เหนื่อย เครียด ใจสั่น หรือเรากำลังไทรอยด์พังโดยไม่รู้ตัว? สำรวจผลกระทบของความเครียดเรื้อรังต่อ GEN Y และ GEN Z ที่อาจทำลายสุขภาพฮอร์โมนแบบเงียบๆ
ในโลกการทำงานที่เคลื่อนไหวเร็ว กดดันสูง และความมั่นคงกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงยาก กลุ่มคนวัยทำงานตอนนี้ไม่ว่าจะเป็น GEN Z หรือ GEN Y ทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน ความสัมพันธ์ และความรับผิดชอบทางบ้านจึงกลายเป็นปัญหาหนักอกหนักใจ จนหลายคนเริ่มรู้สึก “เหนื่อยเกินวัย” โดยไม่รู้ว่า อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ความเหนื่อยธรรมดา แต่อาจเป็นสัญญาณของโรคไทรอยด์ที่กำลังพังจากความเครียดที่สะสมเรื้อรัง
จากรายงานของ Deloitte และ Nation Thailand ในปี 2024 พบว่า 38% ของคน Gen Y ในไทย รู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลตลอดเวลา จากความเครียดเรื่องเงิน การงาน และความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต และ96% ของ Gen Y ให้ความสำคัญกับงานที่ทำ และมองหาความสอดคล้องระหว่างคุณค่าชีวิตกับองค์กรที่ทำงาน
แม้ Gen Y จะมีความเครียดสูง แต่ก็ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่เผชิญแรงกดดันในชีวิต เพราะกลุ่ม Gen Z ที่มีอายุ 20 –28 ปี โดยสถิติล่าสุด พวกเขามีความรู้สึกเครียดและวิตกกังวลตลอดเวลามากถึง 40% จากปัญหาการว่างงาน และค่าครองชีพในปัจจุบันที่สูงขึ้นแต่เงินเดือนยังไม่เพียงพอกับการใช้ชีวิต อีกทั้งกลุ่มนี้ยังมีแนวโน้มที่รู้สึกโดดเดี่ยวและหมดไฟสูงกว่ากลุ่มอื่น ส่วน Gen X ที่อายุ 45–60 ปี มีภาวะที่เสี่ยงสุขภาพจิตประมาณ 28% แต่พวกเขาก็ยังมีความมั่นใจในอนาคตทางการเงินสูงกว่าเจนอื่นๆ รวมถึงยังสามารถรับมือกับความเครียดได้ดีกว่าด้วย
ปัญหาจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมั่นคงทางการเงิน และเรื่องงาน คือสิ่งที่ GEN Z และ GEN Y ต้องเผชิญอย่างหนักจนเกิดภาวะความเครียดสูง แน่นอนว่าปัญหาสุขภาพจิต คือสิ่งที่พวกเขาต้องต่อสู้อย่างหนัก แต่จริงๆ แล้ว ปัญหาสุขภาพกายก็เช่นกันที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว
จากข้อมูลล่าสุด โดย นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อและควบคุมน้ำหนัก รพ.วิมุต ได้อธิบายว่า ความเครียดเรื้อรังมีผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อทุกชนิด รวมถึงไทรอยด์ และเมื่อเกิดความเครียดเรื้อรัง ร่างกายจะกระตุ้นระบบ HPA Axis ให้ทำงานมากขึ้น ส่งผลให้มีการหลั่งคอร์ติซอล (Cortisol) หรือฮอร์โมนแห่งความเครียดมากผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลให้ระบบเผาผลาญทำงานลดลงและกระทบการทำงานของต่อมไร้ท่อ รวมถึงไทรอยด์
นอกจากนี้ ความเครียดยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น โรคเกรฟส์ (ไทรอยด์เป็นพิษ) และโรคฮาชิโมโตะ (ไทรอยด์ต่ำ) เนื่องจากความเครียดเรื้อรังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ และสร้างแอนติบอดีที่ไปกระตุ้นหรือทำลายต่อมไทรอยด์
ในทางกลับกัน การทำงานผิดปกติของต่อมไทรอยด์ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดความเครียดหรือภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน ภาวะไฮเปอร์ไทรอยด์อาจทำให้เกิดอาการวิตกกังวล กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ใจสั่น พฤติกรรมหุนหัน และบางรายอาจถึงขั้นวิตกกังวลรุนแรงหรือมีภาวะตื่นตระหนก (Panic Attack) ส่วนภาวะไฮโปไทรอยด์สามารถทำให้เฉื่อยชา เบื่อหน่ายชีวิต สมาธิสั้น ความจำไม่ดี ซึ่งมีอาการคล้ายโรคซึมเศร้า จึงเห็นได้ชัดว่าทั้งความเครียดและไทรอยด์ผิดปกตินั้น ส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน สร้างเป็นวงจรที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม
สัญญาณที่อาจบ่งชี้ความผิดปกติของไทรอยด์ที่มากับอาการเครียด ได้แก่ ผู้ที่มีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ มักจะกระสับกระส่าย วิตกกังวล นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย ร่วมกับอาการทางกาย เช่น ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออกมาก น้ำหนักลดผิดปกติ ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีภาวะไทรอยด์ต่ำ จะมีอาการซึมเศร้า เหนื่อยล้า ความคิดช้า ขี้ลืม น้ำหนักเพิ่มง่าย ผิวแห้ง และท้องผูกเรื้อรัง "หากพบอาการเหล่านี้พร้อมกัน โดยเฉพาะเมื่อเป็นอาการใหม่ที่เรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อการพักผ่อนหรือการจัดการความเครียดแบบทั่วไป ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์
แต่โรคนี้ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่าเป็น จนกว่าอาการจะรุนแรงขึ้น เนื่องจากว่าอาการเริ่มต้นของโรคมักคล้ายกับความเครียดทั่วไป โรคไทรอยด์ส่วนใหญ่จะพัฒนาอย่างช้า ๆ ทำให้ผู้ป่วยเคยชินกับความผิดปกติ ในบางกรณีผลตรวจอาจดูปกติ ทำให้การวินิจฉัยทำได้ยาก ผู้ป่วยอาจจะต้องได้รับการรักษาตามอาการแทนการตรวจคัดกรองฮอร์โมนต่อมไร้ท่อ จึงทำให้โรคไทรอยด์ดำเนินต่อไปจนมีอาการรุนแรง
โดยแนวทางการรักษาโรคไทรอยด์ก็จะมีความแตกต่างกันตามชนิดของโรค เช่น ไทรอยด์เป็นพิษที่รักษาด้วยการกลืนแร่หรือผ่าตัด ซึ่งสามารถหายขาดได้ แต่บางชนิดต้องรักษาด้วยยาตลอดชีวิต เช่น ไทรอยด์ต่ำจากโรคฮาชิโมโตะ ทั้งนี้ทุกกรณีควรได้รับการวางแผนการรักษาจากแพทย์เฉพาะทางต่อมไร้ท่อและติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา โรคไทรอยด์จะลุกลามสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ อาจทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวหรือเส้นเลือดสมองตีบ เกิดโรคกระดูกพรุนเพราะไทรอยด์เร่งการสลายกระดูก หรือในกรณีร้ายแรงอาจเกิดภาวะไทรอยด์วิกฤติ (Thyroid Storm) ที่อันตรายถึงชีวิต ส่วนภาวะไทรอยด์ต่ำที่ไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะโคม่าไทรอยด์ หัวใจเต้นช้าผิดปกติ ภาวะมีบุตรยาก ระดับไขมันในเลือดสูง และภาวะซึมเศร้าเรื้อรังพร้อมสมองเสื่อมก่อนวัย ภาวะเหล่านี้ทำให้คุณภาพชีวิตลดลงอย่างมาก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
การป้องกันโรคไทรอยด์ จริงๆ ก็มีหลายแนวทางที่ต้องปฏิบัติ ซึ่งในทางกายภาพ อาจเริ่มต้นจากการกินอาหารให้ครบคุณค่าทางโภชนาการและบริโภคเกลือเสริมไอโอดีนในปริมาณที่เหมาะสม และควรนอนหลับให้เพียงพอวันละ 6-8 ชั่วโมง ออกกำลังกายเป็นประจำ รวมถึงงดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันและฮอร์โมนในร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล ที่สำคัญคือควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของน้ำหนัก อารมณ์ และระดับพลังงาน พร้อมตรวจสุขภาพประจำปี และแจ้งประวัติหากมีคนในครอบครัวเป็นโรคไทรอยด์
การดูแลสุขภาพไทรอยด์และจัดการความเครียด คือสิ่งที่ต้องทำควบคู่กัน อย่ามองว่าการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เป็นเรื่องธรรมดา คอยจับสัญญาณเตือนจากร่างกาย รีบพบแพทย์ และรีบหันมาปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว