เรียนรู้ปัจจัยที่ทำให้ Gen Y วัยที่เกิดมาในยุคเปลี่ยนผ่านหลากหลายด้าน กลับมามีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่แข็งแรงอีกครั้ง ในวันที่ต้องแบกรับภาระจนส่งผลต่อสุขภาพจิต
หากเรียก Gen Y ว่า เป็นวัยที่แบกรับภาระแห่งยุคก็คงไม่ผิด เพราะเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมาในยุคเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยี รวมถึงมีแรงกดดันทั้งเศรษฐกิจและสังคมรอบข้าง เชื่อว่า หลายคนที่อยู่ในวัยนี้ น่าจะกำลังอยู่ในช่วงเร่งสร้างอนาคตของตัวเอง จนอาจก่อเกิดเป็นความเครียดที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างไม่รู้ตัว
ที่ผ่านมามีการรายงานข้อมูลเป็นไปในทางเดียวกันว่า กลุ่มคน Gen Y หรือผู้ที่มีอายุระหว่าง 29-40 ปี เป็นกลุ่มที่มีความเครียดมากที่สุด อย่างรายงานของ American Psychological Association - Stress in America Survey ที่พบว่า คนกลุ่มนี้มีระดับความเครียดที่สูงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจ ความไม่มั่นคงในอาชีพ และมีความคาดหวังในตัวเองค่อนข้างสูง
ในประเทศไทยก็มีการศึกษาในเรื่องนี้ อย่างงานวิจัยของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ที่พบว่า Gen Y เป็นกลุ่มคนที่มีความเครียดมากที่สุด จากการแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานเยอะจนเกินไป ประกอบกับการต้องการสร้าง Work-life Balance ให้กับชีวิต
ความเครียดที่เกิดขึ้นของกลุ่มคน Gen Y ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นส่วนประกอบ แต่ใครที่เริ่มรู้ตัวแล้วว่า ตัวเองเริ่มเกิดความเครียด อยากให้ลองตระหนักถึงสิ่งที่จะช่วยให้คุณอารมณ์ดี และสุขภาพจิตแข็งแรงขึ้นด้วยพฤติกรรมและความคิด ดังต่อไปนี้
ดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเอง
หากดูตามปีเกิด อายุที่มากที่สุดในกลุ่ม Gen Y คือกลุ่มคนที่ 45 ปี ซึ่งแน่นอนว่า เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น สภาพร่างกายก็จะเสื่อมถอยไปตามเวลา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ อย่างน้อยเฉลี่ย 150 นาทีต่อสัปดาห์ รวมถึงการรับประทานอาหารควรเน้นอาหารที่หลากหลาย และควรลดการบริโภคน้ำตาล อาหารแปรรูป ของทอดและของมันทุกชนิด ที่สำคัญควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ และควรหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี เมื่อมีสัญญาณเตือนจากร่างกาย
ให้ความสำคัญกับงานที่ชอบ
หากทำสิ่งไหนแล้วมีความสุข ก็ควรเลือกที่จะเน้นและอยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มพลังด้านบวก ทั้งด้านความคิดและจิตใจสำหรับ Gen Y โดยเฉพาะในด้านของการทำงาน ที่ส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้จะอยู่ในวัยทำงานทั้งสิ้น
วัยทำงานบางคนอาจเลือกอยู่กับงานที่ได้เงินเยอะ แต่ก่อให้เกิดเครียด จนไม่มีความสุข จึงอาจไม่ตอบโจทย์ในการใช้ชีวิต และส่งผลรุนแรงไปถึงภาวะด้านสุขภาพจิต แต่ในทางกลับกัน บางคนอาจเลือกงานที่เงินไม่ได้เยอะมาก แต่ทำแล้วมีความสุข ผู้คนรอบข้างดี ก็ย่อมส่งผลดีต่ออารมณ์และสุขภาพจิตที่ดีขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน
การมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนมักเป็นเหมือนเครื่องมือที่จะทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น โดยเฉพาะใน Gen Y ที่หลายคนอาจจะอยู่ในช่วงที่ก่อร่างสร้างฝันของตัวเองอย่างขะมักเขม้น ซึ่งบทความสุขภาพ charlie health โดย ดร. ดอน แกสปารินี ได้เขียนถึงเรื่อง “การกำหนดเป้าหมายสามารถส่งผลเชิงบวกต่อสุขภาพจิตของเราได้อย่างไร” ระบุว่า หากมีเป้าหมายชัดเจน ก็จะทำให้เรารู้ทิศทางและจุดมุ่งหมายของชีวิตได้ง่ายกว่าคนอื่น เพราะจะทำให้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำให้สำเร็จ
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ตัวเองเสี่ยงที่จะเกิดความเครียดหรือไม่มีความสุข ก็ควรนำตัวเองออกมาจากสิ่งเหล่านั้น อย่างที่เห็นได้ชัดในยุคนี้ ที่ความเครียดส่วนหนึ่งมาจากโซเชียลมีเดีย มีทั้งการเปรียบเทียบ ทั้งเรื่องของการใช้ชีวิต การทำงาน สิ่งของเครื่องใช้ แล้วมากดดันตัวเอง ดังนั้นจึงควรจำกัดเวลาการอยู่กับโซเชียลมีเดียให้น้อยลง
หรือแม้แต่การเรียนรู้ที่จะปฏิเสธว่า “ไม่” ในสิ่งที่เราไม่ได้อยากทำ หรือถูกบีบบังคับจากสภาพแวดล้อมให้เราต้องทำ ก็จะช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้ เหมือนอย่างที่บทความใน PositivePsychology ระบุว่า การปฏิเสธเป็นการประกาศคุณค่าในตนเอง เพื่อปกป้องสุขภาพจิต อารมณ์ และร่างกายของเรา
แม้ความเครียดจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะสำหรับคน Gen Y ที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและความคาดหวังจากหลายด้าน แต่สิ่งสำคัญคือ การรู้เท่าทันและใส่ใจดูแลทั้งสุขภาพกายและใจของตัวเอง เพราะสุขภาพจิตที่ดีจะเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้เราเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีพลังและมีความสุข