ชัยชนะมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ชาวเมืองยะไข่จะล้างแค้นเพื่อเอาคืนสิ่งที่เสียไป

ชัยชนะมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ชาวเมืองยะไข่จะล้างแค้นเพื่อเอาคืนสิ่งที่เสียไป

นี่คือเมืองในประเทศเมียนมาที่ว่างเปล่า และทรุดโทรม มันสะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนของการทำสงครามและราคาแห่งชัยชนะที่ชาวเมืองต้องจ่ายไป เพื่อเอาชนะรัฐบาลเผด็จการทหาร

อาคารที่พังทลาย หน้าต่างเปล่าๆ และย่านอาคารที่ถูกทิ้งระเบิดจนเหลือแต่เศษอิฐและปูน แสดงให้เห็นถึงต้นทุนที่เมืองเป้าก์ตอ ในรัฐยะไข่หรือรัฐอาระกันทางตะวันตกของเมียนมาร์ ต้องเสียให้กับชัยชนะต่อรัฐบาลเผด็จการทหารในสงครามกลางเมืองของประเทศ

นักรบจากกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์กองทัพอาระกัน (AA) เข้าควบคุมเมืองเป้าก์ตอ อันเป็นท่าเรือประมงที่มีผู้คน 20,000 คนเมื่อเดือนมกราคม ในที่ความขัดแย้งที่ระเบิดขึ้นมาหลังจากการรัฐประหารของกองทัพ ซึ่งย่างเข้าสู่ปีที่ 4 แล้วและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ 

เมืองเป้าก์ตอเป็นหนึ่งในสมรภูมิแห่งแล้วแห่งเล่าที่รัฐบาลเผด็จการทหารต้องเผชิญกับความสูญเสียทั่วประเทศในช่วงเวลาที่กองกำลังชนกลุ่มน้อยและฝ่ายต่อต้านเผด็จการโต้กลับอน่างหนัก ส่งผลให้หลายคนหวังว่าอำนาจทหารที่ครอบงำการเมืองของเมียนมามานานหลายทศวรรษจะถูกทำลายลง

สี่เดือนต่อมา กองทัพอาระกันยังคงควบคุมเมืองเป้าก์ตอได้ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองเป้าก์ตอไม่มีผู้อยู่อาศัย ผู้คนพากันไปอาศัยอยู่บริเวณชานเมือง และกลัวว่าจะมีการโจมตีด้วยปืนใหญ่หนักของรัฐบาลทหารซ้ำอีกครั้ง

“เราหวาดกลัวพวกเขา (ทหาร)” ชายคนหนึ่งบอกกับ AFP โดยให้สัมภาษณ์จากบ้านพักชั่วคราวของเขานอกเมืองเป้าก์ตอ โดยขอไม่เปิดเผยชื่อด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

“เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรืออาวุธชนิดใดที่พวกเขาจะทิ้งใส่เราถ้าเรากลับไปอยู่บ้านในเมือง

“เราไม่สามารถตรวจจับการโจมตีทางอากาศหรือระเบิดของพวกเขาได้ และเราจะตายแน่ๆ หากพวกเขาโจมตี”

จากวิดีโอที่ชาวบ้านถ่ายในเดือนนี้และสำนักข่าว AFP ได้รับมาโดยเฉพาะ เผยให้เห็นถนนหนทางที่เงียบงัน ปราศจากเสียงนกร้อง และมีแต่เสียงทหารกองทัพ AA ที่ลอดผ่านกองเศษซากและแผ่นเหล็กลูกฟูก

ใกล้กับตลาดที่รกร้างซึ่งครั้งหนึ่งเคยเนืองแน่นไปด้วยพ่อค้าขายปูและกุ้งกุลาดำ กันสาดขาดๆ หายๆ เพราะพังทลายจากการทำสงคราม มีแต่ป้ายโฆษณาผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่โบกสะบัดอยู่เหนือทางเข้าประตูของร้านค้าที่พังทลาย

บริการโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตถูกตัดออกไปทั้งหมด

ไม่มีโอกาส
กองทัพ AA ต่อสู้กับกองทัพเมียนมาในสงครามต่อเนื่องมานานหลายปี โดยพวกเขาต้องการอำนาจปกครองตนเองมากขึ้นสำหรับประชากรชาติพันธุ์ยะไข่ที่อาศัยในรัฐยะไข่หรือรัฐอาระกัน

ในขณะที่กองทัพเมียนมาเผชิญกับการต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการที่เพิ่มมากขึ้น จากกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่ม บ้างเป็นกลุ่มใหม่ บ้างก่อตั้งมายาวนาน ในส่วนของกองทัพ AA เองก็ได้ยกระดับการจับอาวุธต่อต้านด้วย 

เนื่องจากรัฐบาลเผด็จการทหารสูญเสียดินแดนภาคพื้นดิน จึงเรียกร้องให้มีการใช้กำลังทางอากาศเพื่อสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดินมากขึ้น

กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวหาว่ารัฐบาลทหารใช้การโจมตีทางอากาศเพื่อ "ลงทัณฑ์"  ชุมชนต่างๆ ที่ต้องสงสัยว่าต่อต้านการปกครองของตน

ตอนที่เฮลิคอปเตอร์ทหารลำหนึ่งบินอยู่เหนือเเมืองเป้าก์ตอ และเริ่มยิงเข้าในเมืองเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว หลายคนหลบหนีด้วยความตื่นตระหนก

“ไม่มีโอกาสที่เราจะหยิบของสักชิ้นจากบ้านของเราเลย” ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่นอกเมืองบอกกับ AFP

“เราหุงข้าวไว้แล้วแต่กินไม่ได้” เธอกล่าว พร้อมขอไม่เปิดเผยชื่อเช่นกัน

“ตอนเราหนีเราไม่มีเงิน เรามีแค่เครื่องประดับทองติดตัวไปด้วย เราพยายามจำนำแต่มันไม่ง่ายเลย ดอกเบี้ยสูงเกินไป”

ชะตากรรมของชาวเมืองเป้าก์ตอสะท้อนถึงโศกนาฏกรรมทั่วประเทศ ทั่วทั้งเมียนมาร์ ประมาณ 2.7 ล้านคนถูกบังคับให้หลบหนีจากสงครามกลางเมือง

การปล้นสะดม 
กองทัพ AA ไม่อนุญาตให้ผู้อยู่อาศัยของเมืองเข้ามาพำนักอยู่ในเมืองเป้าก์ตอโดยอ้างถึงอันตรายจากการโจมตีทางอากาศหรือปืนใหญ่ต่อเมืองนี้ แต่อนุญาตให้ชาวเมืองเข้าออกเพื่อหยิบสิ่งของส่วนตัวได้

ชายผู้ให้สัมภาษณ์กับ AFP กล่าวว่า เขาได้กลับไปตรวจสอบบ้านของเขาแล้ว และพบว่าบ้านมีซากปรักหักพังบางส่วน โดยมีพระพุทธรูปประจำตระกูลล้มลงบนพื้น

แต่เขาเผยว่า กล่องเก็บเงินของเขา ซึ่งบรรจุเงินสำหรับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาสำหรับลูก ๆ ของเขา และเป็นเงินสำหรับซื้อไม้มาซ่อมแซมหลังคาที่ได้รับความเสียหายจากพายุไซโคลนเมื่อปีที่แล้ว ได้หายไปแล้ว 

“ผมได้สูญเสียเงินทั้งหมดนั้นไปแล้ว” เขากล่าว

“ของในบ้านเราถูกขโมยไปหมด...อวนจับปลาของพ่อฉันถูกขโมย” ผู้หญิงอีกคนหนึ่งกล่าว พร้อมขอไม่เปิดเผยชื่อเช่นกัน

"ฉันเป็นช่างตัดเสื้อ ยังโชคดีที่สามารถช่วยจักรเย็บผ้าได้"

ในระหว่างการสู้รบ ทั้งสองฝ่ายได้ปล้นบ้านและอาคารที่ได้รับความเสียหาย ตามรายงานของท้องถิ่น

ในเดือนมีนาคม AA ระบุว่าจะ "สอบสวน" รายงานใดๆ เกี่ยวกับการปล้นทรัพย์สินโดยสมาชิกของตนระหว่างการสู้รบ

การต่อสู้ชี้ขาด'
การรุกของ AA ได้ยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ในรัฐยะไข่ และตามแนวชายแดนติดกับอินเดียและบังกลาเทศ

โดยระบุว่า พวกเขาจะยึดเมืองซิตตเว ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเป้าก์ตอ 25 กิโลเมตร และเมืองสำคัญสุดท้ายทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ อยู่ในมือของทหาร

ในเดือนเมษายน AA ได้เตือนประชาชนในเมืองนี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึกที่ได้รับการสนับสนุนจากอินเดีย ให้ออกจากการต่อสู้อย่าง "เด็ดขาด"

ชาวบ้านซิตตะเวที่ได้รับการติดต่อจาก AFP ระบุว่า กองทัพจำกัดการเดินทางออกนอกเมืองทั้งทางถนนและแม่น้ำ และราคาอาหารพื้นฐาน เช่น ข้าวและไข่ ก็สูงขึ้นสองเท่า

ผู้พลัดถิ่นจากเมืองเป้าก์ตออยู่แล้ว กลับยิ่งกลัวว่าสู้รบจะลามมาบริเวณใกล้เคียงต่อไป

“ฉันเสียใจที่เราหนีออกจากบ้านของเราเอง และเราไม่สามารถอยู่ในนั้นได้” ชาวบ้านคนหนึ่งบอกกับ AFP

“ฉันจำนำสร้อยคอของฉันเป็นเงิน 1.8 ล้านจ๊าต (850 ดอลลาร์) เพื่อที่เราจะมีเงินไว้เลี้ยงชีพ ฉันยังหวังว่าจะสามารถไปไถ่มันคืนได้”

คนอื่นบอกว่าพวกเขาต้องการสิ่งที่สูญเสียกลับคืนมาจากฝ่ายเผด็จการทหาร

“ฉันไม่ได้เข้าร่วมกองทัพอาระกันเพราะฉันกังวลว่าใครจะดูแลลูกของฉัน” ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าว

“ถ้าฉันไม่ได้เข้าร่วม... ฉันจะเข้าร่วมกับพวกเขาและต่อสู้กลับ ฉันจะพอใจก็ต่อเมื่อฉันสามารถแก้แค้นได้”

Text by Agence France-Presse

Photo - ภาพถ่ายนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 แสดงให้เห็นผู้คนยืนอยู่ข้างอาคารที่พังทลาย หลังจากการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมา และกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์กองทัพอาระกัน (AA) ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองมินบยา ทางตะวันตกของรัฐยะไข่ การต่อสู้ส่งผลกระทบต่อรัฐยะไข่ทางตะวันตกของเมียนมาร์ นับตั้งแต่กองทัพอาระกัน (AA) โจมตีรัฐบาลเผด็จการทหารที่นั่นเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และตามการระบุของสหประชาชาติ ประชาชนมากกว่า 100,000 คนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นเนื่องจากความขัดแย้งในรัฐนับตั้งแต่นั้นมา (ภาพโดย AFP) 
 

TAGS: #เมียนมา #ยะไข่