SVB ธนาคารที่ล้มในสหรัฐ กำลังส่งผลสะเทือนข้ามทวีปถึงสตาร์ทอัพเทคโนโลยีในจีน พากันถอนเงินข้ามประเทศ
หลังจากที่หน่วยงานกำกับและป้องกันเงินฝากสหรัฐ (FDIC) ได้สั่งปิดธนาคารซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley Bank) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากเกิดปรากฎการณ์คนแห่ถอนเงิน (Bank Run) จนเกิดปัญหาด้านสภาพคล่อง ซึ่งธนาคารดังกล่าวเป็นธนาคารที่ได้รับความนิยมจากบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี
แม้ว่าหน่วยงานด้านคุ้มครองเงินฝากของสหรัฐจะออกมาตรการคุ้มครองทรัพย์สินของลูกค้าที่ฝากเงินในธนาคารดังกล่าว แต่นั่นเป็นการคุ้มครองทรัพย์สินของลูกค้าที่เป็นบรรดาสตาร์ทอัพในสหรัฐฯ แต่สำหรับธนาคาร SVB ยังมีการขยายสาขาให้บริการในหลายประเทศนอกแผ่นดินสหรัฐด้วย โดยธนาคาร SVB ถือเป็นธนาคารยอดนิยมของบรรดาสตาร์ทอัพสายเทคโนโลยีที่เข้าหาเพื่อระดมทุน ซึ่งรวมถึงบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพในจีนด้วยเช่นกัน ที่สตาร์ทอัพจีนมักได้รับเงินสนับสนุนจากนักลงทุนสหรัฐด้วยเม็ดเงินลงทุนผ่านธนาคาร SVB โดยที่ผ่านมาระบบระบบออนไลน์สำหรับการเปิดบัญชีที่ SVB อนุญาตให้ใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของจีนในการยืนยัน นั่นทำให้บรรดาผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพจีนนิยมระดมทุนผ่านธนาคารดังกล่าวเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
หนึ่งในผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีในจีน เผยต่อบลูมเบิร์กว่า SVB ถือเป็นสถาบันการเงินเพียงไม่กี่แห่งบรรดาสตาร์ทอัพจีนนิยมใช้บริการ เพราะเป็นธนาคารที่อำนวยความสะดวกให้ธุรกิจสตาร์อัพเปิดบัญชีออนไลน์ผ่านการใช้โทรศัพท์มือถือของหมายเลขตัวเองได้ ทั้งยังใช้เวลาในการดำเนินการเปิดบัญชีไม่ถึง 1 สัปดาห์ ซึ่งเร็วกว่าธนาคารแบบทั่วไป ท่ามกลางกฎระเบียบอันเข้มงวดของธนาคารและหน่วยงานภาครัฐจีน
แหล่งข่าวของบลูมเบิร์กระบุว่า แม้เขาได้ย้ายเงินทุนส่วนใหญ่ออกไปแล้วจากธนาคาร SVB แล้ว แต่ก็ยังคงเหลือสินทรัพท์ที่ฝากในธนาคารมากกว่า $250,000 เขาสะท้อนว่า “หากไม่มี SVB จะส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพราะไม่มีธนาคารอื่นใดที่มีคุณสมบัติทั้งสองนี้”
การมีบัญชีธนาคารกับ SVB ทำให้บริษัทสตาร์ทอัพในจีนสามารถแตะเงินทุนจากนักลงทุนในสหรัฐฯ ได้ ท่ามกลางการจับตามองของหลายหน่วยงานทั้งในสหรัฐและในจีน แม้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดในทันทีว่ามีบริษัทสตาร์ทอัพในจีนจำนวนเท่าใดที่มีบัญชี SVB อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวของ CNBC ระบุว่า บริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งในจีนที่มีการระดมทุนแบบ VC ของสหรัฐฯ มักจะเริ่มต้นด้วยบัญชีธนาคารที่ SVB อยู่เสมอ
ด้านซีเอ็นบีซียกตัวอย่างว่า มีบริษัทสตาร์ทอัพดังหลายรายในจีนที่มีการทำธุรกรรมผ่าน SVB หลายรายแต่ปริมาณในสัดส่วนที่ไม่ได้มากนัก เช่น Zai Labบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพในเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม ประมาณ 2.3% ของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดประมาณ 1.01 พันล้านดอลลาร์ถูกถือครองที่ SVB ซึ่งเป็นบริมาณเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ส่วนใหญ่อยู่ที่ JPMorgan Chase, Citigroup และ Bank of China (ฮ่องกง)
เช่นเดียวกับบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพอีกแห่งชื่อว่า Everest Medicine กล่าวว่ามีเงินสดน้อยกว่า 1% ที่ถูกฝากไว้ใน SVB และคาดว่าจะกู้คืนเงินฝากส่วนใหญ่ที่ธนาคารผ่าน Federal Deposit Insurance Corporation ของสหรัฐฯ ตามที่ธนาคารกลางสหรัฐออกนโยบายคุ้มครองเงินฝากของบรรดาบริษัทที่เป็นลูกค้าธนาคาร SVB
สำนักงานสาขาของธนาคาร SVB ที่ดำเนินการในจีนนั้น เป็นการร่วมทุนแบบ 50-50 ระหว่าง SVB กับ Shanghai Pudong Development Bank ซึ่งทางธนาคาร Silicon Valley Bank ในนครเซี่ยงไฮ้ยืนยันว่า ธนาคารมีงบดุลที่เป็นอิสระจากสำนักงานในสหรัฐ ประกอบกับเป็นการร่วมทุนกับภาคธนาคารขนาดใหญ่ในจีน ทำให้มีฐานะทางการเงินยังคงแข็งแกร่ง
เมื่อวันเสาร์ (11 มี.ค.) ที่ผ่านมา หลังมีข่าวการล้มของธนาคาร SVB ในสหรัฐ ด้านธนาคารเพื่อการพัฒนาเซี่ยงไฮ้ผู่ตงของจีนซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในจีนกับ SVB พยายามคลายกังวลแก่ลูกค้าท้องถิ่น ว่า โครงสร้างธุรกิจยังคงแข็งแกร่งและมีงบดุลบัญชีสำหรับการดำเนินงานแยกต่างหาก