รายงานของ The New York Times เรื่อง "อาวุธจีนเปลี่ยนสงครามระหว่างเพื่อนบ้านสองประเทศได้อย่างไร" กำลังสร้างความกังขาในหมูู่คนไทยต่อจีน
เพราะระบุว่าจีนได้ส่งอาวุธให้กัมพูชาไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้น
รายงานระบุว่า "เครื่องบินดังกล่าวคือเครื่องบิน Y-20 ซึ่งในจีนเรียกว่า Chubby Girls เนื่องจากลำตัวกว้างและสามารถบรรทุกสัมภาระหนักได้ เครื่องบินลำดังกล่าวบินมายังเมืองสีหนุวิลล์ทางตะวันตกเฉียงใต้ 6 เที่ยวบิน โดยบรรทุกจรวด กระสุนปืนใหญ่ และปืนครก ตามเอกสารข่าวกรองของไทยที่ The New York Times ตรวจสอบ ซึ่งเป็นการขนส่งที่ไม่เคยมีรายงานมาก่อน"
และว่า "เอกสารระบุว่าอาวุธของจีนถูกบรรจุลงในตู้คอนเทนเนอร์ 42 ตู้ และจัดเก็บไว้ที่ฐานทัพเรือเรียมที่อยู่ใกล้เคียง ไม่กี่วันต่อมา กระสุนที่ผลิตในจีนก็ถูกเคลื่อนย้ายจากฐานทัพไปทางเหนือหลายร้อยไมล์ ไปยังชายแดนกัมพูชาที่ติดกับไทย"
หลังจากเห็นรายงานนี้ คนไทยก็โจมตีจีนอย่างหนัก กระทั่ง Facebook สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยก็เต็มไปด้วยคำถามและความไม่พอใจของคนไทย
นี่เป็นอีกครั้งที่จีนถูกกล่าวหาจากคนไทยว่า "ช่วยเหลือกัมพูชาด้านอาวุธ" ซึ่งทำให้สถานเอกอัครราชทูตจีนต้องชี้แจงไปแล้วรอบหนึ่ง
ณ เวลานั้นก็พอจะมีคนเข้าใจอยู่บ้างว่า ไม่ใช่แค่กัมพูชาที่ซื้ออาวุธจากจีน แต่ไทยก็ซื้อจากจีนด้วย โดยตัวเลขจาก COMTRADE อันเป็นฐานข้อมูลการค้าของสหประชาชาติพบว่าในปี 2021 กัมพูชานำเข้าอาวุธจากจีน 139 ล้านดอลาร์ ในปีเดียวกันไทยนำเข้าอาวุธจากจีน 6.12 ล้านดอลลาร์ ในปี 2022 กัมพูชานำเข้าอาวุธจากจีน 5.21 ล้านดอลลาร์ ในปีเดียวกันไทยนำเข้าอาวุธจากจีน 27.9 ล้านดอลลาร์
ตัวเลขนี้ขึ้นๆ ลงๆ และไม่สมมาตรกัน แต่นำมาแสดงให้เห็นว่าทั้งไทยและกัมพูชาเป็นลูกค้าของจีนทั้งคู่
และเมื่อเดือนกรฎาคม ใน WeChat มีบทความหนึ่งของนักวิเคราะห์จีนที่แพร่หลายในระดับหนึ่ง ชื่อว่า "ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา กลายเป็นการทะเลาะวิวาทด้วยอาวุธจีนไปแล้วหรือไม่?"
บทความนี้ชี้ว่า หลังจากที่มีการพบอาวุธจีนถูกใช้ในการรบระหว่างไทยกับกัมพูชา นักวิเคราะห์จีนก็ชี้ว่า "อาวุธจีนเหล่านี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของความขัดแย้งนี้ มีข่าวลือแพร่สะพัดทางออนไลน์ว่ามหาอำนาจทุกประเทศมีฐานที่มั่น (การส่งออกอาวุธ) เป็นของตัวเอง ฐานที่มั่นของสหรัฐอเมริกาคืออเมริกากลาง ฐานที่มั่นของรัสเซียคือเอเชียกลาง ฐานที่มั่นของฝรั่งเศสคือแอฟริกาเหนือ และฐานที่มั่นของจีนคือคาบสมุทรอินโดจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"
"ดังนั้น อาวุธและอุปกรณ์ของหลายประเทศในคาบสมุทรอินโดจีนจึงส่วนใหญ่ผลิตในประเทศจีน ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในปัจจุบันกลายเป็นการต่อสู้ระยะประชิดระหว่างอาวุธของจีน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านกำลังและระดับความขัดแย้งของทั้งสองประเทศ ทำให้ไม่มีการใช้อุปกรณ์ขนาดใหญ่และทันสมัยจำนวนมาก"
"คาบสมุทรอินโดจีน" เป็นอีกชื่อหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่
บทความของนักวิเคราะห์จีนจึงไม่ถูกต้องเต็มร้อย เพราะจริงอยู่ที่ในคาบสมุทรอินโดจีนมรสงครามยิบย่อยมากมายที่ใช้อาวุธจีนจนเรียกได้ว่าเป็น "สงครามกลางเมืองของอาวุธจีน" ได้อยู่ แต่สงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเรียกว่าเป็น "การทะเลาะวิวาทด้วยอาวุธจีน" ไม่ได้ เพราะไทยใช้อาวุธตะวันตกเป็นตัวชูโรง ส่วนกัมพูชาต้องพึ่งอาวุธจีนเท่านั้น
แต่อย่างน้อยทัศนะของชาวจีนก็ช่วยย้ำว่า ทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็ซื้ออาวุธจากจีน
โดยเฉพาะไทยนั้น แม้จะกระจายความหลากหลายด้านอาวุธก็จริง แต่จากข้อมูลของสถาบัน Lowy Institute ระบุว่าก่อนปี 2017 สหรัฐฯ เป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ที่สุดให้กับไทย แต่หลังจากนั้น จีนได้ “แซงหน้า” สหรัฐฯ ไปอย่างมาก ปัจจุบัน โดยจีนไม่เพียงแต่เป็นแหล่งจัดหายุทโธปกรณ์ป้องกันประเทศรายใหญ่ที่สุดของไทยเท่านั้น แต่ยังจัดหาอาวุธมากกว่าสหรัฐฯ เกือบสามเท่าอีกด้วย
Lowy Institute จึงชี้ว่า "ไทยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา แต่มีจีนเป็นซัพพลายเออร์อาวุธรายใหญ่"
และ "สหรัฐอเมริกาได้ลดความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศกับกัมพูชาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2010 และกับไทยนับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2014 หลังจากนั้น จีนได้เพิ่มความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศกับทั้งสองประเทศ" ซึ่งปีทั้งสอง คือปีที่กัมพูชาแสดงท่าทีเป็นมิตรด้านความมั่นคงกับจีนอย่างโจ่งแจ้ง และเป็นปีที่ไทยทำรัฐประหารจนสหรัฐฯ ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทหาร และ "จีนได้ใช้โอกาสนี้ เสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการป้องกันประเทศกับกัมพูชาและไทย หลังจากความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงของทั้งสองประเทศกับสหรัฐอเมริกาเย็นชาลง"
เมื่อไทยกับกัมพูชาต่างก็ใช้บริการของจีน ดังนั้นแล้วจีนกลายเป็นคนผิดไปได้อย่างไร?
ที่ทำให้คนไทยคิดว่า "จีนช่วยกัมพูชา" นั่นก็เพราะเพราะแยกไม่ออกระหว่าง "การซื้ออาวุธ" กับการ "มอบอาวุธให้ฟรีๆ"
ถ้าหากจีนมอบอาวุธให้กัมพูชาฟรีๆ "ในช่วงสงครามกับไทย" แบบนี้คนไทยก็ควรจะต่อต้านจีน เพราะเท่ากับทำตรงกันข้ามกับคำขวัญที่ว่า "จีนไทยใช่อื่นใดพี่น้องกัน"
พี่น้องที่ไหนจะส่งมีดให้คนข้างบ้านมาฆ่าพี่น้องกันเอง จริงไหม?
อีกเรื่องก็คือ การค้าอาวุธเป็น "การค้าตามปกติ" ของโลก การซื้อการขายของประเทศต่างๆ เป็นเรื่องนอกเหนือความรับผิดชอบของคนขายว่า "การเอาไปฆ่าใคร" หรือ "เอาไว้ปกป้องอะไร"
การบอกว่าประเทศที่ขายอาวุธให้เป็นคนผิด แบบนี้ก็ผิดกันทั้งโลก และควรจะประณามสหรัฐอเมริกาด้วยในทุกกรณีของความขัดแย้ง เพราะเป็นผู้ค้าอาวุธรายใหญ่ที่สุด (และยังขาย F-16 ให้ไทยไปบอมบ์กัมพูชาด้วยซ้ำ โดยที่พวกเขมรก็ไม่ได้คร่ำครวญอะไรกับอเมริกัน)
ที่ว่าคนขายอาวุธย่อมเป็นคนผิด ตรรกะแบบนี้ผิดเพี้ยนอย่างมาก เพราะสมมติว่าถ้านาย A ซื้อมีดจากนาย B มาแทงนาย C ความผิดควรจะตกอยู่กับนาย B งั้นหรือ?
สิ่งที่ทำให้ตรรกะผิดเพี้ยนก็คือ "อารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผล"
แน่นอนว่า มันมีสิ่งที่เรียกว่า "จริยธรรมการค้าอาวุธ" (Ethics of Arms Trade) แต่คู่สงครามต่างก็ซื้ออาวุธจากแหล่งเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ปัญหาด้านจริยธรรมจึงไม่อยู่ในวาระที่จะต้องมา "ดีเบต"
และจีนขายอาวุธให้กัมพูชาตามกลไกตลาด ไม่ได้ให้เปล่าหรือช่วยเหลือเพื่อเอาอาวุธนั้นมาเข่นฆ่าคนไทย แม้จีนจะให้อาวุธกัมพูชาฟรีๆ แต่จีนก็อาจจะมองว่าการช่วยเหลือกัมพูชาด้านอาวุธก็เพื่อคานอำนาจกับเวียดนามและสหรัฐอเมริกา
โปรดทราบว่าในช่วงก่อนที่จะเกิดสงครามระหว่างสองประเทศ เวียดนามนั้น "เอียงไปทางสหรัฐฯ และไม่สนิทกับจีน" และ "สหรัฐฯ โจมตีกัมพูชาเพราะสนิทกับจีน"
มีเหตุผลให้คิดว่า จีนอาจจะช่วยกัมพูชาด้านอาวุธ เพราะอาจจะเอาไว้สร้างดุลยภาพทางการเมืองระหว่างประเทศ
ในรายงานของ The New York Times เรื่อง "อาวุธจีนเปลี่ยนสงครามระหว่างเพื่อนบ้านสองประเทศได้อย่างไร" ก็ระบุเอาไว้ว่า กัมพูชาสะสมอาวุธนานหลายปี เพื่อ "ทำลายสภาวะอิหลักอิเหลื่อ" ที่ชายแดน
NYT อ้างนาธาน รูเซอร์ (Nathan Ruser) นักวิเคราะห์จากสถาบันนโยบายเชิงกลยุทธ์ออสเตรเลียกล่าว “หลักฐานทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าบรรดาผู้นำกัมพูชาได้ตัดสินใจร่วมกันในช่วงหลายเดือนและหลายปีก่อนที่จะเกิดการปะทะบริเวณชายแดนเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะเดิม (status quo) ตามแนวชายแดน”
แต่นี่เป็นเพียง "การวิเคราะห์" ไม่ใช่ข้อเท็จจริง และวิเคราะห์ว่ากัมพูชาสะสมอาวุธเพื่อมาเล่นงานไทย
แต่หากได้อ่านบทวิเคราะห์ที่ผ่านมาของผม ก็จะจำได้ว่าผมเคยอ้างนักวิชาการกัมพูชาที่เคยกล่าวไว้ "ในช่วงสันติภาพกับไทย" ว่าแท้จริงแล้วกัมพูชาเห็นเวียดนามเป็นภัยคุกคามมากว่าในเรื่องดินแดน ส่วนไทยเป็นภัยคุกคามในเรื่องนี้น้อยกว่า
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นภัย และไม่ได้หมายความว่ากัมพูชาจะไม่กล้าทำอะไรกับไทย เพราะเป็นที่ทราบกันว่า "ระบอบตระกูลฮุน" มักจะใช้ไทยเป็นเป้าเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาลกัมพูชา
ดังนั้นมันอาจจะเป็นได้ทั้ง "ความระแวงเพื่อนบ้าน" ของกัมพูชา และอาจเป็นได้ทั้ง "การใช้สงครามภายนอกเบี่ยงเบนสงครามภายใน" ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด มันนำไปสู่การสะสมอาวุธครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่ปี จากตัวเลขของสถาบัน IISS เผยว่างบประมาณด้านการทหารของกัมพูชา คือ 1.3 พันล้านนดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20 - 30% ระหว่างปี 2022 - 2023 ทำให้กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มีการเติบโตด้านงบทหารสูงสุด
ผมเคยตั้งคำถามในตอนที่ตัวเลขออกมาใหม่ๆ ว่า "กัมพูชาจะเอาอาวุธไปรบกับใคร?" ผมยังเชื่อนักวิชาการกัมพูชาว่าจะเอาไว้ถ่วงดุลเวียดนามและช่วยจีนถ่วงดุลสหรัฐฯ
แต่บางทีการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์อออสเตรเลียอาจจะถูกก็ได้ว่า กัมพูชาต้องการเปลี่ยนแปลงสถานะของชายแดนไทย
คำถามก็คือ "จีนมองเห็นแนวโน้มที่กัมพูชาจะโจมตีไทยหรือไม่?" หรือมองเห็นว่ากัมพูชาต้องการเปลี่ยนสถานะที่ชายแดนอย่างที่นักวิเคราะห์ชาวออสเตรเลียถามหรือไม่?
คำถามนี้แม้ผมอยากให้จีนตอบ แต่ก็เชื่อว่าจีนจะไม่ตอบตรงๆ (หรืออาจะไม่ตอบเลยก็ได้)
แต่ถ้าไม่ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน ความสัมพันธ์ไทยกับจีนจะมีปัญหา
เพราะแม้จีนไม่ต้องรับผิดชอบด้านจริยธรรมการค้าอาวุธ แต่อาจจะต้องรับ "วิบากกรรม" ในฐานะ "สหายใหญ่" ที่ประสานไทยกับกัมพูชาเอาไว้
ก่อนที่จะเกิดสงครามนั้น ความสัมพันธ์ไทย จีน กัมพูชานั้นเป็น "สามเส้าเหล็ก" สำหรับจีนในภูมิภาคนี้ เพราะจีนใช้กัมพูชาเป็นที่มั่นด้านความมั่นคง ส่วนรัฐบาลไทยก็ใกล้ชิดจีนมากขึ้น หากต้องการจะรักษาอิทธิพลของตนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่ จีนก็แค่คอยสอดส่องไม่ให้กัมพูชานอกลู่นอกทางเท่านั้น
แต่ปรากฏว่ากัมพูชาก็ออกนอกลู่นอกทาง โดยเรียกทรัมป์เข้ามาช่วยบีบไทยให้หยุดยิง เท่ากับ "หักหลังจีน" และทำลาย "สามเส้าเหล็ก"
ในวลานั้นคนไทยรู้สึกเห็นใจจีนที่ถูกกัมพูชา "แปรพักตร์" แต่แล้วกัมพูชาก็ตีสองหน้าไปเลียแข้งเลียขาจีนถึงถิ่น และยังเลียทรัมป์ด้วยจดหมาย
แทนที่จีนจะลงโทษกัมพูชา จีนกลับโอ๋กัมพูชาจนสร้างความงุนงงให้ไทย แต่คนไทยก็ยังไม่เห็นว่าจีนข้าข้างกัมพูชามากกว่าไทย
กระนั้นก็ตาม การที่มีข่าวจาก The New York Times ออกมา แล้วคนไทยมีปฏิกิริยาต่อต้านจีนอย่างรุนแรงนั้น แม้จะ "ตรรกะวิบัติ" แต่มันก็สะท้อนว่าคนไทยคาดหวังอะไรจากจีนอยู่ และระเบิดความผิดหวังนั้นออกมา
เพราะความที่คนไทยมีตรรกะวิบัติเรื่องขายอาวุธ ดังนั้นทางการจีนจึงไม่จำเป็นต้องโต้ด้วยความไม่พอใจ เพียงแต่ควรจะตระหนักว่าในประเทศไทยมี "คลื่นใต้น้ำ" ที่จะกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน คลื่นนี้รุนแรงขึ้นเพราะความไม่ชัดเจนของจีนหลังสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา
ที่น่าสังเกตเรื่องหนึ่งก็คือ รายงานของ The New York Times ไม่ได้อ้างข้อมูล "ประเทศที่สาม" ที่เป็นคู่กรณีกับจีน แต่อ้างข้อมูลข่าวกรองของกองทัพไทย และยืนยันกับเจ้าหน้าที่ไม่เผยนามของกองทัพไทย
เอกสารลับนี้หลุดไปถึงมือ "สื่อตะวันตก" ได้อย่างไร? บางทีนี่ก็อาจจะเป็นคลื่นใต้น้ำลูกหนึ่งเหมือนกัน
ความรู้สึกของคนไทยอาจะเป็น "ปัญหา" มากกว่าตรรกะของคนไทยต่อจีนด้วยซ้ำ
ผมมองเห็นว่าจีนไม่มีพันธะใดๆ ที่จะต้องมาแบกรับ "จริยธรรมการค้าอาวุธ" เพราะอย่างที่บอกไปนี่คือระบบตลาดที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
จีนเองก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนท่าทีกับกัมพูชา เพราะมันเป็นอธิปไตยด้านนโยบายการต่างประเทศของจีนเอง
แต่หากจีนต้องการรักษาสมดุลด้านอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผมคิดว่าสิ่งที่จีนอาจจะต้องพิจารณามากขึ้นก็คือ "เสียงของคนไทย"
เพราะในประเทศต่างๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่นั้น ประชาชนไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรต่อรัฐบาลของพวกเขา
มีแต่ "เสียงของประชนไทย" เท่านั้นที่มีพลังในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สุด
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - นายกรัฐมนตรีฮุนเซนแห่งกัมพูชา (ซ้าย) จับมือกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงแห่งจีน (ขวา) ก่อนการพบปะกันที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2562 (ภาพโดย MADOKA IKEGAMI / POOL / AFP)