ประวัติศาสตร์ก็มีให้เห็นว่า ประเทศเล็กแต่มีเอกภาพ ก็อาจโค่นประเทศใหญ่แต่ไม่เอาไหนได้ 

ประวัติศาสตร์ก็มีให้เห็นว่า ประเทศเล็กแต่มีเอกภาพ ก็อาจโค่นประเทศใหญ่แต่ไม่เอาไหนได้ 
วิเคราะห์ไทย-กัมพูชาจากสายตาของ'เหมาเจ๋อตง'เมื่อประเทศเล็กคิดโค่นประเทศใหญ่ สงครามไทย-กัมพูชาในมุมมองของ"สงครามยืดเยื้อ"

ผมเคยชี้ให้เห็นหลายครั้งแล้วว่า แม้ไทยจะเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า เศรษฐกิจแข็งกร่งกว่า และมีกองทัพที่ใหญ่กว่า แต่ก็ขาดปัจจัยสำคัญที่จะเอาชนะกัมพูชาอย่างเด็ดขาด นั่นคือ "ความเป็นเอกภาพของชาติ"

แม้คนไทยจะรักชาติขนาดพร้อมเอาตัวเป็นโล่ห๋รับกระสุนที่ชายแดนก็ตาม แต่ความเสียสละนั้นอาจจะสูญเปล่าหากไม่ตระหนักว่า ฝ่ายการเมือง กองทัพ และนายทุน ไม่มีเอกภาพในการ "สั่งสอน" กัมพูชา 

แต่อาจจะมีเอกภาพในเรื่องรักษาผลประโยชน์ของพวกเขากับกัมพูชา

ตรงกันข้ามกับกัมพูชาที่มีเอกภาพในทุกมิติ รัฐบาลก็เป็นเนื้อเดียวกัน กองทัพก็เป็นก้อนเดียวกัน ฝ่ายทุนก็สนองรัฐ ฝ่ายรัฐก็ชี้นำสื่อมวลชน ส่วนประชาชนก็พร้อมเดินตามรัฐ แม้ประชาชนจะยอมเสียสละตัวเองเป็นกำแพงที่ชายแดน การเสียสละนั้นก็จะไม่สูญเปล่า

นี่ไม่ได้หมายความว่ากัมพูชา "ชอบธรรม" เพียงแต่การบริหารจัดการเป็นก้อนเดียวกันหมด (united)

ส่วนไทยเป็นประเทศที่แตกเป็นเสี่ยงๆ (fragmented) แม้ในกองทัพก็มี faction และความพึงพอใจต่อกองทัพของประชาชนก็เป็น faction ดังที่เราจะเห็นประชาชนไม่ไว้ใจกองทัพภาคหนึ่ง แต่ศรัทธาในกองทัพอีกภาคหนึ่ง

ลักษณะเช่นนี้ทำให้ไทยคล้ายกับจีน "ยุคขุนพล" และช่วง "สงครามต่อต้านญี่ปุ่น"

บวกกับการกล่าวอ้างของกัมพูชา ที่ว่าตนนั้นเป็นประเทศเล็ก ไม่อาจรุกรานใครได้ โดยเฉพาะไทยซึ่งใหญ่กว่าและเหนือกว่าในทุกด้าน

ทุกคนย่อมทราบว่านี่เป็น "คำแก้ตัว" เพราะกัมพูชายั่วยุก่อน กระทำก่อน สังหารพลเรือนก่อน 

แต่ที่ต้องแก้ตัวก็เพื่อโยนความผิดให้กับไทย แล้วอำพรางการก่อสงครามของตน 

สถานการณ์แบบนี้จีนเคยเผชิญมาแล้วในช่วงเวลาที่ยังเป็น "คนป่วยแห่งเอเชีย" แม้จะมีพื้นที่กว้างใหญ่ ประชากรมหาศาล และทรัพยากรไร้ขีดจำกัด แต่เพราะฝ่ายการเมือง การทหาร นายทุน และปัญญาชนขาดเอกภาพ สิทธิสภาพของจีนจึงถูก "เขมือบ" จากชาติต่างๆ จนกระทั่งถูกรุกรานอย่างเป็นระบบจากญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นชาติเล็กกว่า ขาดทรัพยากร เพียงแต่การเมือง การทหาร ทุน และประชาชนมีเอกภาพเป็นเนื้อเดียวกัน

เหมาเจ๋อตงวิเคราะห์เรื่องประเทศเล็กกล้ารุกรานประเทศใหญ่เอาไว้ในงานเขียนเรื่อง "ว่าด้วยสงครามยืดเยื้อ" (论持久战) เมื่อปี 1938 ผมจะคัดเอาเฉพาะส่วนที่เอ่ยถึงประเทศเล็ก ดังนี้

"นักทฤษฎีการกดขี่ชาติ ซึ่งมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของศัตรูกับความอ่อนแอของเรา เคยกล่าวไว้ว่า "การต่อต้านจะนำไปสู่การกดขี่" และบัดนี้พวกเขากำลังกล่าวว่า "สงครามที่ดำเนินต่อไปนำพามาซึ่งการกดขี่" เราไม่สามารถโน้มน้าวพวกเขาได้เพียงแค่กล่าวว่าญี่ปุ่น แม้แข็งแกร่งก็มีขนาดเล็ก ขณะที่จีน แม้อ่อนแอก็มีขนาดใหญ่ พวกเขาสามารถยกตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ เช่น การล่มสลายของราชวงศ์ซ่งโดยราชวงศ์หยวน และการล่มสลายของราชวงศ์หมิงโดยราชวงศ์ชิง เพื่อพิสูจน์ว่าประเทศเล็กๆ แต่แข็งแกร่งสามารถเอาชนะประเทศใหญ่ที่อ่อนแอได้ และยิ่งไปกว่านั้น ประเทศที่ล้าหลังก็สามารถเอาชนะประเทศที่ก้าวหน้าได้ หากเรากล่าวว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมานานแล้วและไม่ได้พิสูจน์ประเด็นนี้ พวกเขาก็สามารถยกตัวอย่างการกดขี่อินเดียของอังกฤษ เพื่อพิสูจน์ว่าประเทศทุนนิยมเล็กๆ แต่แข็งแกร่งสามารถเอาชนะประเทศใหญ่ที่อ่อนแอและล้าหลังได้ ดังนั้น เราต้องสร้างเหตุผลอื่นขึ้นมาเสียก่อน ก่อนที่เราจะสามารถปิดปากและโน้มน้าวใจผู้ที่ต่อต้านได้ทั้งหมด และจัดหาเหตุผลเพียงพอที่จะโน้มน้าวใจผู้ที่ยังสับสนหรือลังเลใจได้ให้กับทุกคนที่ทำงานด้านการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อโน้มน้าวใจผู้ที่ยังคงสับสนหรือลังเลใจ และเพื่อเสริมสร้างศรัทธาของพวกเขาในสงครามต่อต้าน"

จากข้อเขียนนี้ เหมาเจ๋อตงเอ่ยถึงประวัติศาสตร์ช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของจีน คือ ช่วงที่ราชวงศ์ซ่งถูกโค่นล้มโดยราชวงศ์หยวน 

ราชวงศ์ซ่งที่ปกครองโดยชาติฮั่นมีความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างมาก นักประวัติศาสตร์ผู้ลืมนามของจีน คือ ชีเสีย (漆侠) ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องราชวงศ์ซ่งและเศรษฐกิจของสังคมศักดินาได้เคยกล่าวไว้ว่า “ในช่วงสามร้อยปีแห่งราชวงศ์ซ่ง การพัฒนาทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของจีนอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก นับเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอารยธรรมที่สุดในยุคนั้น” 

อันเดร กุนเดอร์ แฟรงค์ (Andre Gunder Frank) นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชาวเยอรมัน-อเมริกัน เชื่อว่า “ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ศตวรรษที่ 11 และ 12 ประเทศจีนเป็นภูมิภาคที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย นับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง ศตวรรษที่ 11 และ 12 เศรษฐกิจของจีนได้ก้าวล้ำหน้าประเทศอื่นๆ ในโลกอย่างมาก ทั้งในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม การค้า การสร้างเงินตรา และการขยายตัวของเมือง”

จากการวิเคราะห์ของ แองกัส แมดดิสัน (Angus Maddison) นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชาวบริช ซึ่งเชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์มหภาคเชิงปริมาณ ได้ทำการคำนวณเศรษฐกิจของซ่งเอาไว้โดยอิงกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในปี 1990 หลังจากปี ค.ศ. 960 เมื่อสถาปนาราชวงศ์ซ่งเหนือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของจีนอยู่ที่ 450 ดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 600 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายราชวงศ์ซ่งใต้ ในทางตรงกันข้าม ยุโรปในยุคมืดของยุคกลางมีรายได้เพียง 422 ดอลลาร์สหรัฐ 

ราชวงศ์ซ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจถึงขนาดนี้! 

แต่การเมืองอ่อนแอเป็นที่สุด ถึงขนาดมีช่วงหนึ่งที่ซ่งยอม "จ่ายส่วย" หรือ "ค่าคุ้มครอง" (เรียกให้สวยงามขึ้นมาหน่อยก็คือถวายบรรณาการให้อาณาจักรจิน) เพื่อจะไม่ต้องรบกัน แล้วซ่งจะเอาเวลาไปหาเงินแล้วเสพสุขไปเรื่อยๆ โดยอ้างว่าไม่ต้องรบเพื่อรักษาสันติภาพ

แต่เป็นสันติภาพที่แลกมาด้วยความอัปยศ โดยใช้เงินที่หามาได้ง่ายๆ จ่ายไปเรื่อยๆ

ซ่งมีจุดอ่อนอย่างหนึ่งที่คล้ายกับไทยก็คือ เศรษฐกิจแข็ง แต่การเมืองอ่อน แม้จะแยกกันเดินได้ แต่หากขาดเอกภาพ การแยกกันเดินของสองภาคจะไม่ราบรื่นอย่างถาวรและจะเกิดความเหลื่อมล้ำของสองเสาหลักของชาติมากขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่การก่อตัวของ "จุดอ่อน" ในชาติในทุกๆ ด้าน 

ขณะที่ชนชาติมองโกลเป็นคนเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เดิมไม่มีเทคโนโลยีของตัวเอง ไม่มีเศรษฐกิจที่ซับซ้อน แต่สามารถโค่นล้มอาณาจักรจิน (ผู้เก็บค่าคุ้มครองจากซ่ง) อาณาจักรซีเซี่ย (พันธมิตรของซ่ง) จากนั้นก็รุกลงใต้มาเขมือบซ่ง แล้วสถาปนาราชวงศ์หยวนที่ปกครองจีนเกือบร้อยปีได้ ทั้งหมดนี้ก็เพราะ "ความเป็นเอกภาพ"

ระบบสั่งการของมองโกล/หยวนมีประสิทธิภาพมาก แม้จะด้อยกว่าในทางเศรษฐกิจ แต่ก็ใช้เอกภาพทางการเมืองและการทหารเจาะทะลวงแนวต้านของจิน ซีเซี่ย และซ่งได้ครั้งแล้วครั้งเล่า 

ความเป็นเอกภาพของมองโกล ซึ่งเกิดจากการรรรวบรวมเผ่าต่างๆ (หรือเทียบได้กับกลุ่มก้อนทางการเมืองต่างๆ) ในดินแดนของชาวมองโกล และทำให้มีการสั่งการโดยคนๆ เดียวและ/หรือคนในตระกูลเดียว ทำให้มองโกลสามารถ "บุกน้ำลุยไฟ" ได้ตามใจชอบ ยิ่งรบ ยิ่งชนะ ยิ่งชนะยิ่งมีกำลังใจ

จุดเปลี่ยนสำคัญของมองโกลอยู่ที่การรุกไปทางตะวันตก มุ่งไปทางเอเชียกลางกลางที่จะตีรัฐอื่นๆ ในเอเชียตะวันออก

การทำลายรัฐมุสลิมต่างๆ ในเอเชียกลางทำให้มองโกลได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอาวุธใหม่ๆ ที่ใช้กันในโลกอิสลาม (ซึ่งโลกอิสลามใช้มันและพัฒนามันอย่างต่อเนื่องในสงครามกับชาวคริสต์) อาวุธเหล่านั้นทรงอาวุธภาพอย่างมาก เช่น กองทัพม้าเกราะ ดาบวงพระจันทร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการสังหาร ไปจนถึงเครื่องยิงกระสุนดินขนาดใหญ่ หรือ เทรบูเชต (Trebuchet) หรือที่จีนเรียกว่าปืนใหญ่ชาวหุยหุย (回回炮 หุยหุยหมายถึงชาวมุสลิม) 

อาวุธ "ทันสมัย" เหล่านี้โดยเฉพาะปืนใหญ่ชาวหุยหุยที่ทำให้ซ่งพ่ายแพ้ต่อมองโกล

ซ่งนั้นไม่ได้เข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ แม้จะมีเงินมากมายแต่เพราะใช้เงินจ่ายเพื่อรักษาสันติภาพจึงขาดประสบการณ์การรบ และยังขาดเอกภาพทางการเมือง มีความลังเลของนักการเมืองฝ่ายต่อต้านต่างชาติกับฝ่ายเรียกร้องสันติภาพกับต่างชาติ ซึ่งเป็นรอยร้าวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตั้งราชวงศ์ใหม่ๆ นอกจากนี้ยังมีรอยร้าวระหว่างกองทัพกับฝ่ายการเมืองหลายครั้ง ดีที่ว่า เศรษฐกิจรุ่งเรืองทำให้ประชาชนไม่ลุกขึ้นมาต่อต้าน

แต่การกินดีอยู่ดีของซ่งทำให้ประชาชน "เกียจคร้านทางการเมือง" และชินชากับความแตกแยกภายใน ด้วยปัจจัยที่เป็นรอยร้าวภายในเหล่านี้จำทำให้สิ้นชาติในที่สุด แม้จะมีเศรษฐกิจที่แกร่งที่สุดก็ไม่อาจช่วยไว้ได้

ในที่สุด ซ่งก็ถูกลบจากหน้าประวัติศาสตร์ แล้วแทนที่ด้วยราชวงศ์หยวนของชนชาติมองโกล ที่ครั้งหนึ่งถูกเรียกว่า "พวกป่าเถื่อน" ที่น่าอัปยศก็คือ คนจีนฮั่นไม่ได้ถูกปกครองโดยตรงโดย "คนเถื่อนมองโกล" แต่พวกมองโกลสั่งให้ชนชาติที่ภักดีตต่อตน คือ ชนชาติชี่ตัน ชนชาติหุยหุย หรือชาวหนี่เจิน มาปกครองชาวฮั่นอีกต่อหนึ่ง ชาวฮั่นจึงกลายเป็นพลเมืองชั้นสามชั้นสี่ในดินแดนของตนอง

จากมหาเศรษฐีของโลก กลายเป็น "ทาสในแผ่นดินตัวเอง" เพราะขาดเอกภาพและนิ่งนอนใจเกินไป

นี่คือตัวอย่างแรกของ "ประเทศเล็กโค่นประเทศใหญ่" หรือ "ประเทศยากจนโค่นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ"

เหมาเจ๋อตงยังเอ่ยถึง "การล่มสลายของราชวงศ์หมิงโดยราชวงศ์ชิง" ว่าเป็นหนึ่งในกรณีประเทศเล็กโค่นประเทศใหญ่ ผมเห็นว่ากรณีนี้มีความต่างจากซ่งกับหยวนตรงที่ ราชวงศ์หมิง "กัดกินตัวเอง" มานานด้วยระบบราชการที่ล้าหลัง ระบบการตอบแทนตำแหน่งตามผลงานล่มสลาย เต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง และรัชกาลก่อนสุดท้ายหนึ่งรัชกาลนั้นพระเจ้าแผ่นดินแทบไม่ได้ออกว่าราชการเลย บ้านเมืองจึงพินาศ 

แต่ความพินาศของหมิงนั้นโดยส่วนใหญ่เกิดจากกบฎหลี่จือเฉิง ซึ่งเป็นพลเมืองของหมิงเองที่ก่อการลุกฮือเพราะทนไม่ไหวกับความเหลวแหลกของราชสำนัก เพราะรากฐานความโกลาหลที่กบฎหลี่จือเฉิงได้วางไว้ ทำให้พวก "จินยุคหลัง" หรือราชวงศ์ชิงที่นำโดยหวงไท่จี๋ จึงสามารถโค่นล้มราชศ์หมิงได้

พวกราชวงศ์ชิงที่เป็นชนชาติแมนจู (เป็นลูกหลานพวกอาณาจักรจินร่วมสมัยกับซ่ง) ถูกมองว่าเป็น "พวกคนเถื่อน" แม้แต่พวกเกาหลี (โชซอน) ที่ถือตัวว่าเป็น "จีนน้อย" เพราะรับวัฒนธรรมจีนและเป็นรัฐบริวารของจีนก็ดูถูกพวกแมนจูว่าเป็นคนเถื่อน แต่แล้วทั้งจีนใหญ่และจีนน้อยต่างก็ถูกพวกคนเถื่อนที่รบเก่งกว่าเอาชนะได้ นั่นเพราะ "ความประมาท" เป็นที่ตั้ง โดยที่หมิงมีความเสื่อมโทรมภายในอยู่แล้ว ขอให้มีแค่ต่างชาติที่มีการจัดระเบียบที่เป็นเอกภาพกว่า ก็ไม่ยากที่จะเอาชนะได้ 

อีกข้อหนึ่งที่แตกต่างระหว่างมองโกลกับแมนจูก็คือ มองโกลใช้ "บู๊" หรือการทหารและการวางอำนาจเป็นนโยบายหลักในการพิชิตซ่ง เมื่อประชาชนซ่งหรือชาวฮั่นถูกกดดันมากๆ เข้าก็ต่อต้านอยาวรุนแรง ทำให้ราชวงศ์หยวนของพวกมองโกลมีอายุสั้นมาก

ในขณะที่พวกแมนจูที่ตั้งราชวงศ์ชิงแทนที่ราชวงศ์หมิง ใช้ "บุ๋น" เป็นแนวนโยบาย นั่นคือวางตัวเป็นผู้ปลอบประโลมพลเมืองหมิงที่ไม่พอใจระบอบการปกครองที่ชั่วร้ายของหมิง และยังช่วยปลอบประชาชนที่ขวัญหายจากกบฏหลี่เจื้อเฉิง แม้จะใช้กำลังปราบปรามบ้าง แต่โดยหลักแล้วใช้วิธีการกำหนดตัวเองเป็น "ผู้สยบความวุ่นวาย" ดังนั้นประชาชนจึงไว้วางใจ ต่อให้เป็นชนชาติที่เล็กกว่าฮั่น แต่ก็ปกครองฮั่นได้ เพราะแมนจูยอมรับวัฒนธรรมฮั่นและถือว่าฮั่นเป็นพลเมืองชั้นเดียวกัน
 
ดังนั้นในกรณีของราชวงศ์หมิงและชิงจึงต่างออกไป ด้วยผลจากนโยบายหลังการยึดครองของชาวแมนจู ทำให้ราชวงศ์มีอายุยืนนานกว่าสองร้อยปี 

ประเด็นนี้เป็นการ "เล่าสู่กันฟัง" เท่านั้น เพราะประเด็นหลักของเราอยู่ที่กรณีของซ่งและหยวน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นอุทาหรณ์ให้กับกรณีไทยกับกัมพูชาได้ดีกว่า

ประเด็นต่อมาก็จะเป็นการเล่าสู่กันฟังเช่นกัน เพื่อให้เห็นภาพว่าประเทศใหญ่ที่อยู่นิ่งๆ สามารถเตะตัดขาตัวเองให้ล้มได้อย่างไร

เมื่อถึงปลายราชวงศ์ชิง แม้จีนจะรักษาความเป็น "รัฐอารยธรรม" (Civilization state) เอาไว้ได้ แต่ลักษณการณ์เริ่มคล้ายตอนที่หยวนพิชิตซ่ง นั่นคือ จีนเริ่มตามไม่ทันเรื่องเทคโนโลยี เพราะมัวแต่มองตัวเองเป็นศูนย์กลางอารยธรรมโลก 

เหมาเจ๋อตงกล่าวไว้ว่า "ประเทศที่ล้าหลังก็สามารถเอาชนะประเทศที่ก้าวหน้าได้ ... สามารถยกตัวอย่างการกดขี่อินเดียของอังกฤษ เพื่อพิสูจน์ว่าประเทศทุนนิยมเล็กๆ แต่แข็งแกร่งสามารถเอาชนะประเทศใหญ่ที่อ่อนแอและล้าหลังได้" กรณีนี้เกิดขึ้นก่อนที่ชาติตะวันตกจะเขมือบดินของจีน โดยพวกนี้เริ่มกินอินเดียก่อน เนื่องจากอินเดียแม้จะร่ำรวยอย่างมาก แต่ไม่สามารถเปลี่ยนความมั่งคั่งเป็นเทคโนโลยีจึงถูก "เจ้าแห่งทุนนิยม" ในยุคนั้น คือ อังกฤษยึดเป็นอาณานิคม

เทคโนโลยีที่พูดถึงนี้เกิดขึ้นมาจากก่อตัวของระบอบทุนนิยม หรือ "การปฏิวัติเศรษฐกิจ" และ "การปฏิวัติอุตสาหกรรม" ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในเอเชีย พวกตะวันตกได้ผลักดันให้เรื่องนี้เกิดขึ้น จนกระทั่งสามารถยึดครองกระบวนการที่สามารถผลิตความมั่งคั่งได้ไม่ขาดสาย และใช้ความมั่งคั่งนั่นการเทคโนโลยีได้ไม่ขาดตอน

เศรษฐกิจของอินเดียในตอนนั้นมีแต่ Wealth ไม่มี Growth จึงถูกทุนนิยมที่สร้าง Growth ยึดครอง 

ส่วนจีนปลายราชวงศ์ชิงไม่มีทั้ง Wealth และไม่มี Growth เพราะภัยธรรมชาติและความไม่มีประสิทธิภาพด้านการบริหารเศรษฐกิจ

ลองกลับมาดูการวิเคราะห์ของ แองกัส แมดดิสัน (Angus Maddison) ที่ชี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของจีนอยู่ที่ 450 ดอลลาร์สหรัฐตอนตั้งราชวงศ์ซ่ง และเพิ่มขึ้นเป็น 600 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายราชวงศ์ซ่งใต้ 

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวในจีนเพิ่มขึ้นมาเพียง 530 ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 1870 หรือในช่วง 500 ปีที่ผ่านมาลดลงไป 100 ดอลลาร์สหรัฐ พูดง่ายๆก็คือไม่มี Growth เอาเลย

เมื่ออังกฤษทำสงครามการค้ากับจีน หรือสงครามฝิ่น แล้วจีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่นในปี ค.ศ. 1840 เศรษฐกิจจีนก็ล่มสลายยาวนานนับร้อยปีบวกกับผลสงครามกลางเมือง ดังนั้นในปี ค.ศ. 1950 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของจีนอยู่ที่เพียง 439 ดอลลาร์สหรัฐ  ในปี ค.ศ. 1952 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของจีนอยู่ที่ 537 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ยุโรปอยู่ที่ 4,963 ดอลลาร์สหรัฐ

ในช่วงที่จีนเป็นคนป่วยแห่งเอเชียอยู่นี่เอง แม้ประเทศจะใหญ่ มีทรัพยากรมากมาย และผู้คนมากมาย แต่ดินแดนมากมายและอำนาจอธิปไตยถูกเฉือนไปโดยชาติเล็กที่แข็งแกร่งกว่า ขณะที่พวกตะวันตกต้องการเลี้ยงจีนให้เป็นบอนไซไว้อยางนี้โดยไม่รุกราน ก็เพื่อหวังระบายสินค้าเข้าตลาดจีนที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ญี่ปุ่นนั้นถึงกับรุกรานจีนเลยทีเดียวเพื่อหวังทรัพยากร 

แต่หากประเทศเล็กไม่สามารถ "เผด็จศึก" ประเทศใหญ่ได้ แล้วกลายเป็นสงครามยืดเยื้อ เมื่อถึงตอนนั้นสถานการณ์จะพลิกผันได้

เหมาเจ๋อตงกล่าวว่า "ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่อนข้างเล็ก ขาดแคลนกำลังคน ทรัพยากรทางทหาร การเงิน และวัตถุ และไม่อาจทนต่อสงครามอันยาวนานได้ ผู้ปกครองญี่ปุ่นกำลังพยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยสงคราม แต่กลับได้รับผลตรงกันข้าม กล่าวคือ สงครามที่พวกเขาก่อขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหานี้จะยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น และอาจทำให้ทรัพยากรดั้งเดิมของญี่ปุ่นหมดสิ้นไปในที่สุด"

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ประเทศเล็กโค่นประเทศใหญ่ลงได้ก็ด้วยการโจมตีที่รวดเร็วและตรงจุด (ใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่า เช่น พวกหยวน หรือความชอบธรรมที่เหนือกว่า เช่น พวกชิง) แต่หากการรบยืดเยื้อ ประเทศเล็กจะเสียบเปรียบทันที

แต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่ประเทศใหญ่มีเอกภาพในทันที ต่อให้มีอาวุธที่เหนือกว่าหรือการอ้างความชอบธรรมใดๆ ก็จะไม่ได้ผล เพราะกลุ่มที่แตกแยกในประเทศนั้นกลายเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดและชอบธรรมที่สุด

แม้เหมาเจ๋อตงจะมองเห็นจุดอ่อนและจุดแข็งของสงครามระหว่างประเทศเล็กและใหญ่ แต่เขาคงจะเห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือกสารสร้างเอกภาพในชาติ โดยในเวลานั้นกองกำลังของจีนแตกเป็นกลุ่มก้อนนับสิบๆ กลุ่ม โดยกลุ่มหลักคือ คณะชาติหรือพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์

กองกำลังเหล่านี้ไม่เพียงรบกันเอง แต่ยังอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ทำให้ญี่ปุ่นผู้รุกรานแม้จะเล้กกว่า แต่ก็รุกคืบเข้าสู่จีนอย่างง่ายดาย

จนกระทั่งเกิด "กรณีการพลิกที่ผันซีอาน" (西安事变) ซึ่งฝ่ายก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ตกลงที่หยุดรบกันเองแล้วหันมาต่อต้านญี่ปุ่นด้วยกัน กลายเป็นที่มาของ "แนวร่วมเอกภาพครั้งที่สอง" (第二次国共合作) ของสองพรรคที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ แต่ต้องอยู่ร่วมกันก่อนเพื่อกำจัดศัตรูร่วมกัน

นี่แหละคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ประเทศใหญ่ เริ่มมีความได้เปรียบในการทำสงครามกับประเทศเล็ก

สรุป
มีคนบอกว่ากัมพูชาเป็นประเทศเล็ก รู้ว่าไทยเหนือกว่าในทุกด้านแล้วทำไมถึงกล้า "เปิดเกม" ก่อน?

หากลองดูกรณีต่างๆ ใน "สงครามยืดเยื้อ" ของเหมาเจ๋อตง ก็จะทราบเหตุผลเอง

แต่หากไม่ทราบ ผมก็จะอธิบายสั้นๆ ว่า เป็นเพราะกัมพูชามองเห็น "ความอ่อนแอ" หรือ "ความไม่มีเอกภาพ" ของชาติใหญ่อย่างไทยอย่างไงเล่าครับ

อย่างไรก็ตาม ก็ดังที่ เหมาเจ๋อตง กล่าวไว้ว่า "ญี่ปุ่นเป็นประเทศเล็กๆ สงครามของญี่ปุ่นเป็นสงครามปฏิกริยาต่อต้านความเจริญและป่าเถื่อน และญี่ปุ่นจะยิ่งโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ ในระดับนานาชาติ ขณะที่จีนเป็นประเทศใหญ่ สงครามของจีนเป็นสงครามที่ก้าวหน้าและยุติธรรม และจีนจะได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติมากขึ้นเรื่อยๆ มีเหตุผลใดหรือไม่ที่การพัฒนาปัจจัยเหล่านี้ในระยะยาว จะไม่เปลี่ยนแปลงสถานะสัมพัทธ์ระหว่างศัตรูกับพวกเรา?"

ลองเอาคำว่ากัมพูชาแนคำว่าญี่ปุ่น แล้วเอาคำว่าไทยแทนที่คำว่าจีน ก็จะเห็นภาพว่าสงครามระหว่างประเทศเล็กและประเทศใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นนี้จะจบลงอย่างไร

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - ทหารของราชวงศ์หยวนยกพลขึ้นบกที่ญี่ปุ่น หรือภาพ 蒙古襲来絵詞 วาดราวปี ค.ศ.  1293.


 

TAGS: #กัมพูชา #จีน #ญี่ปุ่น #ประวัติศาสตร์จีน