย้ำว่า "หนึ่งคือคุณธรรม สองคือชะตา สามคือฮวงจุ้ย" อย่างแท้จริง
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณธิการข่าวต่างประเทศ The Better