เบื้องหลังเหตุการณ์
- วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2567 เวลาประมาณ 20:00 น. ตามเวลากรุงมอสโก หรือวันที่ 23 มีนาคม ตามเวลาประเทศไทย เกิดการโจมตีที่สถานที่แสดงดนตรี โครคุสซีตีฮอลล์ (Crocus City Hall) ในเมืองครัสโนกอร์สค์ของรัสเซียทางขอบตะวันตกของกรุงมอสโก
- มือปืน 4 คนทำการกราดยิงผู้ที่กำลังชมการแสดงโดยใช้ปืนไรเฟิลจู่โจม พร้อมกับใช้มีดทำร้ายผู้คนด้วย คนร้ายยังจุดไฟเผาสถานที่จัดงาน โดยผู้เห็นเหตุการณ์อ้างว่าคนร้ายใช้ระเบิดขวดเพื่อจุดไฟในหอประชุม
- เจ้าหน้าที่สืบสวนกล่าวว่าในวันรุ่งขึ้น (วันที่ 24 มีนาคม ตามเวลาประเทศไทยX) ว่าการโจมตีดังกล่าวได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 133 คน และมากกว่า 100 คนได้รับบาดเจ็บ นับเป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่นองเลือดที่สุดในรัสเซีย นับตั้งแต่การโจมตีโรงเรียนในเมืองเบสลานในปี 2547 และเป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่ร้ายแรงที่สุดในมอสโกนับตั้งแต่เหตุระเบิดอพาร์ตเมนต์ในปี 2542
- กลุ่มรัฐอิสลามแห่งจังหวัดโคราซาน (IS–KP) ซึ่งเป็นเครือข่ายของกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ในภูมิภาคเอเชียใต้ อ้างความรับผิดชอบในแถลงการณ์ผ่านสำนักข่าวอามัคหลังการโจมตีไม่นาน แต่ก็มีคำอธิบายที่ต่างกันออกไปเรื่องผู้มีส่วนร่วมก่อเหตุที่แท้จริง ว่าใครเป็นคนลงมือกันแน่?
คือกลุ่มรัฐอิสลามที่ต้องการสร้างรัฐเคาะลีฟะฮ์
IS–KP อ้างความรับผิดชอบต่อการโจมตีหลังจากนั้นไม่นานในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ผ่านทางแอป Telegram โดยสำนักข่าวอามัค ซึ่งเป็นสำนักข่าวของขบวนการ IS โดยระบุว่าผู้โจมตี "ถอยกลับไปยังฐานของตนอย่างปลอดภัย"
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม กลุ่ม IS–KP ได้เผยแพร่ภาพถ่ายของผู้โจมตีและรายงานฉบับเต็มเกี่ยวกับการโจมตีดังกล่าว ต่อมา ในวันเดียวกันนั้น สำนักข่าวอามัค ได้เผยแพร่วิดีโอซึ่งแสดงภาพการยิงและการเชือดคอเหยื่อในการโจมตี พร้อมด้วยข้อความจากหนึ่งในผู้โจมตี หลังจากที่พวกเขาสังหารเหยื่อแล้ว
IS–KP เป็นสาขาระดับภูมิภาคของขบวนการรัฐอิสลาม (IS) ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศที่ปฏิบัติการอยู่ในเอเชียกลางและเอเชียใต้ โดยส่วนใหญ่มีฐานอยู่ในอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะ IS–KP พยายามที่จะทำลายเสถียรภาพและโค่นล้มรัฐบาลที่มีอยู่ของภูมิภาคโคราซันเดิม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรัฐเคาะลีฟะฮ์ หรือรัฐที่ปกครองด้วยหลักศาสนาอิสลาม ในเอเชียใต้และเอเชียกลาง ภายใต้กฎหมายอิสลามอิสลาม
ทำไมกลุ่มนี้ถึงต้องโจมตีรัสเซีย?
ทั้งนี้ ภูมิภาคโคราซันเดิมกินพื้นที่ครอบคลุมอัฟกานิสถาน อิหร่าน และเติร์กเมนิสถาน ภูมิภาคต่างๆ ของทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กีซสถาน และคาซัคสถาน แต่ไม่มีรัสเซียรวมอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม กลุ่มนี้วางแผนที่จะขยายออกไปนอกภูมิภาคด้วย โดยมีสมาชิกมากถึง 4,000–6,000 คน
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ กลุ่มรัฐอิสลาม (ที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนีสายเคร่ง) ได้กบดานเงียบมานานหลายปีโดยไม่มีรายงานการโจมตีใดๆ จนกระทั่งพยายามเพิ่มการโจมตีจากภายนอกเมื่อเร็มๆ นี้เอง เริ่มจากเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2567 IS–KP ก่อเหตุระเบิดในอิหร่าน (ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์) คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 103 คน ครั้งนั้นสหรัฐฯ เตือนอิหร่านถึงการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
คอลิน คลาร์ก (Colin Clarke) จากศูนย์ที่ปรึกษา Soufan Center ระบุว่า IS–KP "จับตาที่รัสเซียในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยมักวิพากษ์วิจารณ์ปูตินในการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่ม" เรื่องนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากการที่ ISIS–KP รับเงินจากผู้บริจาคมุสลิมซุนนีจำนวนมากปรเะทศในแถบอ่าวอาหรับ ซึ่งให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ ISIS–KP เพื่อถ่วงดุลภัยคุกคามจากอิทธิพลต่อต้านอิสลามของรัสเซียในอดีตรัฐในเอเชียกลางของสหภาพโซเวียต
นอกจากนี้ ยังอาจเกี่ยวกับการที่รัสเซียยังมุ่งเป้าไปที่กลุ่มรัฐอิสลามในระหว่างการแทรกแซงสงครามกลางเมืองในซีเรีย โดยรัสเซียให้ความ่วยเหลือรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย ซึ่งเป็นศัตรูโดยตรงกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์และเป็นพันธมิตรกับอิหร่าน)
สหรัฐฯ เตือนแล้วแต่รัสเซียทำไม่ฟัง
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2567 หน่วยรักษาความมั่นคงของรัฐบาลกลางแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย (FSB) ประกาศว่าตนได้ควบคุมกลุ่มก่อการร้ายที่เชื่อมโยงกับ IS ในมอสโก ซึ่งมีเจตนาโจมตีศาสนสถานของชาวยิวแห่งหนึ่งในเมืองชั่วโมงต่อมา สถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโกเตือนว่า "กลุ่มหัวรุนแรงมีแผนมุ่งเป้าไปที่การรวมตัวขนาดใหญ่ในมอสโก และรวมการแสดงคอนเสิร์ตด้วย" และแนะนำพลเมืองสหรัฐฯ "หลีกเลี่ยงการรวมตัวขนาดใหญ่ในอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า"
ในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2567 สหรัฐฯ ยังเตือนเจ้าหน้าที่รัสเซียเป็นการส่วนตัวถึงอันตรายจากการโจมตีที่กำลังจะเกิดขึ้นจาก IS-KP จากข้อมูลที่หน่วยข่าวกรองที่รวบรวมไว้เมื่อต้นเดือนมีนาคม และที่ต้องแจ้งให้รัสเซียมทราบ ก็เพราะหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ จ้องปฏิบัติตามข้อกำหนด "หน้าที่ในการเตือน"
แต่เมื่อวันที่ 19 มีนาคม วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวว่าคำเตือนของสถานทูตสหรัฐฯ "คล้ายกับการแบล็กเมล์โดยสิ้นเชิงและมีเจตนาที่จะข่มขู่และทำให้สังคมของเราไม่มั่นคง" ทั้งๆ ที่ ก่อนหน้านี้ปูตินเคยขอบคุณสหรัฐฯ และ CIA ที่ให้คำเตือนที่ป้องกันการโจมตีของผู้ก่อการร้าย ในรัสเซียในปี พ.ศ. 2560 และ 2562 การเปลี่ยนท่าทีนี้อาจเกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครนและความเกี่ยวข้องของสหรัฐฯ ในฐานะผู้ช่วยเหลือยูเครนโดยตรง
รัสเซียอ้างว่ายูเครนเกี่ยวข้องกับการโจมตี
ปูตินและ FSB อ้างว่าผู้ก่อการร้ายพยายามข้ามชายแดนรัสเซีย–ยูเครนและมีการติดต่อกับ "ฝั่งยูเครน" ยูเครนปฏิเสธการมีส่วนร่วมใดๆ ในการโจมตี และอธิบายว่าคำกล่าวอ้างของ FSB นั้นเป็นข้อมูลที่บิดเบือน "น่าสงสัยและป่าเถื่อนมาก" โดยยูเครนเผยว่าชายแดนได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาโดยทหารและโดรน ซึ่งวางกำลังไว้ในหลายพื้นที่ และชายแดนถูกโจมตีจากทั้งสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง สำนักข่าวเมดูซา สื่ออิสระของรัสเซียซึ่งมีฐานอยู่ในลัตเวียรายงานว่าสื่อที่สนับสนุนรัฐบาลและสื่อที่ได้รับทุนจากรัฐในรัสเซียได้รับคำสั่งจากรัฐบาลรัสเซียให้เน้นย้ำ "ร่องรอย" ที่เป็นไปได้ของการมีส่วนร่วมของยูเครน
อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 23 มีนาคม มีผู้ถูกควบคุมตัวได้ 11 คน และผู้ต้องสงสัยสี่คนในรถสีขาวถูกจับตัวได้ห่างจากชายแดนยูเครนในแคว้นไบรอันสค์ 140 กิโลเมตร ประมาณ 340 กิโลเมตร ทางตะวันตกเฉียงใต้ แห่งกรุงมอสโก ในตอนเย็นของวันที่ 22 มีนาคม อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 22 มีนาคม ยังไม่มีการระบุชื่อบุคคลเหล่านี้ รัสเซียประสานงานกับกองกำลังความมั่นคงเบลารุสเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ต้องสงสัยข้ามพรมแดนเบลารุส–รัสเซีย คณะกรรมการสอบสวนของรัสเซียได้เปิดการสอบสวนผู้ก่อการร้ายทางอาญาเกี่ยวกับการโจมตีดังกล่าว
ยูเครนยังกล่าวหารัสเซียว่าเป็นผู้เตรียมการโจมตี สหรัฐฯ กล่าวว่าไม่มีข้อบ่งชี้ถึงการมีส่วนร่วมของยูเครน กลุ่มติดอาวุธที่มีฐานอยู่ในยูเครน กองอาสาสมัครรัสเซีย และกองทหารเสรีภาพแห่งรัสเซีย ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการโจมตีครั้งนี้
Photo by Sergei VEDYASHKIN / Moskva News Agency / AFP