อย่างที่ผมเขียนไว้ในบทความที่แล้วว่า รัฐบาลกัมพูชาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกว่ารัฐบาลไทยเพราะมีโครงสร้างการรวบอำนาจที่นำโดยฝ่ายการเมือง ฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ และฝ่ายกองทัพ ทั้งหมดทำงานประสานกันแบบภาษานิยายกำลังภายในว่า "ภูษิตฟ้าไร้ตะเข็บ" นั่นคือไม่มีรอยต่อเอาเลย
ผิดกับทางการไทยที่ขัดแย้งกันเองบ้าง ขัดขากันเองบ้าง เป็น "ภูษิตนรกที่เต็มไปด้วยตะเข็บรอยต่อ" พูดแบบบ้านๆ ก็คือ "ไม่เนียน"
แต่กัมพูชานั้น "แนบเนียนที่สุด"
ตัวอย่างล่าสุดก็คือ การประกาศของหน่วยงานต่างๆ ในกัมพูชาเกี่ยวกับการเหยียบระเบิดของทหารไทยที่ชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยยืนยันว่ากัมพูชาเข้ามาตัดลวดหนามแล้วลักลอบวางทุ่นระเบิด
แน่นอนว่า ฝ่านกัมพูชาไม่มีทางยอมรับ (และไม่เคยทำแบบนั้น) แต่คราวนี้พวกเขาใช้วิธีการใหม่ในการ "อธิบายสิ่งที่ยากจะอธิบาย" นั่นคือทุ่นระเบิดไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร ในเมื่อมีการล้อมรั้วไว้แล้วและหยุดยิงกันแล้ว
ก่อนหน้านี้กัมพูชาไม่ยอมรับแบบหัวเด็ดตีนขาดว่าวางทุ่นระเบิดในเขตไทย ทั้งๆ ที่ระเบิดที่พบก็เป็นประเภทที่ใช้เฉพาะในกัมพูชา ไม่เคยใช้โดยกองทัพไทย
คราวนี้ กัมพูชา "ยอมรับแล้ว" ว่าเป็นระเบิดของตน เพียงแต่เล่นสำนวนโวหาร (พูดแบบชาวบ้านคือ "เล่นลิ้น") ให้เหมือนกับว่า "ข้าไม่ผิด"
ผมจะยก "แถลงการณ์" ที่หน่วยงานและบุคคลของรัฐบาลกัมพูชาปล่อยออกแบบติดๆ กัน เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า กัมพูชา "น่าจะรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น" และหลังจากเกิดขึ้นแล้วทำการปรับเปลี่ยน "กลยุทธ์การอธิบายสถานการณ์" (Narratives change) ให้แนบเนียนยิ่งขึ้น
ตัวอย่างแรกคือ แถลงการณ์ของ แกว เรมี รัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน กับ รอรี มังโกเวน หัวหน้าสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ณ นครเจนีวา
แถลงการณ์ของนานแกว เรมี ของกัมพูชาเป็นการ "สร้างภาพลักษณ์ความโปร่งใส" ต่อสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติว่า กัมพูชานั้น "การส่งเสริมการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นายที่ถูกควบคุมตัวโดยไทย การส่งเสริมการห้ามใช้อาวุธผิดกฎหมายระหว่างประเทศในช่วงความขัดแย้งและการปะทะระหว่างกัมพูชาและไทย"
แต่ในวันเดียวกันนั้นกลับมีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดของกัมพูชา คำกล่าวของนายแกวจึงเป็นเหมือนการ "โม้" ต่อประชาคมโลกเอาไว้ก่อนด้วยการเอาดีเข้าตัวเพื่อปกป้องความโหดเหี้ยมของตนเองที่หว่านทุ่นระเบิดไว้ทั่วพรมแดนไทย ทั้งๆ ที่การกระทำแบบนั้นผิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่นายแกวกลับโกหกต่อประชาคมโลกว่า กัมพูชา "ส่งเสริมการห้ามใช้อาวุธผิดกฎหมายระหว่างประเทศในช่วงความขัดแย้งและการปะทะระหว่างกัมพูชาและไทย"
ถึงขนาดนี้แล้ว นายแกวยังมีหน้าขอให้นายเรย์ มังโกเวน รายงานเรื่องสิทธิมุนษยชนของกัมพูชาให้สะท้อนข้อเท็จจริงที่แท้จริง!
ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด นายแกวจะรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นตรงกันข้ามกับความจริง
และยังมีหน้ามา "แสดงผิดหวังต่อสวีเดน ซึ่งเป็นประเทศต้นแบบในการปกป้องสิทธิมนุษยชน ด้วยการขายเครื่องบินขับไล่กริพเพนให้กับไทยในช่วงความขัดแย้งกับกัมพูชา" แต่กัมพูชานั้นสามารถใช้อาวุธหนักยิงถล่มประชนพลเรือนไทยได้งั้นหรือ?
กรณีของนายแกวนี้แสดงถึงความไม่จริงใจของกัมพูชาที่จะลงนามปฏิญญาสันติภาพแล้ว แต่ในใจยังกระหายความขัดแย้ง และไม่ยอมรับการกระทำชั่วที่ตนกระทำต่อพลเรือนไทย
หลังจากที่นายแกว เรมี คุยโวโอ้อวดกับ หัวหน้าสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก วันต่อมา ทางการกัมพูชาซึ่งใช้เวลาทั้งวันและคืนเพื่อเตรียม "ข้อมูล" เพื่อจะสวนกลับข้อกล่าวหาของฝ่ายไทยก็ออกมาประสานเสียงว่า "ทุ่นระเบิดเป็นของเรา" เพียงแต่ไม่ได้เพิ่งวาง มันมาจากยุคสงครามกลางเมืองเขมรต่างหาก
รายแรกที่อ้างเรื่องนี้คือกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา อ้างว่า "รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดของไทยที่ว่ากัมพูชาได้ ได้มีการวางทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนติดกับประเทศไทย สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ ทุ่นระเบิดส่วนใหญ่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย ซึ่งหลงเหลืออยู่จากสงครามกลางเมืองกัมพูชาที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 30 ปี ในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ยังไม่ได้รับการรื้อถอน เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่ยากลำบากและพรมแดนที่ไม่มีเส้นแบ่งเขต"
และย้ำในตอนท้ายว่า "ในฐานะผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันและเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล กัมพูชาไม่เคยใช้และจะไม่ใช้ทุ่นระเบิดดังกล่าวอีก"
ย่อหน้าแรกนั้นเป็นข้ออ้างใหม่ ส่วนย่อหน้าหลังเป็นการอ้างแบบเดิมๆ ว่า เราไม่เคยแหกกฎระเบียบของโลกเลย
แต่คำพูดของกัมพูชาที่ว่าเป็นสมาชิกของภาคีที่ที่อิงกับกฎหมายระหว่างประเทศนั้นไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย เพราะแม้แต่การปฏิบัติตามหลักสากลเรื่องการกวาดล้างอาชญากรสแกมเมอร์ กัมพูลชาไม่เพียงทำไม่ได้ แถมยังเลี้ยงพวกนี้เอาไว้เป็น "ตัวเงินตัวทอง" ของรัฐบาลตระกูลฮุนด้วยซ้ำ การอ้างว่าตนปฏิบัติตามหลักสากลจึงเป็นเรื่องตลกร้ายเป็นที่สุด
อีกรายหนึ่งที่ออกมาประสานเสียงคีย์เดียวกันคือกระทรวงกลาโหมกัมพูชา
มาลี โสเจียตา คนหน้าเดิมที่ทำหน้าที่โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ว่า "กระทรวงกลาโหมกัมพูชาขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ระเบิดทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บหลายนาย ขณะลาดตระเวนในพื้นที่ทุ่นระเบิดเก่าที่หลงเหลือจากสงครามกลางเมืองกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568"
นี่เป็นการอ้างแบบเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ซึ่งน่าแปลกก็คือในเวลาวันเดียวคือนเดียวนั้น ทางการกัมพูชารู้ได้อย่างไรว่ามันคือทุ่นระเบิดที่เหลือจากสงครามกลางเมืองของพวกตน? การจำตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ใช่ว่าจะต้องใช้เวลานานนับสัปดาห์หรอกหรือ?
นี่คือความไม่แนบเนียนของกัมพูชา แต่ส่วนที่ "เนียน" ก็คือหน่วยงานรัฐของประเทศนี้ทำงานประสานกันอย่างไร้รอบต่อจริงๆ คือโกหกก็โกหกเหมือนกันเพราะใช้สคริปต์เดียวกัน
พฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งของรัฐบาลกัมพูชาคือ "การทำลายความชอบธรรมของสื่อไทย" เพื่อทำให้ตนเองเป็น "สื่อ" ที่มีความอชบธรรมเดียวที่เชื่อถือได้ แม้ว่าโครงสร้างสื่อกัมพูชานั้นเป็นโครงสร้างเดียวกับฝ่ายการเมือง และสื่อนั้นรับใช้พรรคของฮุน เซน ยิ่งกว่าสื่อในจีนต้องสนองต่อพรรคอคอมมิวนิสต์จีนเสียอีก
ดังที่เห็นในแถลงการณ์ว่า มาลีโจมตีว่า "สื่อมวลชนไทยหลายสำนักได้เผยแพร่แถลงการณ์โดยอ้างคำพูดของผู้นำและเจ้าหน้าที่ทหารไทยที่กล่าวหากัมพูชาว่าวางทุ่นระเบิดใหม่ และทำให้กองทัพไทยระเบิดและได้รับบาดเจ็บสาหัสในจังหวัดพระวิหาร กระทรวงกลาโหมกัมพูชาขอประกาศปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ของฝ่ายไทยต่อกัมพูชา"
นี่เป็นตัวอย่างว่า สื่อไทยทำไม่ถูกที่ไปเชื่อคำของรัฐบาลและกองทัพ เพราะกัมพูชามักอ้างว่าเป็นคำโกหก และสื่อไทย "ไม่มีสมอง"
ทั้งๆ ที่ระดับเสรีภาพสื่อของไทยติดอันดับต้นของอาเซียน ส่วนของกัมพูชาติดที๋โหล่ของโลก นั้นแสดงว่าสื่อและคนไทยนั้นคิดเองได้ เมื่อตรวจสอบแล้วว่าจริงก็ย่อมเชื่อ ไม่เหมือนสื่อกัมพูชาที่รัฐบาลยัดขี้เลื่อยอะไรให้ ก็เอามาใส่สมองซะหมด
ความเชื่อและการกระทำของกัมพูชาต่อว่าสื่อไทยนั้น เป็นคุณสมบัติของประเทศนั้นทั้งสิ้น แต่ไม่ยอมรับ กลับโยนเอาความมาเหลวแหลกของตนให้ไทยเสียนี่
สุดท้ายนี้ผมอยากให้ฝ่ายไทยตอกหน้ามาลีให้หนัก เพราะเธออ้างว่า "แท้จริงแล้ว แม้จะมีความพยายามในการกวาดล้างทุ่นระเบิดในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ทุ่นระเบิดที่ยังไม่ระเบิด ซึ่งเป็นเศษซากจากสงคราม ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของชาวกัมพูชาผู้บริสุทธิ์ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดนระหว่างกัมพูชาและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงประเทศไทย" และ "ในเรื่องนี้ กระทรวงกลาโหมขอเรียกร้องให้ฝ่ายไทยหลีกเลี่ยงการลาดตระเวนในพื้นที่ทุ่นระเบิดเก่า โดยเฉพาะพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นพื้นที่ทุ่นระเบิดที่ยังคงเหลือจากสงคราม เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการระเบิดของทุ่นระเบิดเก่าเหล่านี้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความตึงเครียดที่ไม่จำเป็น"
คำกล่าวข้างต้นนี้ เธออ้างว่ามีข้อมูลที่ "ได้รับการยอมรับในระดับสากล" ซึ่งหากเป็นความจริงผมก็ยอมรับได้ เพราะไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล แต่ถ้าเธอโกหกทางการไทยก็ควรสวนกลับด้วยความจริงให้หงายกันไปเลย
ความขัดแย้งจะจบได้ก็ด้วยความจริง เพราะในสงคราม แต่ละฝ่ายมักใช้กลศึกข้อมูล (Information warfare) เพื่อหวังผลกัน หากเป็นความจริงอย่างเธอว่า ฝ่ายไทยก็ต้องระวังมากขึ้นแต่ต้องกดดันกัมพูชาให้มาจัดการ "ขี้" ที่ตัวเองทิ้งไว้โดยเร็ว หากไม่จะไม่ปล่อยตัวเชลยศึกตามข้อตกลง
แต่ถ้าเป็นความเท็จ นั่นย่อมแสดงว่ากัมพูชาไม่จริงใจต่อสันติภาพ รัฐบาลและกองทัพไทยจะทำอย่างไรกับประเทศเช่นนี้นั้น ก็สุดแท้แต่พวกท่านเถิด
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP