1. ในช่วงสงครามกลางเมืองซีเรีย กองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (SDF) เป็นฝ่ายติดอาวุธที่เข้าร่วมในสงครามกลางเมืองซีเรียและทำหน้าที่เป็นกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายบริหารปกครองตนเองทางเหนือและตะวันออกของซีเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ติดกับตุรกี และเป็นพื้นที่ที่มีชนชาติเคิร์ดอาศัยอยู่ โดยชาวเคิร์ดมีความต้องการตั้งประเทศของตัวเองโดยรวมเอาคิดแดนของชาวเคิร์ดในตุรกี ซีเรีย และอิรักเข้าด้วยกัน
2. SDF ประกอบด้วยกลุ่มต่างๆ มากมาย โดยกลุ่มที่โดดเด่นที่สุดคือ หน่วยป้องกันประชาชน (YPG) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดในซีเรีย และหน่วยคุ้มครองสตรี (YPJ) ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยชาวเคิร์ดโดยสาขาทางการเมืองของสองกลุ่มนี้คือ พรรคสหภาพประชาธิปไตย (PYD) พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายของชาวเคิร์ดในซีเรีย ซึ่งตุรกีถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของพรรคแรงงานเคิร์ด (PKK) ซึ่งตุรกีถือว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายและได้ทำสงครามกันมาตั้งแต่การเจรจาสันติภาพล้มเหลวในปี 2015
3. ด้วยเหตุนี้ ตุรกีจึงมองว่า SDF ทั้งหมดเป็นเพียงส่วนขยายของ PKK ส่งผลให้ตุรกีเข้าแทรกแซงกลุ่มนี้สองครั้งภายในปี 2019 ครั้งแรกโดยตุรกีทการบุกซีเรียตอนเหนือเพื่อป้องกันการเชื่อมต่อพื้นที่ที่ SDF ยึดครอง และต่อมาโดยการโจมตี SDF อย่างเต็มรูปแบบในเมืองอัฟริน ผลจากการบุกรุกเหล่านี้ ตุรกีได้จัดตั้งเขตยึดครองในซีเรียตอนเหนือ ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ที่ SDF ก่อความไม่สงบ ทำให้ประธานาธิบดีตุรกี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ต้องแสดงความต้องการที่จะขับไล่กองกำลัง SDF ออกจากชายแดนซีเรีย-ตุรกีโดยใช้กำลังบ่อยครั้ง
4. อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้าระหว่างตุรกีกับ SDF มีความซับซ้อนทางการเมืองระหว่างประเทศ เพราะกองกำลัง SDF เองก็กลายเป็นหนึ่งในพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ ในซีเรียในการทำสงครามกับกลุ่มรัฐอิสลาม ส่งผลให้กองกำลังสหรัฐฯ ถูกส่งไปประจำการในดินแดนที่ SDF ยึดครอง ซึ่งเป็นการยับยั้งการรุกรานข้ามพรมแดนของตุรกีไปด้วย ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ (ในสมัยแรก) ก็แสดงเจตจำนงที่จะถอนตัวออกจากสงครามกลางเมืองซีเรีย โดยในตอนแรกสั่งให้ถอนกำลังพลสหรัฐฯ ทั้งหมดในซีเรีย ก่อนที่จะตัดสินใจคงกำลังพลจำนวนเล็กน้อยไว้ในภายหลัง ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาทางทหารของเขา
5. ถึงกระนั้น สหรัฐฯ ก็กระตือรือร้นที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับตุรกี ซึ่งในขณะนั้นความสัมพันธ์ดังกล่าวก็ตึงเครียดอยู่แล้วจากการที่สหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะส่งตัวเฟทุลลาห์ กูเลน ผู้ต่อต้านรัฐบาลตุรกี (ซึ่งตุรกีกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการการรัฐประหารที่ล้มเหลวในปี 2016) และการที่ตุรกีซื้อระบบขีปนาวุธ S-400 จากรัสเซียจนทำให้สหรัฐฯ เกิดความเคลือบแคลงใจต่อตุรกีในฐานะพันธมิตรและการที่ตุรกีเป็นสมาชิกสำคัญของนาโตในตะวันออกกลาง ความไม่ลงรอยระหว่างสหรัฐฯ กับตรุกีในประเด็นเหล่านี้ ทำให้ แนวคิดของ SDF ที่จะสร้างเขตปลอดอาวุธ หรือ DMZ ทำไม่สำเร็จและไม่สามารถถ่วงดุลแนวคิดรุนกรานซีเรียของตุรกีได้
6. ในช่วงฤดูร้อนปี 2019 ประธานาธิบดีตุรกี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ประกาศว่าตุรกี "รอต่อไปไม่ได้แล้ว" และจะไม่ยอมให้กองกำลัง SDF ประจำการอยู่ตามแนวชายแดนตุรกี-ซีเรียต่อไป เขากล่าวว่าหากสหรัฐฯ ไม่ตกลงทำข้อตกลงที่จะถอนกองกำลัง SDF ออกจากพื้นที่เหล่านั้น ตุรกีจะเริ่มการรุกรานอย่างเต็มรูปแบบฝ่ายเดียวต่อดินแดนที่กองกำลัง SDF ยึดครองทางตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติส โดยจัดตั้ง "เขตปลอดภัย" ที่ตุรกียึดครองตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำสหรัฐฯ มองว่า "ยอมรับไม่ได้"
7. เมื่อกองทัพตุรกีระดมกำลังพลตามแนวชายแดน รัฐบาลทรัมป์จึงตัดสินใจเจรจากับตุรกีเกี่ยวกับการจัดตั้ง "เขตปลอดภัย" ซึ่งจะแก้ไขปัญหาการประจำการของกองกำลัง SDF ในซีเรียตอนเหนืออย่างเป็นพื้นฐาน ในตอนแรกทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ได้ โดยสหรัฐฯ เสนอเขตที่มีความลึกเข้าไปในพรมแดนซีเรีย 10–15 กิโลเมตร ภายใต้การควบคุมร่วมกันของสหรัฐฯ และตุรกี ในขณะที่ตุรกีเรียกร้องเขตที่มีความลึกเข้าไปในพรมแดน 30–50 กิโลเมตร ภายใต้การควบคุมของตุรกีแต่เพียงผู้เดียว
8. จนเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2019 ตุรกีกล่าวว่าได้บรรลุข้อตกลงกรอบความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาที่จะป้องกันการรุกรานซีเรียตอนเหนือโดยฝ่ายเดียวของตุรกี ขั้นตอนแรกเริ่มนั้นรวมถึงการจัดตั้ง "ศูนย์ปฏิบัติการร่วม" ซึ่งจะประสานงานการจัดตั้ง "ระเบียงสันติภาพ" ตามแนวชายแดนซีเรีย-ตุรกีฝั่งซีเรีย ระเบียงสันติภาพดังกล่าวจะมีระดับความลึก 5 กิโลเมตรในพื้นที่ส่วนใหญ่ ในขณะที่ในบางพื้นที่จำกัดจะขยายออกไปเป็น 9–14 กิโลเมตร และกองกำลัง YPG และ YPJ จะถอนตัวออกจากพื้นที่กันชนระยะ 5-9-14 กิโลเมตรโดยสิ้นเชิง
9. เครื่องบินลาดตระเวนของตุรกีจะได้รับอนุญาตให้เฝ้าระวังพื้นที่ดังกล่าว แต่เครื่องบินรบของตุรกีจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป และจะไม่มีการโจมตีทางอากาศเกิดขึ้น นอกจากนี้ สหรัฐฯ และตุรกีจะร่วมกันลาดตระเวนทางทหารตามแนวเขตกันชน แต่จะไม่เข้ายึดครองดินแดน และจะไม่อนุญาตให้มีการลาดตระเวนแยกต่างหากของตุรกี โดยตุรกีจะงดเว้นจากการรุกรานใดๆ เข้าสู่ซีเรียตอนเหนือ แบะตุรกีจะไม่จัดตั้งจุดสังเกการณ์ใดๆ ในซีเรียตอนเหนือ เหมือนที่เคยทำในอิดลิบ จุดสังเกตการณ์ทั้งหมดจะต้องสร้างขึ้นบนดินแดนของสาธารณรัฐตุรกีเท่านั้น
10. อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม กำหนดเส้นตายที่ตุรกีกำหนดไว้สำหรับการปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของตุรกีได้หมดอายุลงโดยที่ตุรกีไม่ได้รับความพึงพอใจว่าจได้รับการปฏิบัติตามเงื่อนไขของ SDF และสหรัฐฯ ดังนั้น วันที่ 5 ตุลาคม ประธานาธิบดีเออร์โดกันของตุรกีเตือนว่าการบุกซีเรียตอนเหนืออย่างเต็มรูปแบบอาจเริ่มต้นในวันนั้นหรือวันถัดไป หลังจากที่เขานิยามการลาดตระเวนภาคพื้นดินและทางอากาศร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ และตุรกีว่าเป็น "เพ้อฝัน" เขายังกล่าวอีกว่ากองทัพตุรกีได้เตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีแล้วและได้รับแผนการสำหรับการบุกแล้ว
11. วันที่ 7 ตุลาคม แถลงการณ์จากสำนักงานทำเนียบขาวระบุว่า ตุรกีจะ "เดินหน้าปฏิบัติการที่วางแผนไว้มานานแล้วในซีเรียตอนเหนือ" และประกาศว่าแม้กองกำลังสหรัฐฯ จะไม่ให้การสนับสนุนปฏิบัติการอย่างแข็งขัน แต่จะถอนตัวออกจากพื้นที่ ซึ่งเป็นการอนุญาตให้ปฏิบัติการเกิดขึ้นได้ แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เห็นชอบกับการโจมตีของตุรกี หลังจากที่ประธานาธิบดีเออร์โดกันของตุรกีให้คำมั่นกับเขาว่าตุรกีจะรับช่วงดูแลนักโทษกลุ่มรัฐอิสลาม (ID) ที่ถูกกองกำลัง SDF จับกุม
12. การอนุมัติการรุกรานของตุรกีอย่างกะทันหันของทรัมป์ถูกมองว่าเป็นการพลิกผันวัตถุประสงค์ของข้อตกลงเขตกันชน และได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากภายในสหรัฐอเมริกา โฆษกของ SDF กล่าวว่าการกระทำของสหรัฐฯ เป็น "การแทงข้างหลัง" และยืนยันว่า SDF จะ "ปกป้องซีเรียตะวันออกเฉียงเหนือด้วยทุกวิถีทาง" ในขณะที่ ทรัมป์ ก็พยายามถ่วงดุลกับ SDF ที่คอบช่วยควบคุมการโจมตีของ IS โดยทรัมป์ได้ทวีตข้อความข่มขู่เออร์โดกัน โดยระบุว่าหากตุรกีดำเนินการใดๆ ที่เขาเห็นว่า "เกินขอบเขต" เขาจะ "ทำลายล้างและทำลายเศรษฐกิจของตุรกีอย่างสิ้นเชิง"
13. วันที่ 9 ตุลาคม ประธานาธิบดีเออร์โดกันของตุรกีประกาศว่าการโจมตี SDF หรือปฏิบัติการฤดูใบไม้ผลิแห่งสันติภาพ (Operation Peace Spring) ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ขณะที่รัฐบาลอัสซาดประณามปฏิบัติการของตุรกีอย่างรุนแรง โดยกล่าวหาตุรกีว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและบูรณภาพดินแดนของซีเรียอย่าง "น่าอับอาย" ส่วน SDF เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศบังคับใช้เขตห้ามบินเหนือซีเรียตอนเหนือ เพื่อป้องกัน "วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น"
14. ตามที่ประธานาธิบดีตุรกี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน กล่าว ปฏิบัติการนี้มีจุดประสงค์เพื่อขับไล่ SDF ซึ่งตุรกีกำหนดให้เป็นองค์กรก่อการร้าย "เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับพรรคแรงงานเคิร์ด (PKK)" แม้ว่าตุรกีจะอ้างว่าเป็นการป้องกันตนเอง แต่ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ถือเป็นการใช้กำลังโดยผิดกฎหมาย ในขณะที่เดิมทีรัสเซียยอมรับ "สิทธิในการป้องกันตนเอง" ของตุรกี แต่ในวันที่ 15 ตุลาคม รัสเซียได้เปลี่ยนท่าทีต่อต้านปฏิบัติการดังกล่าวและส่งกองกำลังเข้าไป นอกจากนี้ ยังมีประเทศในยุโรปและแคนาดาได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรอาวุธต่อตุรกี ในขณะที่สหรัฐฯ ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อกระทรวงต่างๆ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลตุรกีเพื่อตอบโต้การรุกในซีเรีย
15. จนถึงปี 2024 ก็ยังมีปฏิบัติการทางทหารหลายชุดที่ตุรกีและกองทัพแห่งชาติซีเรีย (SNA) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากตุรกี ได้เปิดฉากขึ้นเพื่อต่อต้าน SDF ที่นำโดยชาวเคิร์ด ท่ามกลางการล่มสลายของระบอบอัสซาด เริ่มต้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2024 ด้วยปฏิบัติการรุ่งอรุณแห่งเสรีภาพ (Operation Dawn of Freedom) การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายดินแดนที่ตุรกีควบคุม ลดกำลังของ SDF ป้องกันการปกครองตนเองของชาวเคิร์ดในซีเรียหลังยุคอัสซาด และสอดคล้องกับความคิดริเริ่มของตุรกีในการจัดตั้งเขตกันชนลึก 30 กิโลเมตรทางตอนเหนือของประเทศ
16. ในช่วงหลังของการรุกรานซีเรียของตุรกีมีการสู้รบครั้งสำคัญ ได้แก่ การโจมตีเมืองมันบิจในปี 2024 และการปะทะกันที่โคบานีในปี 2024 โดยมีการสู้รบต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025 อย่างไรก็ตาม หลังจากระบอบอัสซาดล่มสลาย พื้นที่ทางตอนเหนือของอเลปโปที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตุรกีได้ถูกโอนไปยังรัฐบาลเปลี่ยนผ่านของซีเรียในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 การยึดครองทางทหารในเขตอัฟรินก็สิ้นสุดลงในเดือนกันยายน 2025 เช่นกัน
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ขบวนรถทหารตุรกีบรรทุกรถถังและยานเกราะแล่นผ่านเมืองอิดลิบ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย ใกล้ชายแดนซีเรีย-ตุรกี เมื่อช่วงดึกของวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2020 (ภาพโดย Aref TAMMAWI / AFP)