'การทูตแบบปืนจ่อหัว' ข้อตกลงสันติภาพที่รัฐบาลไทยยอมจำนนแต่คนไทยไม่มีทางยอมรับมัน

'การทูตแบบปืนจ่อหัว' ข้อตกลงสันติภาพที่รัฐบาลไทยยอมจำนนแต่คนไทยไม่มีทางยอมรับมัน

สักวันหนึ่ง ไทยกับกัมพูชาก็ต้องหันมาเจรจาคืนดีกัน แม้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานแค่ไหน และแม้จะไม่ถูกใจคนทั้งสองประเทศมากเพียงใดก็ตาม

แต่ผมเชื่อว่าวันนั้นยังไม่มาถึง เพราะความบาดหมางยังไม่จางจากใจคนไทย และความขัดแย้งยังไม่คลี่คลายโดยได้ฉันทามติจากคนไทย

ดังนั้น "ข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา" ที่ถูกบีบบังคับจากโดนัลด์ ทรัมป์ จึงเป็น "สันติภาพที่มาก่อนเวลาอันควร" และไม่เป็นธรรมชาติ เพราะคนไทยยังไม่ต้องการมัน

ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่ต้องการสันติภาพ แต่เงื่อนไขสันติภาพที่ไทยต้องการไม่ใช่แบบนี้

พูดภาษาอังกฤษก็คือ เราต้องการมันในแบบ in our own terms (ตามเงื่อนไขที่ไทยตั้งได้ตามใจ ในสถานะที่เหนือกว่า) แต่กลายเป็นว่าเราต้องทำตามคำสั่งของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งไม่ได้อยากสันติภาพจริงๆ แต่อยากจะได้หน้ามากกว่าในฐานะ "ผู้สร้างสันติภาพ"

เรื่องนี้ทำให้ผมหดหู่ใจ เพราะมันสะท้อนว่าไทยไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นไปกว่าสมัยศักดินา ซึ่งเราต้องยอมจำนนต่อมหาอำนาจที่บีบให้เราทำ "ข้อตกลง" และ "สนธิสัญญา" ที่ไม่เท่าเทียมกัน

พูดตรงๆ คือไทยไม่ได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาเป็นชาติที่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเลย แต่เป็นประเทศที่ให้คนเขาข่มอยู่ร่ำไป

การกระทำของทรัมป์ ไม่ต่างจากการที่พวกฝรั่งในสมัยศตวรรษที่ 18 ยกกองเรือปืนมากดดันให้ประเทศสยามต้องลงนามสนธิสัญญาที่ไม่เท่าเทียมกันต่างๆ นานา โดยเฉพาะการสูญเสียสิทธิอำนาจนอกอาณาเขต ซึ่งคนสัญชาตินั้นๆ ไม่ต้องขึ้นศาลไทย

ผลก็คือ ไม่ใช่แค่ศาลไทยจะเอาผิดพวกตะวันตกไม่ได้เท่านั้น แต่พวก "ขี้ข้าตะวันตก" คือพวกเอเชียที่ไปขอถือสัญชาติฝรั่ง หรือพวก "สับเยก" (Subject คือ พลเมืองของชาติฝรั่งต่างๆ) ยังไม่ต้องขึ้นศาลไทยด้วย 

พวกเอเชียขายตัวเหล่านี้มักใช้ช่องโหว่เหล่านี้ย่ำยีคนไทยและเอาเปรียบไทยในทางเศรษฐกิจ โดยอาศัยว่าตนเป็นพลเมืองของชาติฝรั่ง แต่ก็มาหากินในเมืองไทย

นี่คือความอัปยศอดสูที่สยามหรือไทยต้องประสบในเวลานั้น 

ทุกวันนี้ รอบๆ ไทยก็ยังมีเพื่อนบ้านที่ทำตัวประหนึ่งเป็น "สับเยก" ของมหาอำนาจตะวันตก โดย "ขายชาติ" เพื่อให้ตะวันตกคุ้มครอง บางคนนั้นเยินยอตะวันตกเพื่อให้โปรดปรานตนบนความเสียหายของไทย 

ไม่ผิดอะไรกับพวก "ชาติเอเชีย" ที่เคยขายตัวเพื่อเป็น "ฝรั่งกำมะลอ" และขอให้ฝรั่งคุ้มหัวจากการตอบโต้ของไทย

พวก  "สับเยก" ยุคใหม่ของมหาอำนาจตะวันตกก็อยู่รอบๆ ประเทศไทยนี่เอง และคอยย่ำยีไทย เอาเปรียบไทย ใส่ร้ายไทย พอไทยจะตอบโต้ก็จะวิ่งไปหา "นาย" ให้ช่วยคุ้มหัว

นายตะวันตกก็เข้ามาข่มขู่ไทยโดยใช้วิธีการเดิมคือ Gunboat diplomacy หรือ "การทูตโดยใช้เรือปืน" ซึ่งก็คือการใช้อาวุธสงครามู่ให้ไทยอมจำนน แล้วบีบให้ทำข้อตกลง

ตัวอย่างเช่น สนธิสัญญาบาวริงสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสยามต้องทำข้อตกลง "กาารค้าเสรี" กับพวกบริเตน แม้มันจะฟังดูดีในฐานะสัญญาการค้าการขาย แต่พวกบริเตนหรืออังกฤษนั้นมีแผนที่จะบีบไทยด้วย "เรือปืน" และทำให้ข้อตกลงนี้ไม่เท่าเทียมกัน คือไทยเสียเปรียบ

แม้บริเตนจะไม่ลากเรือปืนมาปิดอ่าวไทย แต่ไทยนั้นทราบดีกว่า "ลูกพี่คนเก่า" คือจีนนั้นแพ้พวกบริเตนในสงครามฝิ่นเพราะอิทธิฤืธิ์เรือปืนของฝรั่ง ส่วนญี่ปุ่นก็เจอเข้ากับเรือปืนอเมริกัน ทางที่ดีไทยไม่ควรจะล้อเล่นกับอำนาจปืนของสงครามในขนบสมัยใหม่ เราจึงต้องลงนามในสัญญาที่บีบคั้นนั้น

นี่คือลักษณะของการบีบคั้นของประเทศใหญ่ต่อไทย นั่นคือ 

หนึ่ง มีพวกเอเชียด้วยกันชายตัวให้กับตะวันตก เพื่อให้ตะวันตกคอยคุ้มหัว เวลาก่อกวนไทยจะได้มีลูกพี่คอยคุม

สอง พวกตะวันตกจะใช้อาวุธข่มขู่ไทยให้ลงนามข้อตกลงต่างๆ นานา แม้แต่ข้อตกลงว่าจะไม่ตอบโต้ "สับเยก" หรือเอเชียที่ขายตัวเป็นพวกข้าฝรั่ง

นี่เป็นเรื่องในสมัยศตวรรษที่ 18

พอถึงกลางศตวรรษที่ 20 การกระทำพวกนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมอีก และมีการยกเลิกสัญญญาไม่เท่าเทียมกันกับชาติต่างๆ 

กระนั้นก็ตาม เช่นเดียวกับการล่าอาณานิคมที่แม้จะจบสิ้นลง แต่มันยังมีการยึดครองประเทศอย่างแนบเนียนรูปแบบใหม่เกิดขึ้นเป็นวิวัฒนาการลำดับต่อมา

การใช้ "การทูตเรือปืน" เพื่อบีบบังคับชาติอื่นก็มีวิวัฒนาการกลายเป็นรูปแบบใหม่ แค่ก็ยังคงรักษาความรุนแรงของมันเอาไว้

ตัวอย่างเช่น สงครามยึดครองอิรักโดยพวกอเมริกัน ก็คือการยึดอิรักเป็นอาณานิคมแบบหนึ่ง แล้วดูดทรัพยากรของอิรักออกไปเกือบหมดสิ้น ไม่ต่างอะไรกับการล่าอาณานิคมสมัยศตวรรษที่ 18

เพียงแต่เปลี่ยนจากข้ออ้างของพวกตะวันตกเรื่อง "ยึดครองเพื่อทำลายความป่าเถื่อนของอิรัก" มาเป็น "การทำลายโครงการอาวุธทำลายล้างสูงเพื่อสร้างสันตภาพในอิรัก" ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของแนวคิดการทำลายความป่าเถื่อนเช่นกัน เพียงแต่ทุกวันนี้ก็ยังหาอาวุธทำลายล้างสูงในอิรักกันไม่เจอ

ทั้งหมดเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อยึดครองและล่าอาณานิคมสมัยใหม่ 

ประธานาธิบดีอเมริกันทุกคนเกี่ยวข้องกับสงคราม แต่ส่วนใหญ่เป็นสงครามในขนบ หรือ Conventional war ซึ่งรบกันด้วยอาวุธและเข่นฆ่าผู้คน จากนั้นทำการยคดครองและสูบทรัพยากร

นั่นเป็นการล่าอาณานิคมด้วย "การทูตเรือปืนสมัยใหม่" ที่ทำแบบตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

ส่วนทรัมป์เป็นคนที่ทำสงครามการค้าและภาษี แม้จะไม่มีผู้คนล้มตายชัดๆ แต่ก็ทำให้ชีวิตคนทั่วโลกต้องตกระกำลำบาก 

นี่คือ "การทูตเรือปืนสมัยใหม่" ที่ทำแบบอ้อมๆ โดยไม่มีเรือรบและปืนใหญ่ แต่ใช้พิกัดภาษี และอาวุธทางเศรษฐกิจทำงายเป้าหมาย

แบบหลังนี้ คนจะไม่ตายทันที แต่จะค่อยๆ อดตาย ธุรกิจจะพังพินาศ บ้านเมืองจะโรยร้าง แม้นอาคารสถานไม่พัง แต่ก็จะวังเวงเหมือนป่าช้า เฉกเช่นเมืองที่ถูกทำลายด้วยอาวุธสงครามขนบ

นี่คือพลังการทำลายล้างของ "เรือปืนยุคทรัมป์"

ทั้งสงครามในขนบและสงครามเศรษฐกิจมีจุดหมายเดียวกัน คือ "ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่" ทำลายคู่แข่ง และกอบโกยทรัพยากรของชาติอื่น

"ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่" จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นแนวคิดของผู้นำทุกรุ่น โดยที่ทรัมป์ทำการ rebranding มันเสียใหม่ว่า "ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง" ทั้งๆ แนวทางที่การข่มขู่ด้วยแสนยานุภาพโดยสหรัฐฯ นั้นไม่ได้เคยขาดตอนเลย

ทรัมป์ไม่ใช่ทหารและนักการเมืองอาชีพจึงไม่ช่ำชองเรื่องสงครามในขนบ แต่เขาถนัดในเรื่องบีบคั้นผู้อื่นด้วยการอาวุธทางเศรษฐกิจ

ทรัมป์ได้ใช้ "การทูตเรือปืนสมัยใหม่" บีบคั้นประเทศเป้าหมายรายแล้วรายเล่าให้ทำข้อตกลงกับเขา ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็น "สนธิสัญญาไม่เท่าเทียมกัน" อันสะท้อนถึงฝันร้ายจากศตวรรษที่แล้วๆ มา และแสดงว่าโลกเราถอยหลังกลับไปสู่ "ยุคมืด" ที่ไม่มีกติกาสากลอีกครั้ง

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ถูก "การทูตเรือปืนสมัยใหม่" ของทรัมป์บีบในเรื่องการค้า ไทยถูกเรือปืนของทรัมป์ หรือ อาวุธภาษีบีบให้ต้องลงนามในสัญญาที่ไม่เป็นธรรมถึงสองสัญญา

สัญญาแรกคือการค้ากับสหรัฐฯ ที่เราถูกขึ้นภาษีอย่างเลวร้ายและเอาเปรียบสิ้นดี หากไม่ยอมทำไทยจะถูก "เรือปืน" คืออัตราภาษีถล่มจนธุรกิจในบ้านเมืองพินาศจนโรยร้าง

สัญญาที่สอง คือการที่กัมพูชาขายตัวเป็น "สับเยก" หรือข้ารับใช้ของทรัมป์ รวมถึงการที่มาเลเซียก็ขายตัวเป็น "สับเยก" เพื่อประสานงานให้ทรัมป์มาแทรกแซงไทยกับกัมพูชา 

ทั้งสองประเทศนี้ รายหนึ่งขายตัวให้ทรัมป์แลกกับการคุ้มหัวแล้วขอให้ทรัมป์ใช้เรือปืน (อัตราภาษี) บีบคั้นไทย อีกรายหนึ่งขายไทยให้ทรัมป์เพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกเรือปืน (อัตราภาษี) ของทรัมป์ยิงถล่ม

ประเทศไทยถูกขู่จังๆ ให้ต้องทำข้อตกลงสันติภาพที่ทรัมป์เรียกร้องมา ซึ่งเป็นข้อตกลงที่จะไม่ทำให้เกิดสันติภาพ แต่จะทำให้คนไทยยิ่งขุ่นเคืองใจ ในที่สุดจะนำไปสู่ความขัดแย้งทั้งภายในไทยกับต่างประเทศ

นี่คือ ข้อตกลงที่มหาอำนาจทำการละเมิดอธิปไตยของไทยและบีบให้ไทยสละผลประโยชน์ เช่นเดียวกับที่ประเทศสยามเคยเผชิญมา 

เพราะในเวลานี้กติกาโลกที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้พังทลายลงไปแล้ว สหรัฐอเมริกาถึงกล้าใช้เรือปืนมาข่มขู่ผู้อื่นอีกครั้ง ประเทศที่อ่อนแอจึงถูกเค้นให้ปฏิบัติตามประเทศใหญ่ และประเทศเล็กอื่นๆ ยอมเสียชาติเกิดเพื่อให้มหาอำนานอันธพาลทำการคุ้มหัว

โปรดสังเกตว่า นอกจากไทยจะถูกขู่ด้วยเรือปืนของทรัมป์ในรูปแบบภาษีแล้ว ทรัมป์ยังเริ่มขยับจากสงครามเศรษฐกิจ (เรือปืนภาษี) ไปสู่สงครามในขนบ นั่นคือ การส่งกองเรือรบที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไปปิดล้อมเเวเนซุเอลาและโคลอมเบีย โดยอ้างว่าเพื่อกำจัดเส้นทางส่งยาเสพติดไปยังสหรัฐฯ 

แต่ความจริงก็คือ เส้นทางค้ายาไม่ได้ผ่านทั้งสองประเทศนี้เป็นหลัก ทั้งสองประเทศนี้มีรัฐบาลที่เป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯ ต่างหาก ทรัมป์จึงหาข้ออ้างสารพัดเพื่อส่งเรือปืน (ของจริง) ไปยิงเรือประมงลำแล้วลำเล่า และพร้อมที่จะบุกทั้งสองประเทศนี้ได้ทุกเมื่อ

แต่เวเนซุเอลากับโคลอมเบียไม่ยอมศิโรราบ ทั้งสองประเทศทำการซ้อมรบและประกาศจุดบืนไม่คุกเข่าให้ นี่คือท่าทีอันถูกต้องของประเทศที่แข็งแกร่งทางจิตใจ แม้จะเผชิญกับการปิดล้อมทางเศรษฐกิจและทางทหารก็ตาม 

นี่คือท่าทีของประเทศที่ถูกข่มขู่โดยตรง แต่ใช้การข่มขู่บ่มเพาะตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นมา

ในขณะที่ไทยแม้จะผ่านการกดขี่แบบนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไม่เคยเรียนรู้จากความเจ็บช้ำในอดีต ไม่พยายามบ่มเพาะตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นมา พอเผชิญกับ 'การทูตแบบปืนจ่อหัว' โดยไม่ทันตั้งตัว ก็ได้แต่ยอมให้ถูกกดบ่าแล้วคุกเข่ายอมรับโดยไม่ทันได้แสดงความเข้มแข็งอะไร

เราต้องจดจำไว้ว่า เพื่อนบ้านบางประเทศนั้น หลายครั้งแล้วที่เชิญมหาอำนาจเข้ามาเล่นงานไทยโดยแลกกับผลประโยชน์ของตน และมหาอำนาจเหล่านั้นก็ใช้วิธีการเดิมๆ นั่นคือ 'การทูตแบบปืนจ่อหัว' เพื่อบีบให้ไทยยอมจำนน

เช่นกัน ข้อตกลงสันติภาพกับประเทศบางจำพวก ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเหตุแห่งสันติภาพได้ ตรงกันข้าม มันจะกลายเป็นเหตุแห่งความวุ่นวายภายในและสงครามในขั้นต่อไปเสียด้วยซ้ำหากยอมรับมันอย่างว่านอนสอนง่ายเกินไป

ยังดีที่ผมเห็นว่าคนไทยจำนวนมากไม่ยอมรับข้อตกลงสันติภาพกำมะลอนี้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต้องการสันติภาพ แต่เพราะมันคือสิ่งจอมปลอม ทำขึ้นโดยผิดธรรมชาติ โดยชาติเสียเกียรติภูมิ

ได้แต่หวังว่า ความรู้สึกขมขื่นที่ถูกบีบคั้นโดยชาติมหาอำนาจที่ไม่มีความชอบธรรมนั้น จะทำให้คนไทยได้ตระหนักขึ้นมาบ้างว่า "เราอ่อนแอเพียงใด"

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกา รับฟังฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (ซ้าย) ก่อนพิธีลงนามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา ท่ามกลางการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 (ภาพโดย MOHD RASFAN / POOL / AFP)
 

TAGS: #ไทย #กัมพูชา #มาเลเซีย #ทรัมป์