ชงมัทฉะ ไวรัลเทรนด์ ที่มีผลต่อสุขภาพจิต Millennials และ Gen Z

ชงมัทฉะ ไวรัลเทรนด์ ที่มีผลต่อสุขภาพจิต Millennials และ Gen Z
ไม่ใช่แค่รสชาติที่อร่อย แต่การชงมัทฉะเองคือช่วงเวลาที่ให้คุณได้หยุดพัก และสัมผัสความสงบในตัวเอง

ช่วงที่ผ่านมาคลิปชงมัทฉะ ได้กลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ยังเป็นกิจกรรมที่มอบทั้งรสชาติความอร่อยและความสงบภายในจิตใจ โดยกระแสดังกล่าวได้ก้าวกระโดดจากการซื้อดื่มเป็นประจำของผู้ที่เป็นมัทฉะเลิฟเวอร์ และได้แปรเปลี่ยนมาเป็นเทรนด์ชงดื่มเอง ที่เต็มไปด้วยขั้นตอนสุดพิถีพิถัน และกลายเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองและได้ฝึกสมาธิไปพร้อมกัน 

แต่ก่อนจะไปชงมัทฉะดื่มเอง อยากให้รู้ก่อนว่า การชงมัทฉะนี้ มีต้นกำเนิดมาจากพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นที่ได้รับวัฒนธรรมมาจากจีนที่ทอดหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 9 ถูกออกแบบมาเพื่อฝึกจิตและสร้างความสงบภายในของเรา ผ่านขั้นตอนสุดประณีตและต้องใช้สมาธิ ซึ่งแต่เดิมผงมัทฉะเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง ก่อนจะกลายเป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นมาจนถึงวันนี้ 

สเน่ห์ในกรรมวิธีที่ทำได้แบบเพลินๆ ในทุกวัน เป็นตัวดึงดูดให้คนหันมาชงมัทฉะดื่มเอง เราสามารถชงดื่มได้หลายครั้งตามต้องการ และยังสามารถเลือกรสชาติที่ถูกปากตัวเองได้ดีกว่า เนื่องจากผงมัทฉะในปัจจุบัน มีหลายแบรนด์ หลายสูตร และหลายรสชาติให้ได้ลิ้มลอง ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกัน 

หลักๆ แล้ว มัทฉะจะมีด้วยกัน 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทแรก “Ceremonial Grade” หรือมัทฉะเกรดพิธีกรรม ทำจากใบชาอ่อนบนสุด หรือที่เรียกว่า ยอดชา สีเขียวสด รสชาติหวานละมุน ไม่ขม เวลาดื่มมักจะดื่มแบบเพียวๆ ไม่ผสมนมหรือน้ำตาล และจะใช้ในพิธีชงชาของญี่ปุ่น 

ประเภทที่สอง “Premium Grade” หรือมัทฉะคุณภาพสูง ประเภทนี้จะมีคุณภาพรองลงมาจากมัทฉะเกรดพิธีกรรม ผงที่ได้จะมีสีเขียวเข้ม รสชาติค่อนข้างกลมกล่อม มีรสชาติขมเล็กน้อย เหมาะสำหรับคนที่อยากดื่มมัทฉะทุกวัน 

ประเภทสุดท้าย “Culinary Grade” เป็นมัทฉะสำหรับทำอาหารหรือขนม มัทฉะชนิดนี้จะใช้ใบชาที่แก่กว่าระดับพิธีกรรม มีสีเขียมเข้มอมเหลือง ให้รสชาติที่เข้มช้น และขมกว่าทุกประเภท เหมาะสำหรับผสมใส่ใน ลาเต้ ขนม เบเกอรี่ ไอศกรีม และ สมูทตี้

การจิบหรือดื่มมัทฉะทุกวัน ยังดีต่อสุขภาพ ตามการรายงานของงานวิจัยหลายชิ้นได้ผลลัพธ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า L-theanine ในมัทฉะช่วยเพิ่มคลื่นสมองอัลฟ่า ส่งผลให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ในขณะที่เรายังคงรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ โดยไม่มีอาการง่วงซึม 

บางคนดื่มกาแฟแล้วมีอาการใจสั่น ใจเต้นเร็ว อาจมีอาการกระสับกระส่าย ปวดหัว ท้องไส้ปั่นป่วน การดื่มมัทฉะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เพราะมีปริมาณคาเฟอีนที่น้อยกว่า แต่ยังอยู่ในระดับที่ทำให้เรากระปรี้กระเปร่าได้อยู่ โดยไม่มีอาการเหล่านั้น

ไม่เพียงแต่ประโยชน์ทางด้านร่างกายเท่านั้น แต่กรรมวิธีที่ละเมียดละไม ตั้งแต่ขั้นตอนที่ต้องร่อนผงชา ตีฟอง แม้แต่การเทใส่แก้ว ก็ยังทำให้เราเกิดความฟิน ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจิต เมื่อเราต้องโฟกัสกับขั้นตอนเหล่านั้น และยังช่วยลดความเครียดของเราได้ คล้ายกับการฝึก mindfulness ที่สามารถช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด แต่อาจต้องทำอย่างต่อเนื่องจนเป็นกิจวัตรประจำวันเพื่อผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด 

ปัจจุบันการชงมัทฉะได้กลายเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในกลุ่มคน Gen Z และ Gen Y ในกลุ่ม Gen Z เป็นผลพวงมาจากความรู้สึกอยากรู้ อยากลองเครื่องดื่มใหม่ๆ และการชงมัทฉะดื่มยังเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ชอบเล่นโซเชียลมีเดีย โดยการทำคอนเทนต์ชงมัทฉะ ลง TikTok หรือ Instagram แต่ Gen Y ค่อนข้างแตกต่าง เพราะพวกเขาจะเน้นเพื่อสุขภาพและเพื่อความผ่อนคลายเสียมากกว่า 

แต่ไม่ว่าเป้าหมายของการชงมัทฉะดื่มเองของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ทุกคนจะได้รับอย่างแน่นอน คือ ความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นจากภายในจิตใจ และสะท้อนให้เห็นว่า ความสงบ ความผ่อนคลาย และความสุขเล็กๆ เกิดขึ้นได้จากโมเมนต์ที่ได้อยู่กับตัวเองในช่วงเวลาสั้นๆ 
 

SOURCE : 

https://matcha.com/blogs/news/science-of-how-matcha-green-tea-naturally-lowers-anxiety 
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/18296328/ 
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/34562208/  
https://www.apa.org/topics/mindfulness/meditation?

TAGS: #Mentality #Matcha #GenZ #Millennials #สุขภาพจิต #ViralTrend #ชงมัทฉะ #ชงชาเขียว