ระวัง'ข้อตกลงการค้าเสรี'แบบ'นักล่าอาณานิคมใหม่'คือโอกาสที่ประเทศใหญ่จะเอาเปรียบไทย

ระวัง'ข้อตกลงการค้าเสรี'แบบ'นักล่าอาณานิคมใหม่'คือโอกาสที่ประเทศใหญ่จะเอาเปรียบไทย

สงครามการค้าและสงครามภาษีควรจะทำให้คนไทยตระหนักมากขึ้นว่า ประเทศมหาอำนาจนั้นเป็นพวก "มือถือสากปากถือศีล" หรือ Hypocrite เพราะปากอ้างหลักการเศรษฐกิจแบบตลาดและการค้าเสรี แต่พอลงมือทำจริงๆ ก็จะลืมหลักการ แล้วใช้วิธีบีบคั้นประเทศเล็กๆ ด้วยช่องโหว่ต่างๆ นานาที่เป็นการ "รักษาผลประโยชน์ทางการค้าของตน" หรือ Protectionism

เรื่องนี้รัฐบาลจีนให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะจีนเป็นเหยื่อโดยตรงของพฤติกรรม "มือถือสากปากถือศีล" ของชาติตะวันตก ดังนั้นในวันที่ 5 ตุลาคม นายกรัฐมนตรี หลี่เฉียง ของจีนจึงกล่าวว่า “มาตรการฝ่ายเดียวและมาตรการกีดกันทางการค้า (protectionist measures) บางอย่างส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระเบียบโลกทางเศรษฐกิจ ยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีกที่เราต้องยึดมั่นในความร่วมมือซึ่งกันและกันและแสวงหาการค้าเสรีในขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว”

และเขายังกล่าวคำคมไว้ว่า “สุภาพบุรุษควรแสวงหาความมั่งคั่งของตนด้วยวิธีการอันมีเกียรติ”

ผมเชื่อว่า หลี่เฉียง ไม่ได้หมายถึงสหรัฐฯ เท่านั้น แต่หมายถึงชาติตะวันตกอื่นๆ (โดยเฉพาะยุโรป) ด้วย ความขัดแย้งกับสหรัฐฯ นั้นยั้งไว้ชั่วคราว แต่จีนยังมีปัญหาเรื่อง Protectionism กับสหภาพยุโรปที่ยังรุนแรงอยู่
 
ทรัมป์นั้นไม่กลัวว่าใครด่าว่าเป็นพวก Hypocrite เพราะเขาทำตามใจชอบ แต่ก็มีข้อดีตรงที่เขาไม่ได้ทำตัวเป็นพวก "ปากถือศีล" แต่ปากตรงกับใจ คนแบบนี้แม้จะทำให้โลกปั่นป่วน แต่ก็รับมือได้ไม่ยากเพราะเป็นพวกตรงไปตรงมา

แต่ประเทศไทยและจีนจะต้องระวังประเทศที่เป็น Hypocrite ตัวจริงๆ ซึ่งปากอย่างใจอย่าง หรือพูดแบบสำนวนนิยายกำลังภายในก็คือ "วิญญูชนจอมปลอม" ฉากหน้าเป็นผู้มีหลักการ เนื้อแท้นั้นเป็นพวกฉวยโอกาส

แม้สงครามการค้าและสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับจีนจะอยู่ในช่วง "หยุดยิง" หรือ "พักรบ" แต่ส่วนอื่นๆ ของโลกจะรีบดีลข้อตกลงกันอย่างดุเดือดเพื่อ "รักษาฐานที่มั่น" ด้านผลประโยชน์ของตนให้มั่นคง ก่อนที่สองยักษ์จะกลับมายิงกันอีกครั้ง

การรีบดีลและรีบปกป้องผลประโยชน์ของตนจะทำให้ประเทศที่ "ไม่มีวิสัยทัศน์" ไม่ทันเกมและถูกเอาเปรียบโดยไม่รู้ตัว จีนนั้นผมไม่ห่วงหรอกเพราะเขาทันเกมและยังไม่ใช่บ้านเมืองของผมเองด้วย แต่ผมห่วงประเทศตัวเองที่สุด

ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้าที่หนักขึ้นเรื่อยๆ ผมได้รับข้อมูลมาว่าระหว่างคณะกรรมาธิการของรัฐสภาชุดหนึ่งกำลังหารือกันเรื่องความ 'แฟร์หรือไม่แฟร์' ที่ไทยจะได้รับจากการทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป 

เพราะประเด็นสำคัญ คือ เรื่องลิขสิทธิ์ยาที่อาจทำให้เราเสียเปรียบได้  

ตอนนี้ผมยังไม่มีรายละเอียดในมือเรื่องข้อตกลงที่ไทยอาจจะเสียเปรียบอะไรบ้าง แต่ในอีกไม่ช้าคงจะได้ข้อมูลมาตีแผ่กันต่อไป 

ณ เวลานี้บอกได้แต่เพียงว่า 'ข้อตกลงการค้าเสรี' ไม่ได้เสรีอย่างที่เราคิด

ดังนั้น อย่าเพิ่งดีใจไปเมื่อได้ยินว่าเราจะทำข้อตกลง FTA กับประเทศใหญ่ๆ โดยคิดว่า "เขายอมเปิดโอกาสให้เรา" และอย่าขวัญเสียถ้าประเทศใหญ่เอาเรื่องสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไคย เสรีภาพต่างๆ นานามาเราขู่ว่า "เดี๋ยวก็ไม่ทำ FTA ด้วยซะหรอก" เพราะดีไม่ดี "ไม่ทำด้วยอาจจะคุ้มกว่า"

ในยุคสมัยนี้มุมมองพลิกกลับเรื่อง FTA เริ่มที่จะเป็นกระแสหลัก นั่นคือมองว่า "ข้อตกลงการค้าเสรีคือการล่าอาณานิคมใหม่"

'การล่าอาณานิคมใหม่' (Neocolonialism) หมายถึงอะไร? หมายถึงการที่ประเทศใหญ่ใช้เงื่อนไขบางอย่างทำให้ประเทศเล็กตกเป็น 'ทาสการค้า' โดยไม่รู้ตัว เช่น ทำข้อตกลงที่ล่อลวงให้ประเทศเล็กยอมให้สัมปทานทรัพยากร จากนั้นก็บีบให้เปิดตลาด 'เสรี' เพื่อให้สินค้าของประเทศใหญ่ทะลักเข้ามา

นี่คือลักษณะที่ไทยกำลังจะเผชิญผ่านข้อตกลงกับทรัมป์ที่เพิ่งได้ข้อสรุปกันมา 

ถ้าเป็นศตวรรษก่อนๆ การทำแบบนี้เรียกว่า 'การล่าอาณานิคม (แบบเดิม)' (Colonialism) ที่มันเก่าก็เพราะใช้วิธีการอันป่าเถื่อน เช่น ใช้สงครามและการยึดครองตรงๆ เพื่อยึดประเทศหนึ่งๆ จากนั้นรีดทรัพยากรประเทศนั้น แล้วส่งสินทรัพยากรกลับไปประเทศแม่ พอปรเะทศแม่ผลิตแล้ว ก็ส่งสินค้ามาขายต่อในประเทศที่ตกเป็นทาส

เช่น อินเดียถูกอังกฤษยึดเป็นอาณานิคม อังกฤษบังคับให้คนอินเดียปลูกฝ้ายด้วยค่าแรงถูกที่สุดแรหือาจจะไม่ให้ค่าแรงเลย จากนั้นเมื่อได้ฝ้ายถูกๆ แล้ว อังกฤษก็ส่งกลับไปเมืองแม่ ทำการทอฝ้ายเป็นผ้าที่มีราคา จากนั้นก็ส่งมาขายให้คนอินเดียในราคาแพงขึ้น 

แม้ในกัมพูชายุคที่เป็นอาณานิคมฝรั่งเศส บางช่วงคนเขมรไม่สามารถปลูกฝ้ายแล้วทอผ้าเองได้ เพราะรัฐบาลอินโดนจีนต้องการหาเงิน จึงบังคับให้คนเขมรห้ามทอผ้าเอง แต่ต้องซื้อผ้าจากนายทุนฝรั่งเท่านั้น คนเขมรมากมายไม่มีเงินจะซื้อ จึงต้องใช้ชีวิตเยี่ยงชีเปลือยกันอยู่ช่วงหนึ่ง

ดังนั้น การล่า 'อาณานิคม' จึงไม่ใช่การเอาดินแดน แต่เป็นการสูบทรัพยากรและยึดกุมตลาดชัดๆ ถ้าประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมไหนมองหม่เห้นแง่มุมนี้ ก็จะเป็นเอกราชแต่ตัว ส่วนเศรษฐกิจก็ยังเป็นทาสเขาเหมือนเดิม เช่น หลายประเทศในแอฟริกา ณ เวลานี้

นี่ก็คือการล่าอาณานิคมแบบเก่า แล้วทำไม FTA ถึงกลายเป็นการล่าอาณานิคมแบบใหม่?

เช่นในเวลานี้ สหภาพยุโรปเกลี้ยกล่อมให้ประเทศตูนีเซียมาทำข้อตกลงการค้าเสรีด้วยกัน ตูนีเซียก็คิดว่าตัวเองจะสามารถเข้าถึงตลาดใหญ่ได้ แต่ตรงก้นข้ามสหภาพยุโรปไม่มีทางให้ทำแบบนั้นและตัวเองต่างหากที่จะต้องเข้าถึงตลาดของตูนีเซียงหมดโดยล่อให้เข้าถึงเงินกู้ที่ง่ายขึ้นแต่ก็วางเงื่อนไขที่ตูนีเซียไม่รู้ตัวให้ต้องปฏิบัติตามระเบียบการค้าของสหภาพยุโรป โดยเฉพาะสหภาพยุโรปสามารถอุดหนุนภาคเกษตรกรรมได้ แต่ตูนิเซียทำไม่ได้ เป็นต้น สุดท้ายเงื่อนไขเหล่านี้จะถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องตลาดของสหภาพยุโรป ทำให้ตูนีเซียเจาะตลาดไม่ได้ นานวันเข้าก็เริ่มต้องการเงินสดเข้าประเทศจึงต้องขอเงินกู้จากสหภาพยุโรป หลังจากนั้นประเทศตูนีเซีย ก็จะติดกับดักโดยสมบูณ์ นั่นคือ เสียตลาดให้สหภาพยุโรปแล้วยังเป็นหนี้ระยะยาวกับสหภาพยุโรปด้วย

ยังมีอีกหลายโมเดลที่ประเทศใหญ่ นำมาใช่ล่อลวงประเทศกำลังพัฒนาให้ติดกับดัก 'การค้าเสรี' เช่น กรณีที่สหภาพยุโรปทำกับเคนยาที่ไม่ได้เรียกว่า FTA แต่เรียกว่า  EPA (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ) เช่นเดียวกับการที่สหภาพยุโรปสามารถอุดหนุนภาคเกษตรกรรมได้แต่ตูนิเซียทำไม่ได้ เกษตรกรเคนยาที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ต้องเสียตลาดให้กับบริษัทอาการของสหภาพยุโรปที่ไม่เพียงผลิตได้มากกว่าในต้นทุนต่ำกว่าเท่านั้นแต่ยังได้รับการอุดหนุนต้นทุนอีกด้วย เช่นเดียวกับตูนีเซีย เคนยาก็มีหนี้ท่วมท้นซึ่งนี่เป็นโอกาสให้สหภาพยุโรปเสนอ 'ทุนการพัฒนา' ให้แต่ทุนนี้ไม่ใช่ของฟรีและยิ่งทำให้เคนยาเป็นหนี้มากขึ้นไปอีก ทว่า มันทำให้สหภาพยุโรปยิ่งมีอำนาจต่อรองเหนือกว่าเคนยาเข้าไปทุกที

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ เจ้าหนี้จะสามารถบังคับให้ประเทศลูกหนี้เปลี่ยนนโยบายเพื่อเอื้อตนได้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Debt trap ซึ่งชาติตะวันตกมักหยิบขึ้นมาใส่ร้ายจีน แต่ตัวเองนั้นทำมาแต่ไหนแต่ไรและกำลังทำอยู่ด้วยซ้ำ 

นี่คือ 'มายา' หรือความจอมปลอมของข้อตกลงการค้าเสรี ซึ่งเราไม่ควรจะดีใจที่รัฐบาลไปทำกับประเทศใหญ่ๆ แต่ควรจะตรวจสอบให้มากๆ ว่ารัฐบาลกำลังหลงกลคู่เจรจาหรือไม่ เพราะโอกาสหลงกลมันสูงมากหากอีกฝ่ายมีของมาล่อเช่น 'ทุนการพัฒนา' 

ผมคิดว่านักเจรจาเรื่องตลาดและทุนของประเทศพัฒนา ยังรู้ไม่เท่าทันเล่ห์กลของประเทศนายทุนใหญ่ๆ เพราะเราไปคุยกับเขาในฐานะนายทุนเหมือนกัน แต่ประสบการณ์ในการตกตวงผลประโยชน์จากระบอบอาณานิคมของชาติตวันตกนั้นสูงมากและยังใช้วิธีการเดิมๆ อยู่ไม่เคยเปลี่ยน ดังนั้น ประเทศกำลังพัฒนาจึงตกเป็น 'อาณานิคมใหม่' โดยคิดว่าตัวเองยังรักษาอธิอปไตยไว้ได้

พวกที่รู้เท่าทันการเล่นแร่แปรธาตุด้วยทุนที่สุด คือพวกที่เกลียดระบบทุนนิยมที่สุดหรือพวกที่ศึกษาการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก บางทีรัฐบาลควรจะฟังแบบนี้ไว้หรือแม้กระทั่งเชิญมาช่วยงานบ้าง เพราะคนแบบนี้แหละที่จะทำให้เห็น 'ดาบ' ที่อีกฝ่ายซ่อนไว้ 

สุดท้ายนี้จะทิ้งบทสรุปทางประวัติศาสตร์เอาไว้สักเรื่องก็คือ ข้กตกลงการค้าเสรีนั้นมีอายุมากพอๆ กับการล่าอาณานิคมรุ่นก่อน เพราะมันเป็นสิ่งแรกที่พวกอังกฤษเอาไว้ใช้บีบบังคับพวกเจ้าในอินเดียให้ยอมเปิดตลาดแล้วตามด้วยการส่งทหารเข้าไปถ้าไม่ยอม 

ข้อตกลงการค้าเสรีนี่แหละที่อังกฤษเอาไว้บีบจีนให้เปิดตลาดนำเข้าฝิ่น จนกระทั่งนำไปสู่สงครามฝิ่นแล้วจีนก็ต้องพ่ายแพ้ จากนั้นจีนก็เสียตลาดที่ใหญ่ทีสุดในโลกให้ฝรั่งประเทศแล้วประเทศเล่า

เพราะข้อตกลงการค้าเสรีนี่เองที่ เซอร์ จอห์น บาวริง เอามาบีบบังคับประเทศสยาม ทำให้ประเทศสยามต้องนำเข้าฝิ่นเสรีเหมือนจีน ส่วนคนสยามต้องเปลี่ยนการทำมาหากินจากการปลูกข้าวเพื่อเลี้ยงตัวเอง มาเป็นการปลูกข้าวเพื่อป้อนตลาดโลก

ทุกวันนี้ชาวนาไทยปลูกข้าวเลี้ยงตลาดโลกมา 170 ปีแล้ว แต่ยิ่งยากจนลงทุกที แล้วการค้าเสรีมันเป็นสิ่งที่เราควรมีความหวังกับมันหรือ?

ป.ล.
นายกรัฐมนตรี หลี่เฉียง ของจีน เป็นเหมือนกระบอกเสียงของการต่อต้านลัทธิเปรียบทางการค้า โดยระหว่างเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เขากล่าวว่านโยบายเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวและนโยบายคุ้มครองทางการค้าของตนเองที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อระเบียบเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ และเตือนว่า "กฎแห่งป่า" นั่นคือ "ผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอด" กำลังจะกลับมา นั่นหมายความว่าโลกจะยิ่งโกลาหลมากขึ้น ระเบียบโลกที่มีอยู่จะถูกทอดทิ้ง 

ขณะที่จีนนั้นพยายามที่จะสร้างระเบียบโลกใหม่ที่มีรากฐานจากระเบียบโลกเดิม หลี่เฉียง  เน้นย้ำให้ยึดมั่นระบบการค้าเสรีระดับโลก แต่ผมเกรงว่า หลี่เฉียงพูดถูกมากกว่าเรื่อง "ผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอด" แม้ว่าจีนจะพยายามรักษาระเบียบอันศิวิไลซ์ทางการค้าเอาไว้โดยรวมกุ่มการค้าเสรีกับอาเซียนให้มั่นคงขึ้น แต่โลกตะวันตกไม่ได้หวัง "ผลประโยชน์ร่วมกัน" ดังที่จีนได้สัญญาไว้กับประคมโลก และกำลังยึดมั่นถือมั่นกับแนวคิด Protectionism มากขึ้นเรื่อยๆ

นี่เป็นเรื่องที่ประเทศอื่นๆ ต้องใส่ใจมากกว่าการมุ่งรักษาระเบียบการค้าเสรีที่นับวันจะยิ่งพังลง

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - การลงนามและประทับตราสนธิสัญญานานกิง วาดโดยกัปตันจอห์น แพลตต์ จากกลุ่มอาสาสมัครเบงกอล ภาพเป็นของ Anne S. K. Brown Military Collection
 

TAGS: #การค้าเสรี #ลัทธิล่าอาณานิคมใหม่