ก่อนอื่นผมต้องแสดงทัศนะของตัวเองก่อนว่า ท่าทีของ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่บอกเป็นนัยว่าญี่ปุ่นจะปกป้องไต้หวันหากจีนรุกราน ถือเป็นคำพูดที่ "ไม่จำเป็น" เอาเลย เพราะทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดลามจากไต้หวันเข้าไปในญี่ปุ่นด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่คนญี่ปุ่นทุกคนจะต้องการแบบนั้น
และยิ่งทำให้ "การแสดงจุดยืน" ของจีนในปีนี้ยิ่งมีน้ำหนัก นั่นคือการที่จีนเฉลิมฉลองการต่อต้านฟาสชิสต์ (ซึ่งหมายถึงญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามจีนญี่ปุ่นครั้งที่ 2) และการที่จีนย้ำแล้วย้ำอีกถึงฉันทามติของชาติพันธมิตรและสหประชาชาติที่ยกไต้หวันคืนให้กับจีน (หลังตกป็นของญี่ปุ่นหลังสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1)
การย้ำท่าทีของจีนดังกล่าวในปีนี้จึงมีความเป็นรูปธรรมและชัดเจนขึ้นมาว่า ญี่ปุ่นยังไม่เลิกทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของไต้หวัน และยังมีท่าที "ทหารนิยม" สอดคล้องกับทิศทางการเป็นพวกขวาจัดในหมู่นักการเมืองญี่ปุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดนี้ ผมเห็นว่า ซานาเอะ ทาคาอิจิ ไม่ได้ทำเพราะเป็นห่วงไต้หวัน หรือแม้แต่ห่วงประเทศตัวเอง แต่ต้องการจะแสดงความเป็น "สตรีเหล็ก" ให้วงการการเมืองญี่ปุ่นได้ประจักษ์ เพราะเป็นวงการของ "ชายแท้" ที่ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ "หญิงแท้" มีบทบาท ดังนั้น เมื่อได้รับโอกาส ซานาเอะ จึงต้องแสดงความแกร่งให้เห็น
ดังนั้นผมจึงบอกว่าท่าทีของเธอไม่จำเป็นเอาเลยในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่มันก็ยังเป็น "ความจำเป็นส่วนตัว" ในการเสริมสถานะของตัวเอง
แม้ว่าจีนจะ "รุกราน" ไต้หวันจริง นั่นก็เป็นเรื่องของจีน เพราะไต้หวันเป็นของจีนตามข้อตกลงระหว่างประเทศ และทุกประเทศในโลกนี้ (ยกเว้นพวกประเทศเล็กๆ ที่ไต้หวัน "ซื้อใจ" เอาไว้) ต่างก็ยอมรับนโยบาย "จีนเดียว"
ความเป็นไประหว่างไต้หวันกับจีน ก็ย่อมเป็น "เรื่องของคนจีนด้วยกัน" คนญี่ปุ่นและอเมริกันจะข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร? แม้แต่พวกอเมริกันที่แม้จะขายอาวุธให้ไต้หวันและบางครั้งบอกว่าจะช่วยไต้หวัน ก็ยังไม่ออกตัวแรงเท่ากับ ซานาเอะ เพราะรู้ดีว่าไม่เป็นผลดีที่จะเป็นตัวการของ "สงครามระดับโลก"
แต่ ซานาเอะ นั้นต้องการเสริมบารมีของตน และต้องการทำให้ทรัมป์เห็นว่าเธอเป็นคนที่พึ่งพาได้ เหมือนกับตอนที่เธอสอพลอทรัมป์ว่าจะเสนอชื่อรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ณ ตอนนั้นผมก็ตระหนักแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ ต้องการที่จะทำให้อเมริกันพอใจด้วยวิธีใดก็ได้ แม้แต่เอาประเทศของตัวเองไปเสี่ยง
เธอและพวกเขวาจัดญี่ปุ่นมักจะอ้างว่า หากจีนยึดไต้หวันได้ก็จะเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของญี่ปุ่น ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี (ตรงกันข้าม การที่พวกขวาจัดญี่ปุ่นมักจะสนับสนุไต้หวัน ถือเป็นการชักภัยเข้าตัวเองมากกว่าเสียอีก)
เธอคงจะคิดว่าชาวโลกเขาโง่กระมัง ถึงไม่รู้ว่าต่อให้จีนควบคุมไต้หวัน แต่ดินแดนของญี่ปุ่นที่ใกล้กับไต้หวันที่สุด คือ จังหวัดโอกินาวะ หรือ "ริวกิว" ก็ยังมีฐานทัพอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิก และยังมีอีกมากมายหลายฐานทัพตามเกาะต่างๆ ของญี่ปุ่น
ในเมื่อมีอเมริกันคุ้มหัวขนาดนี้แล้ว ญี่ปุ่นจะไปกลัว "ภัยต่อการดำรงอยู่" อะไรอีก? เว้นแต่ว่าจะหาเรื่องยั่วยุจีนเพื่อผลทางการเมืองของตนเอง
ความไร้เหตุผลของพวกขวาจัดญี่ปุ่นที่อยากได้ไต้หวันจนตัวสั่น ทำให้คนจีน (ย้ำว่าคนจีนไม่ใช่รัฐบาลจีน) หาทางตอบโต้บ้าง ด้วยการสนับสนุน "เอกราชของริวกิว" แม้แต่บางคนก็ยังเรียกร้องให้ริวกิวกลับมาเป็นของจีน
ต้องทราบเบื้องหลังประวัติศาสตร์ก่อนว่า ในยุคศักดินานั้น ริวกิวเป็นอาณาจักรเอกราชจากญี่ปุ่น และเป็นรัฐจิ้มก้องของจีนโดยส่งบรรณาการและทูตไปจีนสม่ำเสมอ โดยมีวัฒนธรรมแบบจีนแต่พูดภาษาตระกูลญี่ปุ่น แม้แต่อาหารการกินของคนริวกิวในปัจจุบันก็ยังมีกลิ่นอายแบบจีน (โดยเฉพาะอาหารฮกเกี้ยนหรือฝูเจี้ยน) มากกว่าอาหารญี่ปุ่น
ต่อมาริวกิวอ่อนแอลงจนถูกแคว้นซัตสึมะ (ญี่ปุ่นปกครองระบบแคว้นในสมัยเอโดะ แคว้นซัตสึมะอยู่ทางใต้สุด) ยึดครอง ทำให้ริวกิวกลายเป็น "เมืองสองฝ่ายฟ้า" คือส่งบรรณาการให้จีนด้วยและนอบน้อมต่อแคว้นซัตสึมะด้วย
จนกระทั่งญี่ปุ่นทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยุบระบบแคว้นมาเป็นระบบ "รัฐชาติ" ที่ปกครองโดยส่วนกลาง ริวกิวก็ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของรัฐญี่ปุ่นสมัยใหม่ ยุบระบอบกษัตริย์ (โดยให้กษัตริย์เป็นแค่ขุนนางศักดินาในรัฐบาลญี่ปุ่น) และตัดขาดจากการเป็นรัฐบรรณาการของจีน
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ริวกิวตกเป็นของอเมริกันอยู่พักหนึ่ง ต่อมาก็โอนคืนให้ญี่ปุ่นโดยอเมริกันยังมีฐานทัพตั้งไว้ ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ทำให้คนริวกิวไม่พอใจ ทั้งต่อต้านการตั้งฐานทัพของพวกอเมริกันและยังเรียกร้องเอกราชของตนเองด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในโอกินาว่าเมื่อปี 2022 พบว่ามีผู้สนับสนุนเอกราชเพียง 3% ของประชากรในพื้นที่เท่านั้น แต่ขบวนการเรียกร้องเอกราชก็ยังอยู่
จีนเองก็ไม่พลาดโอกาสที่จะทำให้ญี่ปุ่นวุ่นวายบ้าง โทษฐานที่ชอบปั่นเรื่องไต้หวันและกรณีพิพาทเรื่องเกาะและน่านน้ำระหว่างกัน
รัฐบาลจีนไม่ได้ให้การสนับสนุนอย่างเป็นทางต่อท่าทีของคนจีนที่เรียกร้องเอกราชของริวกิว (และเรียกร้องให้ริวกิวมาเป็นของจีน) แต่ทางการจีนก็ไม่ได้ห้ามสั่งห้ามการแสดงทัศนะเหล่านั้น
ตัวอย่างเช่น ตัวอย่างเช่น ถังฉุนเฟิง(唐淳風) นักวิจัยจากกระทรวงพาณิชย์จีน เคยอ้างเมื่อปี 2010 ว่า "ชาวริวกิว 75% สนับสนุนเอกราชของริวกิว" และ "วัฒนธรรมของหมู่เกาะริวกิวก็เหมือนกับวัฒนธรรมของจีนแผ่นดินใหญ่ก่อนที่ญี่ปุ่นจะรุกราน"
เขายังเขียนไว้ว่า "รัฐบาลญี่ปุ่นปกครองริวกิว (โอกินาวะ) อย่างโหดร้ายตั้งแต่การล้มล้างอาณาจักรริวกิวในปี 1879 จนกระทั่งญี่ปุ่นพ่ายแพ้ (สงคราม) ในปี 1945" นอกจากนี้เขายังระบุว่า "ก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะเข้ายึดครอง (ริวกิว) กองทัพญี่ปุ่นได้สังหารประชาชนไป 260,000 คน ทำให้ขนาดของการสังหารหมู่ครั้งนี้เป็นรองการสังหารหมู่ที่นานกิงเท่านั้น"
ถังฉุนเฟิงแย้งว่า ชาวริวกิวจำนวนมากสืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพจากมณฑลฝูเจี้ยนและเรียกชาวริวกิวว่า "เพื่อนร่วมชาติ" ของจีน และเสริมว่า "เมื่อเพื่อนร่วมชาติของเราเผชิญความยากลำบาก เราควรยื่นมือเข้าช่วยเหลือในการต่อสู้เพื่อเอกราชของพวกเขา"
เขาย้ำว่า "หนึ่งในเป้าหมายหลักของการต่อสู้เพื่อเอกราชของริวกิวคือความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ของจีน" โดยอ้างว่ารัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเสริมสร้างกำลังกองกำลังป้องกันตนเองทางบก ทางทะเล และทางอากาศในริวกิว และกำลังวางแผนที่จะเปลี่ยนโอกินาวาให้กลายเป็นฐานทัพแนวหน้าในการสกัดกั้นจีนอีกครั้งโดยอาศัยพันธมิตรญี่ปุ่น-สหรัฐฯ
ในเดือนกรกฎาคม 2012 สื่อภาษาอังกฤษของทางการจีน คือ Global Times เสนอว่ารัฐบาลจีนอาจจะจะพิจารณาท้าทายอำนาจอธิปไตยของญี่ปุ่นเหนือหมู่เกาะริวกิว ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2013 หนังสือพิมพ์ทางการของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน คือ People's Daily ได้ตีพิมพ์บทความที่คล้ายกันอีกบทความหนึ่งโดยนักวิชาการชาวจีนสองคนจากสถาบันสังคมวิทยาแห่งจีน "ชาวจีนควรสนับสนุนเอกราชของริวกิว"
แต่ที่รุนแรงกกว่านั้นก็คือ ทัศนะของ หลัวหยวน (罗援) เจ้าหน้าที่กองทัพเรือจีน นักเขียน นักวิจารณ์สังคม และนักทฤษฎีการทหารที่สถาบันวิทยาศาสตร์การทหาร PLA ที่ว่า "ระบุว่าหมู่เกาะริวกิวเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะไต้หวันและเป็นของจีน ไม่ใช่ของญี่ปุ่นอย่างแน่นอน" และยังบอกว่าเป็นนัยๆ ว่า "เพื่อสร้างอำนาจทางทะเล จำเป็นต้องตัดผ่านหมู่เกาะแรก หมู่เกาะเตียวหยู และหมู่เกาะริวกิวตั้งอยู่ในจุดสำคัญภายในหมู่เกาะนี้ และเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับการขยายอำนาจของจีนสู่ทะเลเปิด และเป้าหมายในการเป็นมหาอำนาจทางทะเล"
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของนักวิชาการเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องสะท้อนถึงมุมมองของรัฐบาลจีน เพราะอย่างที่บอกไปว่าแม้ทางการจีนจะไม่ห้าม แต่ก็ไม่ได้ออกตัวอย่างเป็นทางการ
คาดว่าเป็นเพราะ หนึ่ง ไต้หวันกลับคืนสู่จีนเพราะข้อตกลงระหว่างประเทศฉันใด ริวกิวก็กลับคืนสู่ญี่ปุ่นด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศฉันนั้น หากจีนสนับสนุนเอกราชริวกิว ก็ย่อมเปิดทางให้ญี่ปุ่นสนับสนุนเอกราชไต้หวันได้เหมือนกัน
สอง ริวกิวนั้นไม่เคยเป็นของจีน เพราะเป็นรัฐจิ้มก้องหรือรัฐบรรณาการ หากจีนอ้างสิทธิด้วยเหตุผลนี้ จีนก็จะมีปัญหากับอดีตรัฐบรรณาการทั้งปวงของจีนซึ่งบัดนี้เป็นประเทศมีอธิปไตยแบบรัฐสมัยใหม่ไปด้วย
กระนั้นก็ตาม คนจีนก็ยังแสดงท่าทีสนับสนุนเอกราชริวกิวเรื่อยมา จะมากบ้างหรือน้อยบ้างก็ขึ้นอยู่กับความก้าวร้าวของญี่ปุ่นต่อจีนและท่าทีต่อไต้หวัน
เมื่อเดือนตุลาคม 2024 สื่อของญี่ปุ่น Nikkei Asia ร่วมกับบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ อ้างว่ามีคนเทนต์ภาษาจีนเพิ่มขึ้นบนโซเชียลมีเดียที่ส่งเสริมเอกราชของริวกิว ซึ่ง Nikkei Asia ใช้คำว่า "ข้อมูลบิดเบือน" (พึงทราบว่าสื่อนี้มีท่าทีไม่ค่อยเป็นมิตรกับจีนและเอียงไปทางญี่ปุ่น) สื่อนี้ยังยังอ้างว่าคอมเทนต์ดังกล่าวแพร่กระจายผ่านบัญชีอินฟลูเอนเซอร์ที่ต้องสงสัย (หรือนัยหนึ่งคืออ้างว่าคอนเมนต์พวกนี้มาจากพวกกลุ่มจัดตั้งขึ้นมา) เพื่อสร้างอิทธิพลต่อการรับรู้เรื่องเอกราชริวกิวในระดับนานาชาติ
และเช่นกัน ในสถานการณ์ล่าสุดนี้ ผมสังเกตว่ามีคอนเทนต์ภาษาจีนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ริวกิวและขบวนการเอกราชริวกิว รวมถึงคอนเทนต์ที่อธิบายเหตุผลเรื่องริวกิวเป็นของจีนมากเป็นพิเศษ นี่สะท้อนถึงความไม่พอใจของคนจีนต่อ ซานาเอะ ที่สนับสนุนเอกราชของไต้หวันอย่างชัดเจน
แต่ก็เป็นอีกครั้ง ทางการจีนเอาตัวอยู่ห่างๆ จากท่าทีสนุบสนุนเอกราชริวกิว (ด้วยเหตุผลที่ผมกล่าวไว้ช้างต้น) แต่ก็ไม่ขัดขวางหากประชาชนจะสนับสนุนริวกิวให้แยกตัวจากญี่ปุ่นหรือแม้แต่ "กลับมาเป็นของจีน"
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อย เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่นบอกว่าจะช่วยไต้หวันก็เป็นความเป็นไปได้เล็กน้อยเช่นกัน หากเทียบกับแสนยานุภาพของญี่ปุ่นกับจีน
ที่สำคัญ หากญี่ปุ่นจะทำอะไรกับไต้หวันที่หมิ่นเหม่ขนาดนั้น ก็ต้องถามสหรัฐฯ ก่อนอยู่แล้ว เพราะญี่ปุ่นเป็นรัฐบริวารของสหรัฐฯ
เหมือนอย่างที่ ทาโร ยามาโมโตะ สมาชิกวุฒิสภาและผู้ก่อตั้งพรรคเรงวะ ชินเซนกุมิ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายที่ท้าทายสถาบันอำนาจหลักของญี่ปุ่นได้กล่าวว่า "ญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศเอกราช แต่เป็นอาณานิคมของสหรัฐฯ"
เขายังกล่าวว่า "ผมเกรงว่าญี่ปุ่นในปัจจุบัน ตามทัศนะของผม โดยแก่นแท้แล้วคืออาณานิคมแห่งหนึ่ง ไม่ทราบว่า ท่านนายกรัฐมนตรีคิดว่าประเทศนี้เป็นอาณานิคมหรือไม่?"
ซานาเอะ ลุกขึ้นตอบแค่สั้นๆ ว่า "ญี่ปุ่นคือประเทศที่มีอธิปไตย"
แล้วก็นั่งลง
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - พระบรมสาทิสลักษณ์ของพระเจ้าโชเกโย (尚敬王) กษัตริย์แห่งอาณาจักรริวกิว (ครองราชย์ ค.ศ. 1713 - 1751) โปรดสังเกตฉลองพระองค์แบบจีนสมัยราชวงศ์หมิง บรรดาขุนนางก็สวมชุดแบบจีนสมัยราชวงศ์หมิง