หลายคนคงทราบแล้วว่าญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่อง "ไม่มีเชื้อพระวงศ์ชายมาสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิ" เรื่องนี้นี้มีสาเหตุสองประการ คือ
หนึ่ง พระบรมวงศ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันทรงไม่มีพระโอรส หรือ "ลูกชาย"
สอง พระบรมวงศ์ที่เคยมีมาแต่เดิม ถูกถอดฐานันดรในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เหลือเพียง "สายตรง" ของจักรพรรดิที่ดำรงพระชนม์อยู่เท่านั้น
เรื่องนี้มีวิธีแก้เฉพาะหน้าสองทาง คือ
หนึ่งพระบรมวงศ์สายตรงจะต้องมีพระประสูติกาล "เจ้าชาย" เพิ่มเติม หาไม่แล้วสายการสืบทอดราชบัลลังก์จะจบสิ้นลง
สอง ญี่ปุ่นอาจจะต้องแก้ไขกฎหมายหรือกฎมณเฑียรบาลให้พระบรมวงศ์เดิมที่ถูกถอดฐานันดรให้เป็นสามัญชนตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับมาเป็นพระวงศ์อีกครั้งซึ่งสามารถให้พระวงศ์ชายที่สืบเชื้อสายจากจักรพรรดิอื่นๆ สามารถสืบทอดราชบัลลังก์ได้
แต่เรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ โดยเฉพาข้อหนึ่ง แม้แต่ข้อสองก็มีปัญหาอันยุ่งยากมากมายทั้งมิติทางสังคมและการเมือง
ยังเหลืออีกวิธี คือการสถาปนาจักรพรรดิหญิง (女性天皇)
ทางเลือกนี้ ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนพอสมควร โดยผลสำรวจความคิดเห็นของหนังสือพิมพ์ไมนิจิ ชิมบุนในเดือนพฤษภาคม แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 70% สนับสนุนให้ผู้หญิงเป็นจักรพรรดิ
ตัวเลขจากผลสำรวจความคิดเห็นสาธารณะที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวเกียวโดพบว่าประชาชน 79% สนับสนุนจักรพรรดิหญิง
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอจากหนังสือพิมพ์โยมิอุริชิมบุนในเดือนพฤษภาคมที่กล่าวว่าญี่ปุุ่นควรพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะมี "จักรพรรดิหญิง" หรือ "สายการสืบทอดจักรพรรดิหญิง"
หนังสือพิมพ์อาซาฮี ชิมบุนได้ทำการสำรวจความคิดในช่วงกลางเดือนเมษายน และผลการสำรวจพบว่าประชาชน 76% ระบุว่าหากมีการแก้ไขกฎหมายราชวงศ์เพื่อให้มีจักรพรรดิหญิง บุคคลที่ควรเป็นจักรพรรดิหญิง คือ เจ้าหญิงไอโกะ พระธิดาของเจ้าชายอะกิชิโนะ
ไม่ใช่ว่าญี่ปุ่นไม่เคยมีจักรพรรดิหญิง แต่มีมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้วขาดช่วงไปในช่วงที่ก่อตัวเป็นรัฐสมัยใหม่
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า "จักรพรรดิหญิง" (女性天皇) คือผู้หญิงที่ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ ต่างจาก "จักรพรรดินี" (皇后) ซึ่งหมายถึงพระมเหสีของจักรพรรดิชาย
อีกคำหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือคำว่า "สายการสืบทอดจักรพรรดิหญิง" (女系天皇)
ทั้งสองคำนี้เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญของดีเบตเรื่องการเชิญผู้หญิงมาเป็นจักรพรรดิญี่ปุ่น
ประเด็นแรกก็คือ แม้ญี่ปุ่นจะมี "จักรพรรดิหญิง" (女性天皇) มาแล้ว 8 พระองค์ในอดีต แต่ทั้งหมดล้วนแต่สืบทอดตำแหน่งมาและถ่ายทอดตำแหน่งไปยังสายการสืบทอดฝ่ายชาย
นั่นคือ จักรพรรดิหญิงในอดีตของญี่ปุ่นนั้นหากมิได้โสดตลอดชีวิต ไม่ก็เป็นม่ายหลังจากแต่งงานกับสมาชิกราชวงศ์มาก่อน โดยที่ไม่มีใครแต่งงานหรือให้กำเนิดโอรส/ธิดาหลังจากขึ้นครองบัลลังก์
หมายความว่า จักรพรรดิหญิงในอดีตไม่ใช่ผู้ส่งต่อบัลลังก์ให้กับพระโอรสที่เกิดจากบุคคลอื่นนอกสายสืบทอดชายสายตรง แต่เป็นผู้รักษาบัลลังก์ชั่วคราวให้กับโอรสที่เกิดจากสายสืบทอดชายสายตรงเท่านั้น
สายสืบทอดชายสายตรงที่ว่านี้ คือ ผู้ชายที่เป็นสายเลือดโดยตรงจากจักรพรรดิองค์แรก คือ จักรพรรดิจิมมู เรียกว่า "สายเลือดจักรพรรดิ" (皇統)
ดังนั้น จักรพรรดิหญิงจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ "สายเลือดจักรพรรดิ" แต่เป็นคนคั่นกลางระหว่างสายหลวงเมื่อเกิดกรณีจำเป็นทางประวัติศาสตร์ แม้ว่าพระนางจะทรงสมรสหรือมีพระโอรสกับผู้ใดในเวลาที่ครองราชย์ก็ไม่นับว่าเป็น "สายเลือดจักรพรรดิ"
ยกตัวอย่างเช่น
กรณีของจักรพรรดิหญิงซุยโกะ ทรงเป็นพระราชธิดาของจักรพรรดิคินเม และต่อมาทรงเป็นพระจักรพรรดินีในจักรพรรดิบิดัตสึ หลังจากการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิบิดัตสึ จักรพรรดิโยเม และจักรพรรดิซูชุนติดต่อกัน คาดว่าเในเวลานั้นจะเกิดความขัดแย้งขึ้นในหมู่สมาชิกราชวงศ์เกี่ยวกับการเลือกผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เพื่อระงับความขัดแย้งนี้ พระนางได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้างให้ขึ้นเป็น "จักรพรรดิ" และแต่งตั้งเจ้าชายอุมายาโดะ (หรือที่รู้จักกันในชื่อเจ้าชายโชโตกุ) พระราชของพระนางซึ่งเป็นพระโอรสของจักรพรรดิโยเม เป็นมกุฎราชกุมารผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (เจ้าชายโชโกตุสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน) ต่อมาเจ้าชายทามูระ พระราชนัดดาของจักรพรรดิบิดัตสึ ได้สืบทอดราชบัลลังก์เป็นจักรพรรดิโจเม
อีกกรณี คือ จักรพรรดิหญิงโคเกียวคุ พระนางเป็นเหลนของจักรพรรดิบิดัตสึและต่อมาเป็นจักรพรรดินีแห่งจักรพรรดิโจเม หลังจากจักรพรรดิสวรรคต เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับผู้ที่จะขึ้นครองราชย์ ดังนั้นเพื่อเป็นการประนีประนอมระหว่างฝ่ายต่างๆ พระนางจึงได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ โดยไม่มีมกุฎราชกุมาร ต่อมาพระนางทรงสละราชสมบัติ แล้วเจ้าชายคารุ พระอนุชาของพระนางได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิโคเกียวคุ
นี่คือลักษณะที่ผู้หญิงเป็นจักรพรรดิชั่วคราวเพื่อตอบสนองความจำเป็นทางการเมือง โดยที่ยังมี "สายเลือดจักรพรรดิ" คอยที่จะเป็นจักรพรรดิหลายคนอยู่แล้ว แต่เกิดความขัดแย้งกัน เพื่อยุติความขัดแย้งจึงให้ผู้หญิงขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ไปพลางๆ เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย "ผู้ชายสายเลือดจักรพรรดิ" จึงรับช่วงต่อไปได้
ในบางกรณี การสถาปนาจักรพรรดิหญิงก็เกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งระหว่างราชสำนักกับรัฐบาลโชกุน (ราชสำนักเป็นประมุขแต่ในนาม ส่วนรัฐบาลโชกุนหรือรัฐบาลทหารคือผู้ปกครองประเทศที่แท้จริงตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ลงมา) เช่นกรณี จักรพรรดิโกมิซุโนซึ่งขัดแย้งกับรัฐบาลโชกุนตระกูลโทกุงาวะเกี่ยวกับ "กรณีจีวรม่วง" (ความขัดแย้งเรื่องราชสำนักและรัฐบาลใครมีอำนาจประทานจีวรม่วงอันเป็นสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ญี่ปุ่น) จักรพรรดิโกมิซุโนจึงได้สละราชสมบัติโดยไม่ได้แจ้งต่อรัฐบาลโชกุนแล้วมอบตำแหน่งจักรพรรรดิหญิงให้เจ้าหญิงโอกิชิซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับรัฐบาลโชกุนโทกุงาวะ การมอบตำแหน่งจักรพรรดิหญิงให้ญาติของรัฐบาลโชกุนก็เพื่อที่จะบีบให้พระนางเป็นโสดไปตลอดชีวิตและเพื่อกำจัด "สายเลือดจักรพรรดิ" ที่จะมีเชื้อสายของหญิงจากตระกูลโชกุนเข้ามามีอิทธิพลในราชสำนัก เจ้าหญิงโอกิชิจึงได้เป็นจักรพรรดิหญิงเมโช โดยไม่มีอำนาจปกครองที่แท้จริงเพราะอำนาจยังอยู่ในมืออดีตจักรพรรดิโกมิซุโน และ 14 ปีต่อมา จักรพรรดิหญิงเมโช ได้สละราชสมบัติให้แก่เจ้าชายโชฮิโตะ (จักรพรรดิโกโคเมียว) พระอนุชาต่างมารดาของพระนาง
กรณีเหล่านี้ล้วนแต่เป็นมีจักรพรรดิหญิงเป็นตัวคั่นกลาง ไม่มีใครที่จะแทรกแซง "สายเลือดจักรพรรดิ" ได้เลย
อย่างไรก็ตาม เพราะภาวะขาดแคลน "สายเลือดจักรพรรดิ" ในปัจจุบัน จึงเริ่มมีการพูดถึง "สายการสืบทอดจักรพรรดิหญิง" (女系天皇)
"สายการสืบทอดจักรพรรดิหญิง" พูดสั้นๆ ก็คือ ให้ผู้หญิงเป็นจักรพรรดิแม้พระนางสมรสมาก่อนหรือหลังครองราชย์ก็ดี โดยที่พระสวามีจะเป็นคนในพระราชวงศืหรือนอกพระราชวงศ์ก็ดี พระราชโอรสและธิดาย่อมมีสิทธิ์สืบทอดราชบัลบังก์ได้
ลักษณะนี้คล้ายกับการสืบทอดราชบัลลังก์ในยุคโรปยุคปัจจุบัน ซึ่งแม้สตรีจะเป็นกษัตริย์หรือพระราชินีนาถเมื่อสวรรคตแล้ว พระโอรสหรือธิดาก็สืบทอดตำแหน่งต่อไป โดยไม่ต้องยึดมั่นอยู่กับความเป็นผู้ชาย ความเป็นผู้หญิง ความเป็นเชื้อสายตรงของปฐมกษัตริย์
วิธีการแก้ปัญหานี้อาจจะง่ายสำหรับประเทศอื่น แแต่ไม่ใช่สำหรับญี่ปุ่น
ความยึดมั่นใน "สายเลือดจักรพรรดิ" หรือการสืบทอดสายเลือดของจักรพรรดิจิมมูของญี่ปุ่นแข็งแกร่งอย่างมาก เรื่องนี้ถือเป็น "ลักษณะแห่งชาติ" อย่างหนึ่ง หากพิจารณาว่าสถาบันจักรพรรดิคือศูนย์รวมจิตใจของชาติมาแต่โฐราณนาลกัลป์
อีกลักษณะหนึ่งของสถาบันจักรพรรดิ คือ มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาชินโตอย่างแยกไม่ออก โดยต้นสายของจักรพรรดินั้นมิใช่แค่จักพรรดิจิมมูแต่ยังมีเทพเจ้าที่คนญี่ปุ่นนับถือแต่โบราณอันถือเป็นผู้ให้กำเนิดประเทศด้วย พิธีกรรมของศาสนาชินโตกับพระราชพิธีของราชสำนักนั้นก็เกี่ยวข้องกับหลักการนี้อย่างเหนียวแน่น
ดังนั้น หากจะใช้ "สายการสืบทอดจักรพรรดิหญิง" ที่จะตัดขาด "สายเลือดจักรพรรดิ" โดยสิ้นเชิงก็จะเท่ากับทำให้ตัดขาดจากสายเลือดขององค์จิมมูและเทพเจ้าผู้ให้กำเนิดประเทศญี่ปุ่น ยังไม่นับการที่ศาสนาชินโตถือคติเรื่อง "ความบริสุทธิ์" อย่างยิ่ง เมื่อสายการสืบทอดจากเทพเจ้าและจักรพรรดิที่สืบทอดจากเทพเจ้าถูกตัดขาดลง ก็เท่ากับทำให้ "สถาบันจักรพรดิและสถาบันศาสนา" หมดความชอบธรรมลงไปด้วย
กระนั้นก็ตาม ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่อาจประนีประนอมความขัดแย้งนี้ได้
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ญี่ปุ่นอาจจะต้องแก้ไขกฎหมายหรือกฎมณเฑียรบาลให้พระบรมวงศ์เดิมที่ถูกถอดฐานันดรให้เป็นสามัญชนตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับมาเป็นพระวงศ์อีกครั้งซึ่งสามารถให้พระวงศ์ชายที่สืบเชื้อสายจากจักรพรรดิอื่นๆ สามารถสืบทอดราชบัลลังก์ได้
อีกกรณีคือ หาก "เชื้อพระวงศ์รื้อฟื้นใหม่" ไม่อาจเป็นจักรพรรดิได้โดยตรง ก็อาจเป็นพระสวามีของจักรพรรดิหญิงได้ โดยที่พระราชโอรสหรือธิดาของทั้งคู่ก็มัศักดิ์ที่จะเป็นรัชทายาทสืบต่อไป
เรื่องนี้มีตัวอย่างในร่าง “กฎมณเฑียรบาล” ในรัชกาลเมจิ ซึ่งกำหนดให้จักรพรรดิหญิงสืบราชสันตติวงศ์ได้และให้พระราชโอรสธิดาสืบทอดตำแหน่งได้ ในมาตรา 13 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “พระสวามีของจักรพรรดิหญิงพึงเป็นบุคคลที่มีเชื้อสายจักรพรรดินีซึ่งกลายเป็นสามัญชนและมีความใกล้ชิดกับราชวงศ์”
นี่เท่ากับยอมให้ผู้หญิงเป็นจักรพรรดิได้ มีพระสวามีได้ และมีพระโอรสธิดาได้ระหว่างการครองราชย์ซึ่งต่างจากยุคโบราณ เพียงแต่พระสวามีจะต้องเป็น "สายเลือดจักรพรรดิ" แม้ว่าสายเลือดจักรพรรดิผู้นี้จะมีศักดิ์ลดลงไปเป็นสามัญชนตามลำดับของกฎมณเฑียรบาล แต่ก็ยังถือเป็นสายเลือดโดยตรงของจักรพรรดิจิมมูอยู่นั่นเอง
ดังนั้น หากถามว่า เจ้าหญิงไอโกะจะสามารถเป็นจักรพรรดิหญิงได้หรือไม่? คำตอบก็คือย่อมเป็นได้ แต่ "เพื่อความสบายใจ" ของคนญี่ปุ่นในแง่วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ก็อาจจะต้องแก้ไขกฎหมายเรื่องฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศ์เสียก่อน เพื่อให้พระบรมวงศ์ที่เป็น "สายเลือดจักรพรรดิ" แต่ถูกถอดสถานะไปตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สามารถกลับมาเป็นพระสวามีของเจ้าหญิงไอโกะได้
หรือถ้าไม่แก้ไขกฎหมายนั้น ก็อาจแก้ไขกฏมณเฑียรบาลให้ "สายเลือดจักรพรรดิ" ที่เป็นสามัญชนสามารถสมรสกับเจ้าหญิงไอโกะได้
ปัญหาก็คือ ในยุคที่ไม่มีการ "คลุมถุงชน" ในพระราชวงศ์อีกต่อไปแล้ว การทำเช่นนี้จะยังเป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่? ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องคู่ครองนั้น ย่อมเป็นไปตามพระประสงค์ของเจ้าหญิงไอโกะแต่ผู้เดียว
เว้นแต่ว่าพระองค์จะมีพระดำริเป็นประการอื่น
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by Shuji Kajiyama / POOL / AFP