สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนภายนอกไม่เข้าใจจีนหรือไม่ก็เข้าใจจีนผิดๆ ก็คือ Narratology หรือวิธีการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในจีนและ/หรือการที่จีนอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนอกจีน
สื่อตะวันตกได้ครอบงำการทำความเข้าใจจีนมาหลายทศวรรษผ่านการผูกขาดของสำนักข่าวและการเข้าถึงจีนผ่านการตั้งสำนักข่าวในจีนโดยตรง แต่สื่อตะวันตกเหล่านี้มี Narrative หรือวิธีการอธิบายหรือวิธีคิดหรือกรอบความคิดที่มีต่อจีนเป็นของตนเอง ดังนั้น เมื่อพวกเขารายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในจีน พวกเข้าจะตีกรอบข้อมูลเข้าไปในวิธีการเล่าที่อิงกับวิธีคิดของตนเอง ผลก็คือ ส่วนอื่นๆ ของโลก "มองจีนในแบบที่โลกตะวันตกมองจีน"
"การมองจีนในแบบที่โลกตะวันตกมองจีน" เริ่มที่จะบิดเบี้ยวขึ้นทุกที เพราะความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างตะวันตกต่อจีนและอคติที่มีต่อจีนที่หนักขึ้นทุกที ดังนั้น ยิ่งส่วนอื่นๆ ของโลกใช้ Narrative ของโลกตะวันตกมากเท่าไร ก็จะยิ่งห่างเหินจาก "ความจริง" ในมุมของจีนมากเท่านั้น และคิดว่าข้อมูลที่ผ่าน "เอเย่นต์" ตะวันตกคือความจริงหนึ่งเดียว
ที่ผมเอ่ยถึง Narrative ของการนำเสนอจีนมายืดยาวขนาดนี้ ก็เพราะนี่คือสิ่งที่ผมตกผลึกจากการพบปะกับสื่อเอเชียและร่วมกัน "มองจีนผ่านสายตาของจีนและสายตาของเอเชีย" ในโครงการฝึกอบรมสื่อเอเชียมืออาชีพ (Asian Media Professionals Training Program) ที่จัดโดยมหาวิทยาลัยเหรินมินแห่งประเทศจีน กระทรวงการต่างประเทศจีน และประสานงานมายังผมโดยสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย
โครงการนี้แม้จะบอกว่าเป็นการ "ฝึกอบรม" ก็ตาม ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนจับสื่อเอเชียมาทำความเข้าใจจีนแบบบังคับ แต่แท้จริงแล้วมันคือการแปลกเปลี่ยนทัศนะระหว่างสื่อจาก 13 ประเทศในเอเชียกับนักวิชาการด้านสื่อและการเมืองของจีน เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมระหว่าง "สื่อมืออาชีพ" และนักวิชาการชั้นยอดที่มีองค์ความรู้ขั้นสูง นอกจากนี้ ยังมีการเชิญคณะไปเยี่ยมชมสื่อมวลชนของจีนกลุ่มต่างๆ เช่น GMG และ People's Daily และ Henan TV นับเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างยิ่ง
โครงการนี้ได้จัดให้มีการบรรยายวิชาความรู้ด้านสื่อมวลชนของจีน ด้านปรากฏการณ์ทัศนะสาธารณะ แนวคิดด้านสังคมนิยมแบบจีน ไปจนถึงวิวัฒนาการของสื่อจีน การบรรยายอัดแน่นไปด้วยองค์ความรู้ที่คนทั่วไปไม่ทราบมาก่อน (โดยเฉพาะสื่อจากประเทศที่มี "กรณี" กับจีน และสื่อที่ไม่เคยมาจีน) ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างกันอย่างเข้มข้น ยิ่งช่วยเสริมความเข้าใจระหว่างสื่อภายนอกและนักวิชาการสื่อในจีนอย่างมาก
แม้แต่ระหว่างสื่อในคณะด้วยกันเองก็ได้โอกาสอันหาได้ยาก ในการแปลกเปลี่ยนเชื่อมโยงความรู้ระหว่างกันเกี่ยวกับสถานการณ์สื่อของแต่ละประเทศ
เรื่องหนึ่งที่คณะของเราพูดถึงก็คือ Narratology ของสื่อตะวันตกที่บดบังการเข้าถึงความเป็นไปในจีน ซึ่งผมเองให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะการสร้าง Narratology ระหว่างจีนกับสื่อเอเชียโดยตรง จะช่วยทำลาย "กรอบวิธีคิดแบบตะวันตก" ที่ทำให้เอเชียต้องคล้อยตามตะวันตกในการเข้าถึงข่าวในใจและทำให้ความเข้าใจผิดเพี้ยน
การนำสื่อมืออาชีพไปรับฟังแนวคิดของสื่อ แนวคิดทางการเมือง และวิวัฒนาการสื่อในจีน คือขั้นแรกของการทำลาย Narratology แบบตะวันตกหรือการทำลายตัวกลางสื่อที่ขวางกั้นจีนจากประเทศต่างๆ ในเอเชีย
"สื่อ" เป็นตัวกลางที่สำคัญยิ่งในการนำพาจีนและประเทศต่างๆ มาพบปะกันโดยตรง เช่นกัน "สื่อไทย" ที่เข้าใจวิธีคิด โครงสร้างสังคม และกลไกทางการเมืองของจีนก็ย่อมสามารถนำเสนอสิ่งที่เกิดขึ้นในจีนได้อย่างตรงไปตรงมาด้วย
ในระหว่างการแลกเปลี่ยนกันครั้งนี้ ผมจึงสนับสนุนให้จีนและสื่อเอเชียสานต่อโครงการนี้ต่อไป เพื่อสร้าง Narratology ระหว่างจีนกับเอเชียที่เป็นของตัวเอง หากแม้นว่าไม่อาจทำให้บางประเทศเข้าใจจีนได้เต็มร้อย แต่ก็ยังดีกว่าพึ่งพากรอบวิธีคิดของคนอื่น
และที่สำคัญ มันถึงเวลาแล้วที่เอเชียด้วยกันจะมองเอเชียด้วยกันด้วยสายตาของตนเอง หากสามารถสานต่อได้ สักวันหนึ่งเราก็จะมี Narratology แบบเอเชียที่ไม่ใช่แค่สร้างความเข้าในของเอเชียต่อจีนเท่านั้น แต่ยังช่วยจีนให้เข้าใจเอเชียมากขึ้นด้วย
นอกจากการสร้างแนวคิดใหม่เพื่อรับรู้จีนกับเอเชียแล้ว ดูเหมือนว่าคณะของเราจะสนใจเรื่องกระบวนการประชาธิปไตยในจีนเป็นพิเศษ
เรื่องนี้เป็นความสนใจส่วนตัวของผมอยู่แล้ว และจะกล่าวขยายความต่อไปในอนาคต
แต่สิ่งที่น่าประทับใจก็คือ ในคณะของเรามีสื่อที่ไม่เคยรับรู้กระบวนการประชาธิปไตยในจีนมาก่อน แม้แต่ไม่ทราบด้วยซ้ำว่า "จีนเป็นประชาธิปไตย"
การบรรยายครั้งนี้ทำให้หลายคนทราบว่า จีนมี "กระบวนการประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ" ซึ่งต่างจาก "กระบวนการประชาธิปไตยเสรีนิยมที่อิงกับการเลือกตั้ง"
ความต่างนี้ทำให้สื่อตะวันตกบิดเบือนว่าจีนไม่มีประชาธิปไตย และคนภายนอกที่มองจากกรอบการคิดแบบตะวันตกก็พลอยคิดแบบเดียวกันไปด้วย นี่คือปัญหาของการมองผ่านแว่นของคนอื่น ทำให้เกิดความผิดเพี้ยนอย่างมหันต์
แต่การบรรยายของคณาจารย์มหาวิทยาลัยเหรินหมิน ทำให้เราหลายคนตระหนักว่าประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมหรือแบบตะวันตกนั้น "เลือกตั้งแล้วก็แล้วกันไป" จากนั้นนักการเมืองหรือพวกกลุ่มผลประโยชน์ก็ดำเนินการบริหารไปตามใจตนเอง
ผลก็คือประชาธิปไตยตะวันตกแค่ปล่อยให้ประชาชนเลือกตัวแทน แต่ประชาชนไม่อาจสะท้อนเสียงเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายได้
ขณะที่ "กระบวนการประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ" ของจีนนั้น เนินที่การปรึกษาหารือตั้งแต่ระดับการปกครองชั้นล่างสุดคือหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด นคร ไปจนถึงมณฑล และแม้แต่การประชุมระดับชาติก็ต้องผ่านการปรึกษาหารือ เช่น การประชุมเต็มคณะของพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งทีี่ 4 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปรึกษาหารือ
หารือเพื่ออะไร? หารือเพื่อฟังสียงมหาชนเพื่อฟังความต้องการ ข้อเสนอแนะ และการคัดค้านในการดำเนินการด้านนโยายและการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่แค่เลือกตั้งตัวแทนเข้าไปแล้วก็แล้วกันแบบประชาธิปไตยตะวันตก แต่ประชาธิปไตยแบบจีนนั้นแม้จะอิงกับพรรคคอมมิวนิสต์เป็นหลักแต่ก็มีการออกเสียงแสดงความเห็นด้วย โดยเฉพาะการปรึกษากันขององค์คณะต่างๆ เพื่อตัดสินใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์ร่วมกันที่สุด
ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า ประชาธิปไตยแบบอเมริกันเลือกพรรคการเมืองได้ แต่เลือกนโยบายไม่ได้ (เพราะต่างพรรคก็จริงแต่เป็นกลุ่มผลประโยชน์เดียวกัน) ส่วนประชาธิปไตยแบบจีนเปลี่ยนพรรคไม่ได้ แต่เปลี่ยนนโยบายได้ (เพราะแม้จะพรรคเดียวที่กุมอำนาจ แต่เป็นพรรคที่ฟังเสียงประชาชนทุกระดับ)
ดังนั้น "กระบวนการประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ" ของจีนจึงเรียกว่า "ประชาธิปไตยแบบกระบวนการองค์รวม" เพราะทุกคนมีส่วนร่วมจริงๆ ไม่ใช่นักการเมืองที่เป็น Rent-seeker (กลุ่มทุนและการเมืองที่เข้าไปทำงานการเมืองแล้วกำหนดนโยบายเพื่อกอบโกย) ที่หวังเกาะประชาธิปไตยเข้าไปหากินสนองประโยชน์ตน
นี่คือความพิเศษ (แค่ส่วนหนึ่ง) ของระบบการเมืองจีนที่ทำให้คณะของเราตื่นเต้นและซักถามอย่างมากมาย แม้แกระทั่งในช่วงวันท้ายๆ ที่เราใช้เวลาร่วมกันก็ยังอภิปรายในประเด็นนี้ นั่นแสดงว่าคนภายนอกยังไม่อาจเข้าถึงกลไกการเมืองของจีนจึงไม่เข้าใจจีนเลย พอรู้จักจีนแล้วจึงตาสว่างขึ้นมา แม้เข้าถึงแค่ส่วนเดียวก็ยังตื่นตาตื่นใจเพียงนี้ หากเข้าใจจีนอย่างลึกซึ้งมากขึ้น เราก็คงสามารถสร้างเครือข่ายของสื่อเอเชียที่เป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ถูกช่วงใช้โดย "วาระทางการเมือง"
การเข้าใจแนวคิดทางการเมืองและกลไกทางการเมืองของจีน เป็นรากฐานสำคัญในการเข้าใจสื่อในจีน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนเข้าใจผิด โดยเฉพาะการเข้าใจว่าสื่อในจีนที่ได้รับการปรึกษาหาหารือจากภาครัฐ "ไม่มีเสรีภาพในการรายงานข่าว" ซึ่งจากที่เราทราบว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริง สื่อในจีนนั้นมีเสรีภาพในการายงานข่าวอย่างมาก เพียงแต่ข่าวทางการนั้นจะต้องรายงานโดยอยู่ใน "กรอบที่ไม่ได้กำหนด แต่ทุกคนรู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไร" ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่ทำกันในหลายๆ ประเทศอยู่แล้ว แม้แต่ในไทยเองก็เป็นเช่นนี้
เช่นกัน การแสดงความเห็นของมหาชนในจีนก็ไม่ได้ถูกปิดกั้นดังที่เราทราบแล้วจากกระบวนการประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ เรามีชั้นเรียนเรื่อง "สื่อดิจิทัลและทัศนะสาธารณะในจีน" ที่มหาวิทยาลัยเหรินหมินเป็นสิ่งที่ผมใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะหนึ่งผมเป็นสื่อดิจิทัลและสองผมเองก็ใช้โซเชียลมีเดียจีน จึงพอจะทราบว่าโซเชียลมีเดียในจีนทำงานอย่างไร แต่ก็ต้องการความรู้เบื้องลึกจากนักวิชาการอย่างมากเพื่อทำความเข้าใจสังคมจีนและสื่อใหม่ในจีน
การเข้าใจความเป็นไปของ "ทัศนะสาธารณะ" ในจีนนั้นช่วยเปิดโลกทัศนะของสื่อได้อย่างกว้างขวาง เพราะมันมีความสอดประสานระหว่าง "กระบวนการประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ" และการฟังเสียงของประชาชนทุกชั้นโดยรัฐบาลชั้นต่างๆ เพื่อกำหนดนโยบายที่เป็นคุณต่อประชาชนให้มากที่สุด
แน่นอนว่า "ทัศนะสาธารณะ" บางอย่างก็ต้องถูกควบคุมไว้เพื่อประโยชน์ด้วยความมั่นคง แต่ส่วนใหญ่แล้ว "ทัศนะสาธารณะ" ในโซเชียลมีเดียคือเสียงสะท้อนที่รัฐต้องฟัง และคือส่วนหนึ่งของ "ตัวกลาง" หรือ "สื่อ" ที่เชื่อมโยงประชาชนเข้ากับพรรครัฐ
เรื่องนี้มีความซับซ้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นสำหรับคนนอกที่จะเข้าใจ ขอเพียงแต่ว่ามีการสร้าง Narrative เกี่ยวกับจีนที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น คนภายนอกก็จะหยุดเข้าใจว่าจีนเป็นรัฐอำนาจนิยมที่ควบคุมสังคมอย่างเข้มงวดจนเคลื่อนไหวไม่ได้ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย
จีนนั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปี ในบรรดาอารยธรรมโบราณของโลกนั้นมีแต่จีนที่ยังเป็น "รัฐอารยธรรม" (Civilization state) ที่ยืนหยัดค่านิยม วิธีปฏิบัติ และปรัชญาของตนเองมาโดยตลอดไม่ขาดสาย แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเองก็เชื่อมโยงตนเองกับอารยธรรมจีนเพื่อรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ของจีน และใช้เป็นรากฐานในการสร้างสังคมองค์รวมที่มีลักษณะจำเพาะของตนเอง ดังที่จีนได้สร้าง "สังคมนิยมที่มีรูปแบบเฉพาะของจีนเอง" (Socialism with Chinese characteristics)
ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจจีน คนภายนอกจะต้องเข้าใจว่าจีนเป็น Civilization state เสียก่อน จากนั้นจึงค่อยเข้าใจโครงสร้างการเมืองและสังคมจีน เพื่อกำหนด Narratology ของตัวเองในการเข้าใจที่ใกล้เคียงที่สุด
ผมเห็นว่าการที่ฝ่ายวิชาการและรัฐจีนดำริเรื่องการเชื่อมโยงจีนกับสื่อในเอเชียขึ้นมา เป็นสิ่งที่น่าชมเชย เพราะมันจะสร้างเครือข่ายของคนในภูมิภาคเดียวที่เข้าใจและกันโดยตรง เมื่อเข้าใจกันโดยตรงโดยปราศจากการแทรกแซงหรือพึ่งพาของภูมิภาคอื่น เราก็จะคลี่คลายกรณีที่ขัดแย้งโดยง่าย และท้ายที่สุดก็จะเข้าถึงยุคสมัยแห่ง "ความมั่งคั่งร่วมกัน" ระหว่างจีนและเอเชียในที่สุด
ครับ สิ่งสำคัญที่สุดในการทำลายกำแพงระหว่างกัน คือการสร้างกรอบการมองกันและกันที่เป็นตัวของตัวเอง ผมหวังว่าอีกไม่นานยุคสมัยนั้นจะมาถึงเอเชียของเรา
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - RUC training Program