ดูเหมือนว่าปัญหาจะอยู่ที่ฝ่ายเราแล้วมากกว่าในตอนนี้
แม้ว่าไทยจะยืนยันว่าทุ่นระเบิดที่ทหารฝ่ายเราเหยียบเป็นทุ่นที่มาจากฝั่งกัมพูชา แต่กัมพูชาใช้วิทยายุทธ์ "กระต่ายขาเดียว" โดยยืนยันว่าไม่ใช่ของตน
ความดื้อดึงของกัมพูชา ไทยเราไม่อาจแก้ไขได้เพราะเป็น "สันดอน" ที่ขุดได้ยาก
ปัญหาอยู่ที่ฝ่ายเรามากกว่า ซึ่งหลายคนคงเห็นแล้วว่าเกิดจาก "ความไม่ลงรอยระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหาร"
แม้ศึกจะสงบแล้วในฉากหน้า แต่เพราะรอยปริในสถาบันหลักด้านความมั่นคง จึงทำให้ "โจร" มีช่องทางในการก่อนกวนเราได้อยู่เสมอ
และเมื่อ "โจร" เข้ามาก่อกวน สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ก็คือ "ประท้วง" ไม่ใช่เพราะมันเบาที่สุด แต่เป็นเป็นมาตรการที่ "ทุกฝ่าย" ที่ประสานงานกันไม่ได้ สามารถลงรอยกันได้
ต่อให้มีมาตรการตอบโต้ที่ทำท่าว่าจะขึงขึง รัฐบาลหรือกองทัพก็จะเปลี่ยนท่าทีในไม่ช้า อย่างที่เราเห็นหันอยู่หลายครั้ง
ตรงกันข้ามกับกัมพูชาซึ่งมีความเป็นเนื้อเดียวกันของฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหาร เมื่อการเมืองสั่งอะไรออกไป ทหารก็ต้องทำตาม เมื่อทหารรายงานสถานการณ์จริง การเมืองก็ตอบสนองตามนั้น และมักจะขึงขังกง่าไทนหลายเท่า
ขณะที่ไทย ดูเหมือนฝ่ายการเมืองและทหารจะเป็น "วาระ" คนละอย่าง
ให้ลองดูตัวอย่างกรณีที่ พลโท บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ออกมาเปิดเผยว่า ระหว่างที่กำลังปะทะกับกัมพูชานั้นมีคำสั่งให้หยุดยิงกลางคันจาก "ผู้ใหญ่" แต่บิ๊กกุ้งปฏิเสธคำสั่งนั้นและดำเนินการตอบโต้ฝ่ายกัมพูชาต่อไป
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วไปว่า "ผู้ใหญ่" นั้นคือใคร บ้างก็ว่าอยู่ในรัฐบาลเวลานั้น บ้างก็ว่าเป็นคนกลาโหม
หากเป็นพวกหลัก นั่นก็ย่อมหมายความว่า เป็นทั้งทหาร เป็นทั้งฝ่ายการเมือง และพวกใช้อำนาจการเมืองผู้แสวงหารายได้จากนโยยายการเมือง (Rent-seeking)
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม นี่แสดงให้เห็นถึงความไม่ลงรอยกันของฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารไทย ทำให้การจัดการปัญหากัมพูชาจึงไม่เด็ดขาด และมีโอกาสที่ไทยจะเสียเปรียบ แต่ฝ่ายการเมืองบางคนอาจจะได้ประโยชน์
ความไม่ลงรอยกันอยู่ที่ผลประโยชน์ของบางคนในกัมพูชา
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะโครงสร้างการปกครองของไทยไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะองค์ประกอบหลักคือผู้แสวงหารายได้จากนโยยายการเมือง (Rent-seeking) แม้แต่กองทัพเองก็สามารถเป็นผู้แสวงหาผลประโยชน์จากนโยบายความมั่นคงได้เช่นกัน
ในสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ทหารจึงอาจขัดทหารด้วยกัน (เพราะรักชาติน้อยกว่าผลประโยชน์ชายแดน?) หรือทหารรับใช้ฝ่ายการเมือง (เพราะฝ่ายการเมืองต้องรักษาผลประโบชน์ของตนในกัมพูชา?) แต่ในทางเทคนิคทหารก็ต้องฟังคำสั่งจากฝ่ายการเมือง แต่กลับปฏิเสธที่จะทำตาม (เพราะรักชาติมากกว่ารับใช้ผลประโชน์ใคร?)
นี่คือความวุ่นวายของโครงสร้างทหารและการเมืองไทย ความโกลาหลนี้จึงทำให้การสั่งการอลหม่าน และกลายเป็น "สงครามกลางเมือง" ระหว่างทหารและการเมืองหรือแม้แต่ระหว่างทหารด้วยกัน ทั้งๆ ที่กำลังทำ "สงครามนอกเมือง" กับกัมพูชาด้วย
แม้ไทยจะมีแสนยานุภาพเหนือกว่า แต่ไทยเสียเปรียบเห็นๆ ในแง่ของเอกภาพระหว่างผู้มีอำนาจ ซึ่งจะเป็นภัยต่อประเทศในระยะยาว
บางพรรคการเมืองเคยเสนอแนวทางให้ "พลเรือนนำฝ่ายทหาร" (Civilian control of the military) ซึ่งเป็นแนวทางที่ใช้กันในหลายประเทศ แม้แต่กัมพูชาเองก็มีลักษณะเช่นนี้ คือฮุน เซน ซึ่งเป็นพลเรือนสามารถบัญชาการกองทัพได้โดยที่กองทัพไม่อิดออด
แต่ประเทศไทยนั้น กองทัพเป็น "อาณาจักรอิสระ" รัฐบาลพลเรือนพยายามหลีกเลี่ยงอาณาบริเวณทางการเมืองและผลประโยชน์ของกองทัพ เพราะหากประจันหน้ากัน ทหารก็จะบดขยี้ฝ่ายพลเรือนเป็นแน่แท้
พรรคการเมืองที่พยายามสะสางความไม่โปร่งใสของกองทัพก็พยายาม "ตอด" ทีละน้อย เช่น พรรคประชาชนที่เปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของ "ักันจอมพลัง" กับกองทัพในช่วงที่มีการปะทะกับกัมพูชา
ความหวังของพรรคประชาชนก็คือสร้างประเทศไทยที่มีระบบ "พลเรือนนำฝ่ายทหาร" โดยต้องทำให้กองทัพโปร่งใสเสียก่อน จากนั้นค่อยรื้อถอน "อาณาจักร" ของกองทัพที่อยู่เป็รเอกเทศแล้วให้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลพลเรือน
ตอบเลยว่าแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะการทำเช่นนั้น เราจะต้องมีพรรคการเมืองที่ "ให้กำเนิดกองทัพ" เป็นของตนเอง
ในกัมพูชานั้นมีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ควบคุมทุกอย่าง ก่อนหน้านี้ก็ยังมีกองทัพของตัวเองด้วยซ้ำ ลักษณะคล้ายกับพรรคคอมมิวนิสต์ในจีนและเวียดนาม ซึ่งในประเทศคอมมิวนิสต์นั้น พรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจบัญชาการฝ่ายทหาร ซึ่งไม่ใช่การสั่งการให้รบ เพราะพรรค (ที่เป็นพลเรือน) ไม่มีความรู้เรื่องการรบ แต่พรรคเป็นผู้กำหนด "อุดมการณ์" ให้กองทัพปฏิบัติตาม
อุดมการณ์ที่กำหนดโดยฝ่ายการเมือง จะช่วยให้กองทัพทำการรบอย่างมีทิศทาง รู้ว่าตัวเองรบเพื่ออะไร และเพื่อใคร
ลักษณะแบบนี้ใช้กันในจีนและเวียดนาม และพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) เดิมทีมีก็รากฐานมาจากอุดมการณ์คอมมิวนิสต์และมาร์กซิสต์-เลนิน (ฮุน เซน และผู้นำพรรครุ่นแรกเป็นพวกเขมรแดง ต่อมาแปรพักตร์เข้ากับเวียดนาม) แม้ปัจจุบันจะพยายามประกาศว่าเป็นพรรคสายกลาง มีความเป็นประชาธิปไตย และสมาทานแนวคิดเศรษฐกิจระบบตลาด
อย่างไรก็ตาม พรรค CPP ได้พบปะกับพรรคสังคมนิยมสากลในปี 2004 และยังคงเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
นั่นแสดงว่า CPP ของกัมพูชาก็ยังเป็น "เงา" ของพรรคคอมมิวนิสต์สายเวียดนาม และยังดำเนินแนวทางที่ "พรรคสั่งการกองทัพ" แบบเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์อื่นๆ
ในขณะเดียวกัน พรรค CPP ทำการโฆษณาชวนเชื่อ "เรื่องไทยเป็นโจรชิงดินแดนจากกัมพูชา" มันจึงทรงอานุภาพมากและบดบังความมีเหตุมีผลของผู้คนไป พราะพรรคได้ควบคุมสื่อเอาไว้ในมือด้วย ซึ่งการโฆษณาชวนเชื่อนั้นเป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์ที่สำคัญ ไม่เพียงกำหนดความเห็นสาธารณะได้เท่านั้น แต่ยังเป็นตัวประกาศอุดมการณ์ให้ฝ่ายทหารรับรู้ด้วย
นี่คือเอกภาพที่กัมพูชามี แต่ไทยไม่มี
หากพรรคไม่เปลี่ยนอุดมการณ์และการโฆษณาชวนเชื่อแบบเดิม ต่อให้มีปฏิญญาสันติภาพ สันติภาพที่ว่านั้นก็เป็นแค่โวหาร ส่วนทุ่นระเบิดก็ยังเป็นของจริงต่อไป
บางคนอาจจะแย้งว่า นั่นเป็นระบบ "พลเรือนชี้นำทหาร" ของประเทศคอมมิวนิสต์ ในโลกตะวันตกก็มีระบบพลเรือนหรือฝ่ายการเมืองชี้นำทหารเหมือนกัน นั่นคือ สหรัฐอเมริกา
แต่ก็เช่นเดียวกับระบบแบบคอมมิวนิสต์ที่ไทยไม่อาจทำตามได้ ระบบพลเรือนนำทหารในโลกประชาธิปไตยเสรีนิยมตะวันตก ไทยก็ทำตามไม่ได้เช่นกัน เพราะอย่างที่บอกไปก็คือ ปัญหารากเหง้าของไทย คือ ความไม่เป็นชิ้นเป็นอันของอำนาจบัญชาการ เพราะทหารมีอาณาจักรของตนเอง ฝ่ายการเมืองการมีพื้นที่ของตนเอง ประชาชนก็เรียกร้องในแบบตนเอง
ประเทศไทยจึงแตกเป็นส่วนๆ แต่เราไม่กล้าที่จะยอมรับมัน ทำให้การรับมือกับความขัดแย้งใดๆ นอกประเทศจึงไม่มีประสิทธิภาพ และยังจะสร้าง "สงครามกลางเมือง" ในประเทศตัวเองอีกด้วย
นี่คือปัญหาเชิงเทคนิคการเมืองที่เราไม่พูดถึงกัน
บางคนอาจจะบอกว่า "นี่ไม่ใช่ตัวการปัญหาจริงๆ ที่ทำให้ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด"
แต่ปัญหาของทุ่นระเบิดมีหลายชั้น ตั้งแต่ใครวาง วางทำไม ทำไมไม่ยอมรับว่าวาง นี่คือปัญหาในทางปฏิบัติ
แต่ปัญหาทางอุดมการณ์ทางการเมืองก็คือ "แม้จะมีปฏิญญาสันติภาพแล้วทำไมยังมีทุ่นระเบิดอยู่?" คำตอบก็คือ รัฐบาลของประเทศฝ่ายตรงข้ามยังคงกอดอุดมการณ์ที่บิดเบี้ยวอยู่เหมือนเดิม นั่นคือ "ไทยเป็นโจร และเราต้องชิงแผ่นดินเราคืนมา"
เมื่อมีอุดมการณ์แบบนี้จากเบื้องบน (พรรค) พวกเบื้องล่าง (กองทัพ) จะสนองด้วยการวางทุ่นไปเรื่อยๆ จนกว่าเบื้องบนจะเปลี่ยนอุดมการณ์
ผมจะยกตัวอย่างกรณีที่พรรคอมมิวนิสต์จีนเคยห้ำหั่นกับกองทัพญี่ปุ่นผู้รุกรานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเวลานั้นและหลังจากนั้นญี่ปุ่นถูกสร้างภาพทางอุดมการณ์ว่าเป็น "ผี" และตัวอันชั่วร้าย
หลังจากสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว ภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นแบบนั้นในสายตาคนจีนก็ยังคงอยู่จากการกำหนดโดยพรรครัฐ (และประสบการณ์ตรงของประชาชน)
จนกระทั่งถึงเวลาที่จีนกับญี่ปุ่นอยากจะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกัน พรรครัฐก็ทำการปรับทัศนคติของผู้คนต่อการรับรู้ความเป็นญี่ปุ่น จากเดิมที่เป็น "ผี" ก็ปรับใช้ภาพลักษณ์เป็นมิตรและเข้าถึงง่าย เพื่อสนองแนวทางสถาปนาสัมพันธ์ทงการทูต
พรรค CPP ของกัมพูชาก็มีอำนาจแบบเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเวียดนาม แต่พวกเขาก็ยังไม่ทำมันทั้งๆ ที่ลงนามปฏิญญาสันติภาพกับไทยแล้ว
พวกเขาก็ยังรักษาอุดมการณ์ของการทำให้ไทยเป็น "โจร" ในสายตาคนกัมพูชา
และความชิงชังนั้นก็คือสิ่งที่เชื้อเชิญ "คนร้าย" ไปวางทุ่นระเบิดให้ทหารไทยเหยียบครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่สำคัญก็คือ กัมพูชารู้ดีว่า "อำนาจรัฐไทยไม่มีความเป็นหนึ่เดียวกัน" จึงสามารถสร้างสถานการณ์ได้เรื่อยๆ
โดยที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในไทยก็ได้เแต่โวยวายผ่านหน้ากระดาษ เพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะจัดการตอบโต้อยางไรดี ไม่รู้จะฟังฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายทหาร หรือว่าฝ่ายทหารกลุ่มไหนในกองทัพเพื่อจัดการกับกัมพูชา
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - สมเด็จพระนโรดม สีหมุนี แห่งกัมพูชา (ซ้าย) ทรงทักทายฮุน เซน ประธานวุฒิสภา (ขวา) ในพิธีเฉลิมฉลองวันประกาศอิสรภาพครบรอบ 72 ปีของกัมพูชา ณ อนุสาวรีย์เอกราช ในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 (ภาพโดย TANG CHHIN Sothy / AFP)