โยคะ: จากศาสตร์โบราณสู่เทรนด์บำบัดความเครียดที่คนยุคใหม่ยังเลือก

โยคะ: จากศาสตร์โบราณสู่เทรนด์บำบัดความเครียดที่คนยุคใหม่ยังเลือก
จากภูมิปัญญาโบราณ สู่ตัวช่วยในการบำบัดสุขภาพกายและใจในยุคที่ชีวิตผู้คนเร่งรีบ “โยคะ” กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมของหลายคน

ไลฟ์สไตล์ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อยู่บนฐานของความเร่งรีบ กดดัน และเต็มไปด้วยความเครียดจากปัญหาสังคมและปัญหาส่วนตัว จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะมองหาช่องทางผ่อนคลายสุขภาพกายและสุขภาพใจให้กับตัวเอง และ “โยคะ” ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่จะสามารถทำให้เรากลับมาสู่สภาวะสมดุลทางร่างกายและจิตใจมากขึ้น 

แม้ว่าจะคุ้นเคยกับโยคะ แต่หลายคนน่าจะยังไม่ทราบว่า แท้จริงแล้วโยคะ เป็นภูมิปัญญาตั้งแต่สมัยโบราณที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย ย้อนไป 3,000-5,000 ปีที่แล้ว ตามหลักฐานและการคาดการณ์ โดยผู้คนในยุคนั้นได้ใช้โยคะฝึกวินัยทางกายและจิตใจ เพื่อนำไปสู่การหลุดพ้น

แต่เมื่อเวลาผ่านไป โยคะได้ถูกแพร่หลายมากขึ้น แต่ละเชื้อชาติ ศาสนา จะมีข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป กระทั่งกลายเป็นการออกกำลังกายและการบำบัดสุขภาพจิตที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคดิจิทัล ที่มีการสันนิษฐานว่า ส่วนหนึ่งมาจากความก้าวหน้าในโลกออนไลน์ที่ทำให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น 

อย่างที่บอกว่า การเล่นโยคะไม่เพียงแต่เป็นตัวช่วยในด้านร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการทำงานของสมอง อารมณ์ ที่เกี่ยวข้องสุขภาพจิตในด้านบวกของเราอย่างเห็นได้ชัด เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายด้วยโยคะจะช่วยเพิ่มสารเคมีในสมองหลายชนิด อย่างสารเอนดอร์ฟิน ที่ช่วยบรรเทาความเครียดและความกังวล รวมถึงปรับปรุงอารมณ์ของเราให้รู้สึกมีความสุขและสบายใจมากยิ่งขึ้น 

ที่ผ่านมา มีการสำรวจผลกระทบของโยคะต่ออารมณ์ของนักศึกษาที่มีความเครียด พบว่า การออกกำลังกายด้วยโยคะสามารถช่วยลดอารมณ์เชิงลบได้ และในขณะเดียวกันก็ยังเพิ่มอารมณ์เชิงบวกได้ และยังช่วยลดความเครียด เพิ่มความยืดหยุ่นทางอารมณ์ได้อีกด้วย 

ยังมีการศึกษาที่พบว่า โยคะช่วยลดอาการในโรคซึมเศร้าได้อีกด้วย โดยมีงานวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ และพบว่า หากฝึกโยคะไปพร้อมกับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่า

อีกสิ่งที่ทำให้โยคะเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นการออกกำลังที่ไม่มีข้อจำกัด เช่น เพศ อายุ หรือแม้กระทั่งความคิด แต่ถ้าให้พูดถึงกลุ่มคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำการฝึกโยคะ แนะนำโดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะออฟฟิศซินโดรม ผู้มีโรคประจำตัว ผู้สูงอายุ และผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ แต่หากฝึกใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญหรือครูฝึก จะได้รับการฝึกที่ถูกวิธีและได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า 

ไม่ว่าคุณจะฝึกโยคะเพื่อลดความเครียด หรือความปวดเมื่อย การออกกำลังกกาย แต่สิ่งที่ควรมี คือความสม่ำเสมอในการฝึกฝน เพราะจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างเห็นชัดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และหากใครที่ยังไม่รู้จะเลือกสิ่งไหนเป็นตัวช่วยในการรับมือกับชีวิตประจำวัน “โยคะ” เป็นอีกหนึ่งคำตอบที่ดี

SOURCE: 
https://dl.acm.org/doi/fullHtml/10.1145/3652037.3663924 
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/27030303/ 

TAGS: #Health #Yoga #โยคะ #ฝึกโยคะ