เบื้องหลังเหตุการณ์
- วันที่ 26 มีนาคม 2024 เวลา 01:28 น. ตามเวลาท้องถิ่นชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐ เรือคอนเทนเนอร์สัญชาติสิงคโปร์ ชื่อ Dali พุ่งเข้าชนตอม่อของ Francis Scott Key Bridge สะพานข้ามแม่น้ำพาทัปสโก ในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จนทำให้ส่วนหลักของสะพานพังทลายลงมา
- ความเสียหายที่เกิดขึ้นทันทีคือสะพานเหล็กอายุ 52 ปีพังทลายลงจนกีดขวางทางออกอ่าวบัลติมอร์ และมีรายงานว่าสมาชิกทีมงานก่อสร้าง 6 คนที่ทำงานอยู่บนถนนบนสะพานสูญหายไปหลังเกิดอุบัติเหตุ และสันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว แต่ความเสียหายต่อการค้าของสหรัฐฯ หลังจากนี้น่าจะรุนแรงพอสมควร
จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้
แม่น้ำพาทัปสโก ซึ่งเป็นแม่น้ำที่สะพาน Francis Scott Key ข้ามผ่าน เป็นเส้นทางน้ำที่สำคัญของท่าเรือบัลติมอร์ เป็นหนึ่งในเส้นทางที่พลุกพล่านที่สุดในสหรัฐอเมริกา รองรับผู้โดยสารมากกว่า 444,000 คน และสินค้าต่างประเทศ 52.3 ล้านตัน มูลค่า 80 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023
ท่าเรือบัลติมอร์เป็นหนึ่งในท่าเรือเก่าแก่ของประเทศ และเป็นท่าเรือที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่ง โดยในปี 2019 ท่าเรือแห่งนี้รองรับการค้าต่างประเทศ (การนำเข้าและส่งออก) ปริมาณสินค้า 3.96 ล้านเมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 5.84 หมื่นล้านดอลลาร์ ท่าเรือบัลติมอร์อยู่ในอันดับที่ 11 จากท่าเรือของสหรัฐฯ ทั้งหมด 36 แห่ง ในการจัดการระวางน้ำหนักต่างประเทศ และอันดับที่ 9 ในด้านมูลค่าดอลลาร์ของสินค้าที่จัดการในปี 2019
แต่สินค้าสำคัญที่ผ่านท่าเรือนี้คือ 'รถยนต์' โดยท่าเรือบัลติมอร์รองรับยานพาหนะได้อย่างน้อย 847,000 คันในปี 2023 และที่นี่คือท่าเรือขนถ่ายรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ดังนั้น มันจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐฯ และของโลกอย่างแน่นอน
ค่ายรถหาทางออกทะเลกันจ้าละหวั่น
จากสถิติการท่าแมริแลนด์ ( Maryland Port Administration) พบว่ายานยนต์และชิ้นส่วนคิดเป็น 42% ของการนำเข้าท่าเรือบัลติมอร์ทั้งหมด ดังนั้น เมื่อสะพานพังทลาลงมาปิดกั้นเส้นทางเข้าออกท่าเรือ ทำให้กระบวนการการผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ต้องประสบปัญหาร้ายแรง
เบื้องต้น จากการรายงานของ Autoblog.com ค่ายรถยนต์ชั้นนำของสหรัฐฯ และของโลก คือ General Motors and Ford ระบุว่า จะเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งที่ได้รับผลกระทบหลังจากสะพานถล่ม โดยตัดท่าเรือบัลติมอร์ออกจากเส้นทางโลจิสติกไปก่อน
Stellantis บริษัทรถยนต์ระดับโลก (จากการควบรวมกันของ เฟียตและไครสเลอร์ นั่นคือ Fiat Chrysler Automobiles และเปอโยต์ หรือ PSA Group) กล่าวว่า ท่าเรือบัลติมอร์เป็น "ทางน้ำที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์" และกล่าวว่ากำลังดำเนินการตามแผนฉุกเฉินเพื่อให้แน่ใจว่า การส่งออกและนำเข้า "ยานพาหนะจะไหลลื่นอย่างต่อเนื่อง"
ถ่ายรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับท่าเรือบัลติมอร์ คือ BMW และ Volkswagen Group of America บอกว่า กรณีสะพานพังไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท ส่วน Mercedes-Benz USA บอกว่าเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบต่อบริษัท นอกจากนี้ ท่าเรือบัลติมอร์ยังเป็นจุดส่งออกและนำเข้าของค่ายรถอื่นๆ ด้วย คือ Nissan, Toyota, Volvo Cars, และ Jaguar Land Rover
แต่เรื่องนี้ไม่ได้กระทบต่อบริษัทรถยนต์เท่านั้น เพราะท่าเรือนี้ยังเป็นท่าเรือสำคัญของสินค้าเกษตรและสินค้าอุปกรณ์ก่อสร้าง ดังนั้น บริษัทที่มีธุรกิจที่เกี่ยวข้อง คือ Volvo ผู้ผลิตรถบรรทุกและจักรกลสำหรับงานก่อสร้าง จึงกล่าวว่าจะต้องประเมินสถานการณ์ว่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อบริษัทหรือไม่
ทำไมท่าเรือบัลติมอร์ถึงสำคัญกับรถยนต์
จากการรายงานของ NPR ไม่ใช่ทุกท่าเรือจะสามารถรองรับเรือที่ขนส่งรถยนต์ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านขนาด รถยนต์มักถูกขนส่งด้วยเรือแบบ "roll-on, roll-off" หรือ "ro-ro" แบบพิเศษ ซึ่งต้องใช้ทักษะในการขนถ่าย
"ro-ro" ได้รับการออกแบบเพื่อบรรทุกสินค้าที่มีล้อ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถบรรทุก รถบรรทุกกึ่งพ่วง รถโดยสารประจำทาง รถพ่วง และรถราง ซึ่งขับเคลื่อนเข้าและออกจากเรือด้วยล้อของตัวเองหรือใช้ยานพาหนะแพลตฟอร์ม เช่น เป็นตัวขนส่งแบบโมดูลาร์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเอง ซึ่งตรงกันข้ามกับเรือยกขึ้น/ลง (LoLo) ซึ่งใช้เครนในการบรรทุกและขนถ่ายสินค้า
ท่าเรือบัลติมอร์มีความภาคภูมิใจในการฝึกอบรมพนักงานที่ใช้งาน "ro-ro" ได้อย่างเชี่ยวชาญ ถึงขนาดมีการจัด "ro-ro rodeo" เป็นประจำเพื่อสอนทักษะการบังคับการขนส่งรถยนต์จากเรือ "ro-ro" และครั้งหนึ่ง เรือ "ro-ro" ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เคยเริ่มการเดินทางออกจากท่าจากท่าเรือบัลติมอร์แห่งนี้
Photo by National Transportation Safety Board / Youtube / AFP