สิรพัฐ พิพัฒน์วีรวัฒน์ ทายาทรุ่นที่ 2 ‘เดอมอนด์’ ไฟน์จิวเวลรี่เฮ้าส์ชั้นนำของไทย ที่จะ ‘Reimagine Luxury’ ปรับภาพจำเดิมของเครื่องประดับเพชร

กว่า 32 ปี ‘เดอมอนด์’ ไฟน์จิวเวลรี่เฮ้าส์ชั้นนำของไทยได้นำเสนอผลงานการสร้างสรรค์เครื่องประดับที่แสดงออกถึงความเป็นปัจเจกบุคคล และเป็นของที่ชวนให้ระลึกถึงช่วงเวลาอันมีความหมายที่นำมาซึ่งความสุขในชีวิตของเรา The Better อยากพาทุกคนมาทำความรู้จักทายาทรุ่นที่ 2 จอน-สิรพัฐ พิพัฒน์วีรวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของเดอมอนด์ ที่ตั้งใจสืบทอดความทุ่มเทอย่างเต็มที่ในรายละเอียดของเครื่องประดับโดยผสมผสานงานศิลปะเข้ากับงานฝีมืออันประณีต 

หากย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วที่เรายังเป็นแค่ร้านเพชร การพิสูจน์ให้คนในครอบครัวเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากร้านเพชรที่มีสินค้าพันชิ้น พันดีไซน์ให้กลายมาเป็นแบรนด์ที่มีคอลเลกชั่นสะท้อนตัวตน รวมทั้งการมองเห็นคุณค่าของเครื่องประดับที่สามารถส่งผ่านรุ่นต่อรุ่น การได้เริ่มบริการ Lifetime service ของสินค้าในแบรนด์เดอมอนด์มาจากการมองเห็นคุณแม่ที่ชอบเครื่องประดับที่คุณยายให้มาเป็นพิเศษมากกว่าอย่างอื่น เพราะมันมีคุณค่าทางใจนั่นเอง และด้วยความชำนาญด้านคุณภาพเพชร เดอมอนด์จึงมุ่งหวังให้ไฟน์จิวเวลรี่ของเรามีคุณค่าเหนือกาลเวลาที่จะคงอยู่ต่อไปยังรุ่นสู่รุ่น

เดอมอนด์ เป็นไฟน์จิวเวลรี่เฮ้าส์ของไทย ที่ได้รับการตอบรับทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของเรา ที่สามารถทำให้งานฝีมือของคนไทยได้การยอมรับในตลาดโลกและภูมิภาคที่หลากหลาย โดยที่เดอมอนด์ได้นำเสนอมุมมองใหม่ของความเป็นลักซ์ชัวรี่ที่มองว่าการสวมใส่ไฟน์จิวเวลรี่ไม่เน้นที่จะบ่งบอกฐานะของผู้สวมใส่ แต่จะเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงตัวตน และเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่มีความหมาย ซึ่งมุมมองนี้จะสร้างจุดยืนที่แตกต่างในการออกแบบเครื่องประดับเพชรให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น

เดอมอนด์ที่ก่อตั้งโดยคุณสุนทรและคุณสายสมร พิพัฒน์วีรวัฒน์ ผู้ที่อยู่ในครอบครัวที่คร่ำหวอดในวงการธุรกิจค้าขายเครื่องประดับเพชรและอัญมณีมาหลายรุ่น คุณจอนกล่าวว่า “กว่า 16 ปี ที่ผมทำงานในธุรกิจเครื่องประดับเพชร ทำให้ผมสังเกตได้ว่าความหมายของคำว่าลักซ์ชัวรี่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย สำหรับเดอมอนด์เอง ลักซ์ชัวรี่ คือ ความอิสระที่จะได้แสดงออก หรือทำสิ่งต่าง ๆ ในแบบที่เราอยากทำ และเป็นตัวเราจริง ๆ โดยที่เรามีความสุขไปกับมัน และไม่ยึดติดกับภาพจำเดิม ๆ คำว่า ‘Reimagine Luxury’ จึงกลายเป็นแนวความคิดใหม่ของเราในการทำงาน เพื่อที่จะแสวงหาความลักซ์ชัวรี่ในมุมมองใหม่ ที่เน้นการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนและไลฟ์สไตล์ของผู้สวมใส่มากขึ้น”

ปัจจุบันเดอมอนด์ได้นำเสนอไฟน์จิวเวลรี่ในสไตล์ที่ร่วมสมัย มีดีเทลที่เป็นเอกลักษณ์ และมีความหรูหราที่จับต้องได้ มีดีไซน์ที่เน้นเรื่องความสมดุลระหว่างฟังค์ชั่นการใช้งาน และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  ประกอบกับมาตรฐานการผลิตที่ประณีตที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดทั้งในเรื่องของงานฝีมือที่มีมาตรฐาน และตรวจสอบคุณภาพของเพชรทุกเม็ดของ DERMOND Lab โดยเราคำนึงถึงความสวยงามและดูดีที่สุดเมื่อสวมใส่อยู่บนร่างกาย เพื่อสามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่สวมใส่ได้ ทั้งยังควรค่าแก่การสะสม และส่งมอบจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งสิ่งสำคัญต่าง ๆ เหล่านี้ถูกถ่ายทอดลงไปในไฟน์จิวเวอรี่ของเดอมอนด์ทั้ง 3 กลุ่ม คือ

1) เครื่องประดับคอลเลกชัน เน้นดีไซน์ที่ไร้กาลเวลา สะท้อนความโดดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ 

คอลเลกชัน ABSOLUTE DECO

เป็นหนึ่งในคอลเลกชันเด่นของเดอมอนด์ มีผลงานทั้งในระดับ Fine Jewelry และระดับ Masterpiece ที่แสดงถึงความเป็นสุดยอดด้าน Craftsmanship ของงาน High Jewelry อย่างเต็มที่ โดยผลงานหลายชิ้นได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือ Rolls Royce Year Book 2013 และ 2018 โดยคอลเลกชันนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Art Deco ที่เป็นยุครุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งของงานศิลปะและเครื่องประดับเพชร โดยทางนักออกแบบได้นำดีไซน์ของเครื่องประดับและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ จากยุคนี้มาประยุกต์ให้มีความร่วมสมัย ทำให้เกิดเป็นผลงานที่มีความหรูหรา สง่างาม แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี

คอลเลกชัน DECO ELEMENT

คอลเลกชันที่จะสร้างแรงดึงดูดทางสายตาให้กับผู้สวมใส่ด้วยอัตลักษณ์ที่ชัดเจน ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างความคลาสสิคของสถาปัตยกรรมในยุค Deco ที่มีความแข็งแรงและความกล้าที่จะเล่นกับเส้นโค้งมนทั้งเว้าและนูนของ Arch Element ที่ร้อยเรียงต่อกันด้วยเทคนิคการมัดลวดทอง และจัดองศาให้ทุกองค์ประกอบสามารถโชว์ความเปล่งประกายของเพชรแต่ละเม็ดได้อย่างสวยงามที่สุด

คอลเลกชัน CHIC

อีกหนึ่งคอลเลคชันที่มีความเรียบง่าย แต่เก๋ไม่เหมือนใคร ด้วยการใช้เพชรแฟนซีหลากหลายรูปทรง และมาจัดวางเส้นเพชรและช่องระยะอย่างลงตัว งดงาม ดีไซน์โมเดิร์น และเรียบง่าย

คอลเลกชัน FIREWORK

ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากประกายแสงของพลุที่ส่องสว่างกระจายไปทั่วบนท้องฟ้า และถูกนำมาตีความ ใหม่ให้แทนด้วยประกายแสงของเพชรที่ส่องระยิบระยับที่จะเปล่งประกายอยู่บนเรือนร่างของผู้ที่สวมใส่ โดยที่มาในการออกแบบนั้น นักออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจากประกายแสงของพลุ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทุกคนจะนึกถึงในเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง

2) เครื่องประดับคลาสสิก มีดีไซน์เรียบง่าย ประณีต มีคุณภาพ สง่างาม หรูหรา อ่อนช้อย ดีเทลที่ประณีต ฟังก์ชั่น และสวมใส่ได้ง่าย แต่สะท้อนให้บุคลิกภาพของผู้สวมใส่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาทิ แหวนแถว กำไลหรือสร้อยข้อมือ Tennis Bracelet ไปจนถึงต่างหูห่วงเป็นของ Must-Have ที่ทุกคนควรจะมีเก็บไว้ใส่ในวันที่เราอยากแต่งตัวสบาย ๆ หรือวันที่ไม่รู้ว่าจะหยิบเครื่องประดับชิ้นใหนมาใส่ ไฟน์จิเวลรี่แบบคลาสสิกสามารถสร้างเอกลักษณ์ให้กับทุกลุค ด้วยความหลากหลายนี้จึงทำให้สินค้ากลุ่มนี้เป็น Best-seller ของเรา

3) เครื่องประดับสำหรับคู่แต่งงาน แหวนหมั้นทุกวงของเดอมอนด์ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยความพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ เพื่อให้แหวนทุกวงออกมามีสัดส่วนที่เหมาะสมกับผู้สวมใส่และเพชรเม็ดกลางของที่คุณเลือกมากที่สุด โดยตลอดระยะเวลา 32 ปี เดอมอนด์ได้สร้างสรรค์แหวนหมั้นอันทรงคุณค่ามาแล้วกว่า 3,000 คู่ และนอกจากแหวนหมั้นสุดเลอค่าที่เดอมอนด์ตั้งใจมอบให้กับคู่รักทุกคู่แล้ว เรายังมุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ในการเลือกซื้อที่ดีที่สุดให้คุณลูกค้าทุกท่าน (Client Experience) ไม่ว่าจะมีความรู้เรื่องเพชรหรือไม่มีความรู้เรื่องเพชรมาก่อน เดอมอนด์ตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์การเลือกซื้อแหวนหมั้น แหวนแต่งงานที่จะให้ลูกค้าเกิดความประทับใจกับแหวนวงสำคัญวงนี้ไปตลอดอายุการใช้งาน หรือกระทั่งส่งต่อให้รุ่นลูกหลาน

คุณจอนกล่าวเสริมว่า “เดอมอนด์มีความตั้งใจที่จะทำให้เครื่องประดับเพชรที่ดูเข้าถึงยากให้กลายเป็นง่าย ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงไฟน์จิวเวลรี่ได้และมีอิสระที่จะใส่ไฟน์จิวเวลรี่ได้ทุกวัน จึงอยากส่งเสริมให้ทุกคนได้สนุกไปกับการแต่งตัวในสไตล์ของตัวเองอย่างไร้ความรู้สึกกังวล เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสที่จะได้สร้างความทรงจำดี ๆ จากไฟน์จิวเวลรี่ของเรา และเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่สนใจอยากใส่เพชรมากยิ่งขึ้น ความเชื่อนี้ทำให้เราไม่หยุดพัฒนา และมักจะตั้งคำถามอยู่เสมอ

ในอนาคตเราจะตั้งใจจะสร้าง Luxury Experience ของเราให้มีความเข้าถึงง่ายขึ้น โดยเริ่มตั้งแต่การเริ่มออกแบบสินค้า ลักษณะการสวมใส่ การพรีเซนต์สินค้า การให้ความรู้และการบริการ รวมไปถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ลูกค้าเข้ามาสัมผัส ให้มีความผ่อนคลายมากขึ้น และขยายขอบเขตของสิ่งเดิมที่มีอยู่ รวมทั้งเพิ่มแนวความคิดใหม่ ๆ ที่จะทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าน่าจดจำมากยิ่งขึ้น”