'ซานาเอะ คาทาอิจิ' นายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของญี่ปุ่นเป็นคนที่น่าสนใจ
ไม่ใช่น่าสนใจในแง่ควรจะปลาบปลื้มยินดี แต่น่าสนใจที่จะศึกษาว่าอะไรทำให้เธอคิดแบบนั้น
เพราะวิธีคิดของเธอทำให้เพื่อนบ้านต้องกราดเกรี้ยวกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลีใต้ แม้แต่ประเทศเอเชียอื่นๆ ก็เริ่มหันกลับมาทบทวนว่า "เราควรจะสนับสนุนญี่ปุ่นแบบนี้หรือ?"
ญี่ปุ่นแบบไหนที่ไม่ควรสนับสนุน? คือญี่ปุ่นที่ไม่ยอมรับว่าตนเองได้กระทำเรื่องโหดร้ายในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่เพียงการสังหารหมู่ในจีน หรือการนำผู้หญิงเกาหลีมาเป็นนางบำเรอในกองทัพ แต่ยังรวมถึงการฆ่าฟันและปล้นชิงผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในเวลานี้ มีคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียเริ่มตั้งคำถามกับ "ญี่ปุ่นแบบนั้น" กันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่คนเอเชียแต่คนตะวันตกก็เริ่มให้ความรู้เรื่องนี้
ทั้งหมดนี้ถือเป็น "คุณงามความดี" อย่างหนึ่งของ 'ซานาเอะ คาทาอิจิ' ก็ว่าได้
ซานาเอะ คาทาอิจิ มีจุดยืนที่ยึดมั่นใน "ความดีงาม" ของ "จักรวรรดินิยมญี่ปุ่น" อย่างชัดเจน ประการแรกก็คือ แต่ไหนแต่ไรมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ยึดถือแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีโทมิอุจิ มุรายามะ เมื่อปี 1995 ที่เรียกว่า "แถลงการณ์ของมุรายามะ" เป็นจุดยืนอย่างเป็นทางการ ซึ่งระบุว่า "เราขออภัยต่อการรุกรานของจักรวรรดิญี่ปุ่นต่อประเทศในเอเชีย"
แต่ทาคาอิจิคัดค้านเรื่องนี้และกล่าวว่า "แถลงการณ์ของมุรายามะควรได้รับการแก้ไข"
เธอแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ชัดเจนในบทความที่ชื่อ "ขอขอบคุณทุกท่าน 1 : สำหรับอีเมลเกี่ยวกับแถลงการณ์มุรายามะ" (皆様への御礼①:村山談話発言に関するメールに対して) ซึ่งเป็นการแสดงความชอบคุณคนญี่ปุ่น (บางคน) ที่สนับสนุนจุดยืนของเธอ และใช้โอกาสนี้แสดงทัศนะเกี่ยวกับสงครามและการรุกรานประเทศอื่นเอาไว้
ผมเห็นว่า บทความนี้สะท้อนวิธีคิดของ ซานาเอะ คาทาอิจิ ใน "สงครามและสันติภาพ" ได้ชัดเจนดี จะขอสรุปเป็นข้อๆ จากงานเขียนของเธอ เพื่อที่เราจะเข้าใจ "ญี่ปุ่นแบบนี้" หรือ "ญี่ปุ่นที่ไม่น่ารัก" ให้ชัดเจนมากขึ้น (ข้อความตัวเอนเป็นทัศนะเพิ่มเติมของผม)
1. กับการของโทษของรัฐบาลมุรายามะ เธอแย้งว่า "ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลปัจจุบันมีสิทธิ์แสดงความสำนึกผิดและขอโทษหรือไม่ ตามพจนานุกรมโคจิเอ็น (広辞苑 พจนานุกราที่ถือเป็นมาตรฐานของญี่ปุ่น) คำว่า "การสำนึก" (反省) หมายถึง "การไตร่ตรองถึงการกระทำในอดีต" ในขณะที่ "การขอโทษ" (謝罪) หมายถึง "การขอโทษสำหรับบาปและความผิดพลาดของตน" หลักกฎหมายสมัยใหม่กำหนดว่า "ความผิดเป็นของผู้ที่กระทำความผิดนั้นแต่เพียงผู้เดียว" (แต่) ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในโลกที่สนับสนุน "ทฤษฎีความรับผิดชอบต่อชาติ" (民族責任論) ซึ่งถือว่าการเกิดเป็นชาวญี่ปุ่นถือเป็นบาป และจำเป็นต้องสำนึกผิดและขอโทษ"
2. เธอชี้ว่าการเหมาความความผิดทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของคนทั้งชาตินั้นไม่สมเหตุผลโดยชี้ว่า "อดีตประธานาธิบดีเยอรมนี ริชาร์ด ฟอน ไวซ์แซคเคอร์ กล่าวว่า "ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคนทั้งประเทศมีความผิดหรือบริสุทธิ์ ความผิดและความบริสุทธิ์เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ใช่เรื่องส่วนรวม" "ประชากรส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นเด็กหรือยังไม่เกิดด้วยซ้ำ คนเหล่านี้ไม่สามารถสารภาพผิดในสิ่งที่ตนไม่ได้กระทำ" อย่างไรก็ตาม ซานาเอะ คาทาอิจิ ดูเหมือนจะลือกข้อความที่เข้าข้างตนเอง (Cherry picking) เพราะได้ละข้อความที่ ฟอน ไวซ์แซคเคอร์ ได้กล่าวต่อมาว่า "เราทุกคน ไม่ว่าจะมีความผิดหรือไม่ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ล้วนต้องยอมรับอดีต เราทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากผลที่ตามมาและต้องรับผิดชอบต่อมัน [...] พวกเราชาวเยอรมันต้องมองความจริงอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ปรุงแต่งหรือบิดเบือน [...] การปรองดองจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากการรำลึกถึง”
3. เธอยังยกตัวอย่างต่อไปอีกว่า "ยิ่งไปกว่านั้น อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช บิดาของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน (ณ เวลานั้น) ตอบว่า "ผมจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด" เมื่อถูกถามว่าเขาจะขอโทษสำหรับเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่นหรือไม่ "ผมโศกเศร้ากับการเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวที่สูญเสียลูกๆ ในการโจมตีเหล่านั้น แต่ผมก็เห็นใจมารดาของเพื่อนร่วมฝูงบินของผมด้วย สงครามคือนรก ไม่จำเป็นต้องขอโทษ มุมมองเช่นนี้เป็นการแก้ไขประวัติศาสตร์ที่เลวร้าย ประธานาธิบดีทรูแมนต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก และนั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง พวกเขาช่วยชีวิตชาวอเมริกันหลายล้านคน" "สิ่งที่เรากำลังพูดคือ ให้เราลืมและก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน"
4. ซานาเอะ คาทาอิจิ สรุปว่า "ชายทั้งสองย้ำว่าทั้งตัวเขาเองและประเทศชาติในปัจจุบันไม่สามารถไตร่ตรองหรือขอโทษสำหรับสงครามในอดีตได้" นี่คือสมมติฐานของเธอที่ยกขึ้นมาตอบโต้การกระทำของรัฐบาลมุรายามะที่ขอโทษต่อชาวเอเชียต่อการกระทำ "ในอดีต" ของญี่ปุ่น (ทั้งนี้ แถลงการณ์ของมุรายามะระบุว่า "การปกครองแบบอาณานิคมและการรุกรานได้สร้างความเสียหายและความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวงแก่ประชาชนในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้นี้ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขออภัยอย่างสุดซึ้งอีกครั้งหนึ่ง")
5. ซานาเอะ คาทาอิจิ ยังตอบโต้กระทั่งจุดเล็กๆ น้อยๆ ในแถลการณ์ของมุรายามะ ซึ่งกล่าวว่า "ณ จุดหนึ่งในอดีตอันใกล้นี้ ญี่ปุ่นได้กระทำผิดพลาดในนโยบายระดับชาติ ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งสงคราม ส่งผลให้ประเทศชาติตกอยู่ในวิกฤตความเป็นความตาย" แต่ ซานาเอะ คาทาอิจิ ได้ตั้งคำถามว่า ประการแรก ไม่ชัดเจนว่า "ณ จุดหนึ่ง" นั้นหมายถึงสงครามและการกระทำในอดีตอย่างไร" แม้ว่านี่จะเป็นการตั้งคำถามในเชิงเทคนิค แต่เธอควรจะรู้ดีว่านี่เป็นการหมายถึงท่าทีการเป็นจักวรรดินิยมญี่ปุ่นที่เริ่มต้นขึ้น ณ จุดได้ก็ตั้ง ตั้งแต่การใช้ "หลักการเซคังรน" (征韓論 ที่นำไปสู่การรุกรานต้าชิง ไต้หวัน และโชซอน) ที่นำไปสู่สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ไปจนถึงการรุกรานอินโดจีน ไทย พม่า ฟิลิปปินส์ มลายา และอินโดนีเซีย ไม่ว่าจะเป็นจุดใดในเหตุการณ์เหล่านี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับลัทธิจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น
6. ต่อท่าทีของการล่าอาณานิคมโดยญี่ปุ่นในเอเชีย เธอมีท่าทีแก้ต่างการกระทำนั้นโดยกล่าวว่า "ยังมีการสะท้อนถึง "การปกครองแบบอาณานิคม" อีกด้วย แต่เรื่องนี้สะท้อนถึงความจริงที่ว่า ในฐานะประเทศที่ได้รับชัยชนะ ญี่ปุ่นได้ครอบครองดินแดนโดยอาศัยสนธิสัญญา เพื่อแลกกับเลือดเนื้อที่บรรพบุรุษต้องหลั่งไหลในสงครามที่ผ่านมาหรือไม่? ยกตัวอย่างเช่น สิทธิและผลประโยชน์ของญี่ปุ่นในจีนถูกกำหนดโดยสนธิสัญญาญี่ปุ่น-จีนที่ลงนามหลังสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 การผนวกญี่ปุ่น-เกาหลีเกิดขึ้นจริงผ่าน "สนธิสัญญาว่าด้วยการผนวกญี่ปุ่น-เกาหลี" ที่ลงนามในปี 1910 ซึ่งได้รับการอนุมัติจากรัสเซียและอังกฤษในขณะนั้น และสหรัฐอเมริกาไม่ได้คัดค้าน" ในแง่นี้เธอมีเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่บ้าง เพราะการล่าอาณานิคมของญี่ปุ่นในยุคนั้นกระทำตาม "กติกาสากล" ที่กำหนดโดยนักล่าอาณานิคมตะวันตก หากมองในมุมนี้ ซานาเอะ คาทาอิจิ ดูจะพอฟังขึ้น
7. อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับว่า "แม้ว่าการล่าอาณานิคมจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของสนธิสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างประเทศต่างๆ ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพิจารณาถึงความเสียใจและความอัปยศอดสูที่ประชาชนผู้ถูกล่าอาณานิคมรู้สึก" นั่นสะท้อนว่าเธอเองก็ทราบว่าการล่าอาณานิคมแม้จะถูกต้องตาม "กติกาสากล" ในเวลานั้น แต่ไม่ถูกต้องตามหลักมนุษยธรรม การล่าอาณานิคมและการทำตัวเป็นจักรวรรดินิยมคือการขูดรีดชาติอื่นและเอาประชาชนชาติอื่นมาเป็นทาส ดังนั้น คำกล่าวของเธอที่บอกให้พิจารณาความรู้สึกของผู้ถูกล่าอาณานิคม จึงทำลายข้อความแรกของเธอที่บอกว่าการล่าอาณานิคมของญี่ปุ่นในเวลานั้นเป็นเรื่องที่ชอบธรรม เพราะ "มหาอำนาจยอมรับกัน" แต่มหาอำนาจเหล่านั้นในเวลาต่อมาล้วนแต่ต้องเสียอาณานิคมโดยการการลุกฮือต่อต้านของผู้ถูกดดขี่ทั้งสิ้น
8. แม้จะให้เหตุผลที่ขัดแย้งกัน (เพราะการสนับสนุนการล่าอาณานิคมจะเกิดขึ้นพร้อมกับการเห็นใจผู้ถูกล่าอาณานิคมไม่ได้) แต่เธอก็ยังดันทุรังที่จะให้เหตุผลเข้าข้างความเชื่อของเธอเองโดยกล่าวว่า "อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นชุดปัจจุบันจะแสดงความสำนึกผิดและขอโทษต่อข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากสนธิสัญญาเหล่านั้น ถือเป็นการหยิ่งยโส นอกจากนี้ยังเป็นการประณามทางอ้อมต่อการผนวกฟิลิปปินส์ของสหรัฐอเมริกา การที่อังกฤษครอบครองพม่า สิงคโปร์ มาลายา และฮ่องกง การที่เนเธอร์แลนด์ครอบครองเกาะบอร์เนียว ชวา และเซเลเบส และการที่ฝรั่งเศสรุกรานลาวและกัมพูชา" คำกล่าวของ ซานาเอะ คาทาอิจิ ไม่เพียงขัดแย้งกันเอง แต่ยังไม่ตระหนักว่าการล่าอาณานิคมไม่ว่าจะโดยชาติพันธมิตรหรืออักษะ ล้วนแต่เป็นเรื่องน่ารังเกียจ ไทยเองก็เคยยึดดินแดนของลาวและกัมพูชามาจากฝรั่งเศสในช่วงสงคราม แต่เมื่อเราอยู่ในฐานะ "แพ้สงคราม" ไทยก็คืนดินแดนเหล่านั้นไปโดยไม่ได้อิดออด ส่วนฝรั่งเศสที่ได้ดินดนของลาวและกัมพูชาไปนั้น ในภายหลังต้องเผชิญกับขบวนการเอกราชในอินโดจีนจนพ่ายแพ้ยับเยิน นันแสดงว่าการยึดอาณานิคมเป็นเรื่องไม่ถูกต้องจนประชาชนต้องลุกขึ้นสู้
9. เธอกล่าวว่า "การกระทำเช่นนี้ (ขอโทษต่อประเทศต่างๆ) ยังถือเป็นการสิ้นเปลืองความพยายามทางการทูตของบรรพบุรุษของเรา ซึ่งจ่ายเงินจำนวนมากในรูปแบบของ "ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ" แทนที่จะเป็น "การชดเชย" ให้แก่ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในข้อ 14 ของสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกหลังสงคราม ประการที่ห้า ข้าพเจ้าเชื่อว่าแนวคิดเรื่อง "การรุกราน" ถูกนำมาใช้อย่างไม่รอบคอบเกินไปในแถลงการณ์ของมุรายามะ" เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่ละเอียดรอบคอบของเธอและนักการเมืองขวาจัดของญี่ปุ่นที่คิดว่า "จ่ายๆ เงินชดเชยแล้วก็จบกันไป" แต่ในทัศของประเทศที่พังพินาศเพราะญี่ปุ่นในช่วงสงครามนั้น การจ่ายเงินชดเชยไม่เพียงพอ และอาจถือได้ว่าไม่มีค่าพอเท่ากับท่าทียอมรับผิดของญี่ปุ่นต่อการกระทำอันโหดร้าย ด้วยวิธีคิดของนักการเมือง "ญี่ปุ่นแบบนี้" จึงทำให้มีเรื่องกระทบกระทั่งกับจีนและเกาหลีมาตลอด
10. กระนั้นก็ตาม เธอก็ยังพยายามสร้างความชอบธรรมต่อการทำสงครามและการแผ่ขยายจักรวรรดิ โดยอ้างว่า "สิ่งที่เราเรียกว่า "สงครามรุกราน" (侵攻戦争) ในญี่ปุ่นน่าจะปรากฏขึ้นพร้อมกับสนธิสัญญาเคลล็อกส์-บรีอันด์ (Kellogg-Briand Pact) ซึ่งลงนามโดย 60 ประเทศในกรุงปารีสในปี ค.ศ. 1928 สนธิสัญญานี้ประณามสงครามในฐานะวิธีการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ แต่การให้สัตยาบันต้องอาศัยเงื่อนไขที่แต่ละประเทศกำหนด และคำว่า "สงคราม" (戦争) ในบริบทนี้ถูกตีความว่าหมายถึง "สงครามรุกราน" (WAR OF AGRESSION/侵攻戦争) ไม่ใช่ "สงครามป้องกันตนเอง" (自衛戦争) สหราชอาณาจักรประกาศว่า "การป้องกันตนเองได้รับการยอมรับไม่เพียงแต่ในการป้องกันดินแดนของตนเอง รวมถึงอาณานิคมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปกป้องผลประโยชน์ของตนเองในต่างประเทศด้วย" "สงครามรุกราน" สามารถเข้าใจได้ว่าเป็น "การใช้กำลังกับประเทศที่สงบสุขโดยปราศจากการยั่วยุจากอีกฝ่าย" หากแปลคำว่า "การรุกราน" (AGRESSION) เป็นภาษาญี่ปุ่นโดยตรง"
11. ซานาเอะ คาทาอิจิ ชี้ว่า "นอกจากนี้ เคลล็อกก์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่า "สงครามที่ประเทศหนึ่งก่อขึ้นเป็นสงครามป้องกันตนเองหรือสงครามรุกราน เป็นสิ่งที่แต่ละประเทศจะต้องตัดสินใจเอง และไม่ใช่สิ่งที่ประเทศอื่นหรือองค์กรระหว่างประเทศสามารถตัดสินใจได้" และแนวคิดเรื่อง "สิทธิในการตีความตนเอง" ได้รับการประกาศอย่างชัดเจนในเอกสารของรัฐบาลสหรัฐฯ" เธอจึงอ้างว่า "แม้จะมีสนธิสัญญาเคลล็อกส์-ไบรอันด์แล้ว ก็ยังยากที่จะสรุปสงครามนับตั้งแต่เหตุการณ์แมนจูเรียว่าเป็น "สงครามรุกราน" เนื่องจากไม่เพียงแต่มีสิทธิในการตีความตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการละเมิดสนธิสัญญา
12. สมมติฐานของ ซานาเอะ คาทาอิจิ ที่ยกมาข้างต้นก็เพื่อที่จะอ้างว่าการทำสงครามของญี่ปุ่นนั้นชอบธรรม โดยอ้างว่า "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเคลล็อกก์ได้ยอมรับด้วยตนเองต่อคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1928 ว่า "การปิดล้อมทางเศรษฐกิจโดยปราศจากการรุกรานจากชาติใดชาติหนึ่ง ถือเป็นการกระทำสงครามเช่นกัน" ดังนั้น การที่ญี่ปุ่นทำสงครามก็เป็นการทำสงครามที่เหมาะสมแลเว เพราะญี่ปุ่นถูกสหรัฐฯ ปิดล้อมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การปิดล้อมทางเศรษฐกิจผ่านการปิดล้อม ABCDE (ABCD包囲網) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการคว่ำบาตรน้ำมันทั้งหมด" ที่นำไปสู้กาโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์และการรุกรานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อควบคุมแหล่งน้ำมันของอินโดนีเซีย (อาณานิคมของเนเธอร์แลนด์) และพม่า (อาณานิคมของบริเตนใหญ่)
สมมติฐานที่ยกมาอ้างโดย ซานาเอะ คาทาอิจิ นั้นตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า ญี่ปุ่นมีความชอบธรรมเพราะถูกกระทำก่อน เธอถึงขนาดยกพระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดิโชวะ (จักรพรรดิฮิโระฮิโตะ) เมื่อสงครามปะทุขึ้นซึ่งระบุว่า “สหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ได้เป็นอุปสรรคต่อการค้าอันสงบสุขของจักรวรรดิ และบัดนี้กล้าที่จะตัดขาดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการดำรงอยู่ของจักรวรรดิ การดำรงอยู่ของจักรวรรดิกำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง จักรวรรดิไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลุกขึ้นมาอย่างเด็ดเดี่ยวและทำลายอุปสรรคทั้งปวงที่ขัดขวางการดำรงอยู่และการป้องกันตนเอง” อย่างไรก็ตาม การอ้างว่าญี่ปุ่นทำ "การค้าอันสงบสุข" (平和的通商) นั้นเป็นความเท็จโดยตัวมันเอง เพราะญี่ปุ่นมีแนวคิดที่จะรุกรานภาคเหนือและภาคใต้ของเอเชียมานานหลายปีแล้ว เพราะความต้องการทรัพยากรและการหาตลาดรองรับเศรษฐกิจของตน
สิ่งที่ ซานาเอะ คาทาอิจิ เชื่อถือนั้นเป็นสิ่งที่สวนทางกับคนในเอเชียที่ต้องทุกข์ทรมานจาก "ความก้าวร้าว" ของญี่ปุ่น และความก้าวร้าวนั้นก็ยังเป็นความทรงจำที่ถูกถ่ายทอดมา และจะถ่ายถอดต่อกันไปในฐานะประวัติศาสตร์ประชาชน ตรงกันข้ามกับทัศนะของ ซานาเอะ คาทาอิจิ ซึ่งเป็นเพียง "ทัศนะ" ไม่ใช้ประสบการณ์แท้จริงที่คนเอเชียประสบร่วมกันใน "ยุคมืด" ภายใต้การรุกรานของญี่ปุ่น
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - นายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิของญี่ปุ่น กล่าวระหว่างการแถลงข่าวหลังการประชุมผู้นำเศรษฐกิจความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ปี 2568 ที่เมืองคยองจู เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 (ภาพโดย JUNG Yeon-je / AFP)