หมายเหตุ - บทความทัศนะนี้เป็นส่วนขยายและมีรายละเอรียดเพิ่มเติมจากบทความที่เคยเผยแพร่มาก่อนหน้านี้แล้วทางเฟซบุ๊ค Konkit Disthan หลังจากกรณีรายการพอดแคสต์ด้อยค่านมวัวที่เป็นที่โจษจันกันไปทั่ว
แต่หลังจากนั้นก็ยังเกิดกรณีอินฟลูเอนเซอร์หมอด้อยค่าแบรนด์แฟชั่นดังซึ่งก็ยังไม่จบจนถึงวันนี้ ล่าสุด คือ อินฟลูเอนเซอร์สายไม่เอาสาระที่ไปเต้นแร้งเต้นกาบนรถที่จุดท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่น ทำให้เกิดกระแสโจมตีอย่างรุนแรงโดยชี้ว่า นี่เป็นการกระทำที่ทำให้ชื่อเสียงของประเทศเสียหาย และทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องขายหน้า
"พฤติกรรมหาแสง" บนความทุกข์ของผู้อื่นของอินฟลูเซอร์ต่างๆ ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องมากขึ้นให้มีการจัดระเบียบอินฟลูเอนเซอร์และการไลฟ์สตรีมมิ่ง ซึ่งหลายกรณีทำให้เกิดความเสียหายต่อคุณค่าของสังคมและปัญหาเชิงจริยธรรม
มีการยกตัวอย่างการควบคุมอินฟลูเอนเซอร์ของทางการจีนกันมาก ซึ่งเผอิญว่าผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประเด็นดังกล่าวในประเทศจีนเมื่อเร็วๆ จะขอสรุปสั้นๆ ก่อนว่า ในจีนนั้นเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ต่อค่านิยมของประเทศและของพรรคคอมมิวนิสต์จะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้ หากเกิดขึ้น (โดยล่วงละเมิด) ทางการจะสั่งปิดทันที ต่อให้เป็นล้านๆ แอคเคาท์ก็ต้องทำ และแม้จะเป็นอิลฟลูเอนเซอร์ที่มีคนตามเป็นล้านๆ ก็อาจไม่เหลือสักคนได้เหมือนกันหากล้ำเส้น "ค่านิยมของชาติ"
ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2023 สำนักงานไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีนได้ตัดสินใจเปิดตัวแคมเปญพิเศษระยะเวลาหนึ่งเดือนเพื่อกวาดล้าง "ค่านิยมผิดๆ" ที่แพร่หลายในสังคมมากขึ้น โดยสำนักงานไซเบอร์สเปซระบุว่าแคมเปญนี้มุ่งเป้าไปที่ "กลุ่มแฟนคลับ" ซึ่งเป็นผู้ติดตามไอดอลทั้งหลาย แต่มักแสดงพฤติกรรมที่ไร้สาระและไร้เหตุผลหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ทางการจีนต้องควบคุมอย่างหนักมาหลายปีแล้ว
นอกจากพวกแฟนไอดอลที่ล้ำเส้น ก็ยังควบคุมพฤติกรรมการอวดรวยและการกินมากเกินไปทางออนไลน์เพื่อเรียกความสนใจ และยังกวาดล้างความเชื่อโชคลางและปรากฏการณ์เลวร้ายของระบบศักดินา (พวกหมอดู ความเชื่อโบราณที่ไม่มีสาระ และเรื่องวิญญาณที่จับต้องไม่ได้) การกลั่นแกล้งทางออนไลน์และการติดอินเทอร์เน็ต ข้อมูลเท็จ และการแสดงออกซึ่งอารมณ์ด้านมืด
พฤติกรรมพวกนี้ทางการจีนพิจารณว่าสร้างความปั่นป่วนให้สังคม จึงควรถูก "ชำระล้าง" ให้หมดไป ผมเชื่อว่า หากเป็นกรณีของอินฟลูฯ ไทยที่ไปแสดงพฤติกรรมอันหยาบคายที่ญี่ปุ่นก็จะต้องถูกเก็บกวาดแบบนี้เหมือนกันหากอินฟลูฯ คนนี้เป็นคนจีน
เพราะพึงทราบแฟนมากมายของอินฟลูฯ ไทยที่ไปก่อเรื่องที่ญี่ปุ่นนั้นเป็นเยาวชนเสียมาก เยาวชนเหล่านี้ไม่เพียงติดตามเขาแต่ยังสนับสนุนเขาทางด้านกำลังใจและการเงินด้วย หากปล่อยไว้แบบนี้ คุณภาพของเยาวชนในประเทศเราไม่เสื่อมทรามเหมือนพฤิตกรรมที่อินฟลูฯ ผู้นั้นแสดงออกหรือ?
ผมจะชี้ให้เห็นว่าตั้งแต่แรกนั้น การควบคุมอินฟลูฯ ของจีนเริ่มจากคอนเทนต์ที่เป็นภัยต่อเยาวชนก่อน โดยที่คอนเทนต์เหล่านั้นแม้จะเป็นที่นิยมของเยาวชนก็จริง แต่มันเจือไปด้วยพฤติกรรมอันต่ำทรามและสร้างพฤติกรรมที่ไร้ระเบียบขึ้นในสังคม
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2021 สำนักงานเลขาธิการสำนักงานสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ตแห่งรัฐจึงเริ่มออกประกาศมาตรการควบคุมคอนเทนต์สำหรับเยาวชนซึ่งจะส่งผลต่อค่านิยม วิธีคิด และการเจริญเติบโตของพวกเขา โดยกำหนดมาตรการ 7 อย่างเพื่อตัดตอนคอนเทนต์ที่เป็นปัญหาต่อเยาวชน ผลก็คือ ณ เดือนตุลาคมปีเดียวกัร เว็บไซต์ผิดกฎหมายรวม 13,942 แห่ง และบัญชีผิดกฎหมายและผิดปกติมากกว่า 5.78 ล้านบัญชีถูกปิด
ในปี 2021 ยังทางการจีนใช้มาตรการ “สภาพแวดล้อมออนไลน์ที่สะอาดและสดใสสำหรับผู้เยาว์” อันเป็นความพยายามอย่างเข้มข้นเพื่อแก้ไขข้อมูลที่เป็นอันตรายซึ่งส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของวัยรุ่นและขัดขวางการเรียนรู้ทางออนไลน์ของเยาวชน
นี่แสดงให้เห็นว่ามาตรการกวาดล้างคอนเทนต์ที่เป็นพิษของจีนเริ่มต้นจากความเป็นห่วงเยาวชนก่อน หลังจากนั้นค่อยกวาดล้างคอนเทนต์เป็นพิษที่มีผู้ติดตามเป็นผู้ใหญ่ในภายหลัง
มาตรการเหล่านี้เป็นหนึ่งใน "ปฏิบัติการกระจ่างสว่างใส" (清朗行动) ของทางการจีน ซึ่งเราจะพูดถึงอย่างละเอียดต่อไป
ประเด็นสำคัญก็คือ จีนไม่ได้ห้ามคนเป็นอินฟลูฯ ตรงกันข้ามการเกิดขึ้นของอินฟลูฯ คือตัวจักรสำคัญของเศรษฐกิจแบบใหม่ เพียงแต่ "อินฟลูเอนเซอร์" คือผู้ส่งอิทธิพลต่อสาธารณชน ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของชาติอีกทอดหนึ่ง
ดังนั้น อินฟลูฯ หลักล้านควรจะเป็นคนที่ qualified (มีคุณสมบัติในงานนั้นๆ) หรือมี qualification (เรียนจบหรือฝึกฝนมาในทักษะด้านนั้น)
การกวาดล้างพวกที่ unqualified มีผลดีต่อวิวัฒนาการด้านวัฒธรรมและอารยธรรมด้วย เช่น ตัวแทนและนักแสดงรุ่นใหม่บางคนในวงการบันเทิงจีนกล่าวว่าสนับสนุนการกวาดล้างคอนเทนต์ขยะของทางการจีน โดยว่ามาตรการนี้สามารถนำผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและความบันเทิง "กลับคืนสู่แก่นแท้ของงานศิลปะ" และถือเป็นการมอบโอกาสมากขึ้นให้กับนักแสดงที่ไม่ได้มี "ผู้ชมมาก" แต่มีความแข็งแกร่งในทักษะการแสดงอย่างแท้จริง หรือเป็นผู้ที่ qualified ในการเผยแพร่คอนเทนต์นั่นเอง
พูดง่ายๆ ก็คือ อินฟลูฯ ที่แสดงนั่นแสดงนี้ แม้จะมีผู้ติดตามมาก แต่เป็นการแสดงที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้วัฒนธรรมเสื่อมทรามลง แม้จะได้ยอดไลค์และเอนเกจเมนต์ แต่ความเป็นมนุษย์ด้อยค่าลง ในขณะที่นักแสดงที่เป็นผู้สืบสานศิลปะกลับถูกทอดทิ้ง ทำให้อารยธรรมไม่ได้ถูกสอนต่อ แต่กลายเป็นว่า "อนารยะ" (เช่นการแสดงพฤติกรรมถ่อยๆ) กลับเป็นที่นิยม
อย่างที่ผมกล่าวไว้แล้วว่า ตอนแรกการควบคุมอินฟลูฯ ของจีนเริ่มต้นที่เยาวชนก่อน แล้วค่อยลงมาที่คอนเทนต์สำหรับผู้ใหญ่ ในส่วนของผู้ใหญ่นั้นก็มีคอนเทนต์ที่อันตรายพอๆ กันเพราะในธุรกิจบางเซคเตอร์มีช่องให้มิจฉาชีพทำมาหากินได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำ "ประชาสัมพันธ์สีดำ" (黑公关) หรือการใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งแบบเนียนๆ เช่น การบอกว่านมวัวนั้นแย่จนไม่มีดีเอาเลย แต่นมสังเคราะห์จากพืชนั้นดี หรือการรีวิวสินค้าโดยไม่เป็นธรรมเพื่อหวังผลประโยชน์ด้วยการรีดไถทางอ้อม พวกนี้เป็นสิ่งที่ทางการจีนจัดการในลำดับต่อมา
ก่อนหน้านี้ ผมได้ชี้ให้เห็นว่าหลังจากเกิดกรณี "อินฟลูเอนเซอร์กับนมวัว" ในเมืองไทยเรา ก็มีเสียงเรียกร้องให้ประเทศไทยจัดระเบียบอินฟลูเอนเซอร์แบบจีนบ้าง จากที่ไม่กี่วันก่อนมีข่าวว่าจีนสั่งให้อินฟลูฯ ที่ทำเรื่องการศึกษา การแพทย์ และการเงินจะต้องมีดีกรีในวิชาการนั้นๆ ถึงจะทำคอนเทนต์ได้
ข่าวนี้ที่จริงมีมาตั้งแต่ปี 2020 (หรือก่อนที่จีนจะจัดแคมเปญ "สว่างกระจ่างใส" เพื่อล้างบางคอนเทนต์ขยะ) โดยในปีนั้นเน้นการจัดระเบียบไลฟ์สตรีมเมอร์ที่กำลังรุ่งเรืองในจีน แต่พวกที่ปล่อยข่าวลือและเรื่องเท็จก็มีเยอะ (จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังเป็นปัญหา)
ดังนั้น สำนักงานบริหารวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์แห่งรัฐ และกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนจึงได้ร่วมกันออก "จรรยาบรรณสำหรับผู้แพร่ภาพกระจายเสียงออนไลน์" ข้อกำหนดที่ผู้แพร่ภาพกระจายเสียงมืออาชีพต้องมีคุณสมบัติทางวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง โดย "จรรยาบรรณนี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า สำหรับเนื้อหาสตรีมมิ่งสดที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพระดับสูง (เช่น การแพทย์และสุขภาพ การเงิน กฎหมาย และการศึกษา) ผู้สตรีมมิ่งควรได้รับคุณสมบัติทางวิชาชีพที่เกี่ยวข้องและรายงานคุณสมบัติเหล่านี้ไปยังแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งสด จากนั้นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งสดควรตรวจสอบและลงทะเบียนคุณสมบัติของผู้สตรีมมิง"
ในเวลานั้นจีนก็เจอปัญหา "เซลส์สวมรอยเป็นหมอ" หรือ "พยาบาลที่สวมรอยเป็นหมอ" หรือ "หมอที่สวมรอยเป็นเซลส์" ทำคอนเทนต์อ้างข้อมูลการแพทย์ผิดๆ เพื่อที่จะหลอกขายผลิตภัณฑ์หรือคอร์สอะไรสักอย่าง
มาตรการที่ว่านั้นในปี 2020 นั้นผมคิดว่าเน้นสกัดที่ "เซลส์สวมรอยเป็นหมอ" แล้วสร้างตัวเป็นอินฟลูฯ เผยแพร่ความรู้การแพทย์ถูกบ้างผิดบ้าง เพื่อทำการขายสินค้า
ส่วน "หมอที่สวมรอยเป็นเซลส์" ยังเป็นปัญหาจนทุกวันนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ทางการจีนส่วนท้องถิ่นในฝูเจี้ยนก็เพิ่งจะประกาศเตือนคนพวกนี้ไปว่าอย่าใช้ความเป็นอินฟลูฯ จนเสียจรรยาบรรณ
ทางการฝูเจี้ยนติติงว่า "ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความต้องการความรู้ด้านสุขภาพของสาธารณชนเพิ่มสูงขึ้น และอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับประชาชนในการรับข้อมูลวิทยาศาสตร์สุขภาพ อย่างไรก็ตาม บุคลากรทางการแพทย์บางส่วนได้ใช้ภาพลักษณ์ของการเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพเพื่อ "ขายสินค้า" "โฆษณา" และเปิดเผยข้อมูลทางการแพทย์อย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการละเมิดเจตนารมณ์ดั้งเดิมของการเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพและสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมการแพทย์"
อันนี้เป็นข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อน นี่แสดงว่าคนที่ใช้วิชาแพทย์เพื่อหากินนอกรีตนั้นยังมีอยู่มาก
ส่วนข่าวข้างต้น แม้จะเป็นข่าวเก่าแล้ว แต่ถูกนำมาเล่นใหม่อีกครั้ง (ซึ่งไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด) หลังจากดูความเห็นคนไทยบางส่วน ค่อนข้างที่จะ "ชอบ" การจัดระเบียบอินฟลูฯ แบบนี้
แต่การเลียนแบบจีนไม่ใช่เรื่องง่าย
ประการสำคัญคือ ประเทศไทย (และที่อื่น) ไม่มีหน่วยงานที่จัดระเบียบเรื่องนี้อย่างเป็นเอกภาพเหมือนจีน คือ สำนักงานคณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศกลาง (中央网信办) ซึ่งควบคุมความเห็นสาธารณรัฐของประชาชน และการเสนอข่าวให้อยู๋ในกรอบของสำนักงานโฆษณาชวนเชื่อแห่งรัฐ
สำนักความมั่นคงไซเบอร์ฯ มีความสำคัญในฐานะผู้รักษาแนวทาง "ความเห็นสาธารณะ" เนื่องจากจีนให้ความสำคัญกับการนำเสนอข่าวที่เป็นเอกภาพและความคิดเห็นสาธารณะก็ต้องไม่ล้ำเส้นแนวทางข่าวของรัฐ
ดังนั้น สำนักความมั่นคงไซเบอร์ฯ จึงมีการประกาศแนวทางให้ชาวเน็ต อินฟลูฯ คนดังออนไลน์ ต้องปฏิบัติตาม หรือกำหนดเส้นตายไว้ไม่ให้ข้าม อยู่เสมอมา เรียกว่า "ปฏิบัติการกระจ่างสว่างใส" (清朗行动) นัยหนึ่งก็เพื่อป้องกันการแพร่ข้อมูลออนไลน์ที่ไม่เคลียร์และพวกข่าวลือต่างๆ
สิ่งที่จีนจับตามากในระยะหลังคือ "สื่อทำเอง" หรือ "สื่ออิสระ" (自媒体) คือพวกอินฟลูฯ ที่รายงานข่าวเอง เล่าข่าวเอง เป็นคอมเมนเตเตอร์ที่ไม่ขึ้นกับสื่อทางการ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การ "ดูแล" ของรัฐ
การมีอยู่ของ "สื่อทำเอง" สะท้อนว่าจีนก็เปิดเวทีให้แสดงทัศนะได้กว้างขวางพอควร แต่พวกนี้นับวันยิ่งมีแฟนคลับมาก และก็เหมือนกับอินฟลูฯ สาขาวิชาชีพต่างๆ ตรงที่การทำสื่อเป็นวิชาชีพอย่างหนึ่ง หากไม่เรียนมาจะมีโอกาสทำพลาดได้ง่าย และเพราะเป็นวิชาชีพจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือหากินได้ง่ายเหมือนพวกที่อ้างเป็นหมออินฟลูฯ หรือกูรูการเงินต่างๆ
ดังนั้น เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2025 สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซของจีนได้เผยแพร่ประเด็นสำคัญของชุดมาตรการพิเศษ "ชำระล้างให้สว่างกระจ่างใส" หนึ่งในนั้นคือ "การแก้ไขการเผยแพร่ข้อมูลเท็จโดย "สื่อทำเอง" และยัง เล่นงานการตลาดที่เล่นสกปรกในแวดวงต่างๆ เช่น พวกอินฟลูฯ ที่ปล่อยข่าวเท็จในตลาดหุ้น หรือที่เรียกว่าพวก "ปากดำ" (黑嘴) กรณีของพวกปากดำที่ก่อกวนตลาดนั้นเราจะเห็นว่า แม้จีนจะออกกฎตั้งแต่ปี 2565 ให้พวกกูรูการเงินต้องมีความรู้ในสาขานั้น แต่พวก "สายดำ" ก็ยังสร้างปัญหาจนกระทั่งทุกวันนี้
"สื่อทำเอง" รายแรกที่โดนเล่นงานในปีนี้คือพวกที่เป็นอินฟลูฯ สายทหาร ซึ่งอ้างเป็นผู้รู้ด้ายยุทธศาสตร์บ้าง อ้างเป็นอดีตทหารบ้าง คอยปล่อย "ข่าววงใน" จนสังคมปั่นป่วน
ส่วนพวกอินฟลูฯ สายอื่นๆ นั้นโดยควบคุมตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว จาก "ปฏิบัติการกระจ่างสว่างใส" ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2016 ปีนี้เน้นที่ "สื่อทำเอง" เป็นหลัก
เดือนที่แล้วผมเพิ่งไปแลกเปลี่ยนความรู้ด้านสื่อที่มหาวิทยาลัยเหรินหมิน ในกรุงปักกิ่ง หัวข้อหนึ่งที่แลกเปลี่ยนกันคือ "ทัศนะสาธารณะในจีน" ซึ่งได้รับทราบจากอาจารย์ด้านสื่อจากคณะวารสารศาสตร์ว่า การแสดงทัศนะของคนจีนในโซเชียลมีเดียจะอยู่ใน "กรอบที่มองไม่เห็น แต่ทุกคนรับรู้" เช่นเดียวกับสำนักข่าวต่างๆ ที่จะรายงานข่าวได้อย่างเสรีระดับหนึ่งตราบเท่าที่ "ไม่ล้ำเส้นที่มองไม่เห็น" นั่นคือแนวทางข่าวที่สำนักงานของรัฐได้รายงานไว้ จะไปต่อยอดอย่างไรก็ได้ แต่อย่าให้ "ล้ำ" แค่นั้น
ปัญหาคือพวก "หว่างหง" (网红) หรืออินฟลูฯ กับ "สื่อทำเอง" มักจะไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยของกรอบที่มองไม่เห็น ดังนั้น ผมจึงสังเกตว่าในระยะหลังทางการจีนเน้นควบคุมพวกนี้เป็นพิเศษ โดยที่พวก "อินฟลูฯ สายดำ" นั้นค่อนข้างที่จะอยู่ในกรอบแล้ว ส่วน "สื่อทำเอง" กำลังควบคุมเป็นขั้นๆ ไป
หากได้ศึกษาแนวทางของ "ปฏิบัติการกระจ่างสว่างใส" (清朗行动) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะพบว่า การคุมคนดังในโซเชียลมีดียนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน แต่ที่จีนทำได้เพราะ 1. มีหน่วยงานที่เป็นเอกภาพ 2. มีนโยบายที่ชัดเจนเมื่อส่งต่อไปหน่วยล่างแล้วจึงไม่รวน 3. เมื่อแนวทางชัดเจนก็ทำได้ทันที 4. คนจีนกลัวทางการอยู่แล้วพอสั่งอะไรมาก็ทำตามโดยไม่อิดออด
ทั้งหมดนี้ผมเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ในประเทศไทย
ต่อให้ออกกฎหมายมาก็ทำไม่ได้ เพราะโครงสร้างการสั่งการบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มแข็ง ดังนั้น กฎหมายบ้านเราจึงกองพะเนินเทินทึก แต่ไม่มีใครใช้มันและไม่เชื่อถือมัน
ในตอนท้ายของการแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยเหรินหมิน ผมถามอาจารย์ท่านหนึ่งว่า จะเป็นไปได้ไหมที่ประเทศอื่นๆ จะเลียนแบบวิธีการทางการเมืองของจีนไปใช้?
เขาตอบว่า นี่เป็นประสบการณ์ของจีนเอง ประเทศอื่นๆ นั้นก็ควรจะหาแนวทางที่เหมาะสมกับตนจะดีกว่า
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better