โปรดอย่าสะดุ้งเมื่อผมเอ่ยถึง "สนธิสัญญาขายชาติ"
เพราะไม่ได้หมายถึง "MoU" ฉบับใดๆ หรือว่าข้อตกลงลับหลังอะไรระหว่างไทยกับกัมพูชาทั้งสิ้น
แต่ผมหมายถึง "คนขายชาติทั้ง 5" ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเกาหลี ซึ่งทำสัญญากับ "ชาติศัตรู" จนกระทั่งถูกกลืนแผ่นดิน สิ้นสถาบัน กลายเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านตัวเอง
แม้หลังจากนั้น พวกขายชาติจะได้ดิบได้ดีมีอำนาจวาสนา แต่มันไม่ได้ยั่งยืน เพราะผลกรรมของ "คนขายชาติทั้ง 5" กลับยังส่งวิบากมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
ยังไม่นับว่าประวัติศาสตร์จะลงโทษคนเหล่านี้ไปชั่วกัลปาวสาน
คนเอเชียตะวันออกนั้นกลัวการลงทัณฑ์โดยประวัติศาสตร์อย่างมาก เพราะมันให้ผลชั่วลูกหลานนั่นเอง ส่วนในไทยและใกล้ๆ บ้านเราไม่เห็นว่าบันทึกประวัติศาสตร์มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นการ "จองจำคนผิด" อย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่เกรงกลัวว่าคนในอนาคตจะตัดสินตนอย่างไร และไม่กลัวว่าลูกหลานจะต้องรับผิดชอบความผิดของตนอย่างไร
"คนขายชาติทั้ง 5" ที่ว่านี่คือ "คนทรยศทั้ง 5 แห่งปีอึลซา" (乙巳五賊) ซึ่งหมายถึงผู้ทรยศห้าคนแห่ง "จักรวรรดิเกาหลี" ที่สนับสนุนการลงนาม "สนธิสัญญาอึลซาปี 1905"
ต้องอธิบายก่อนว่า "อึลซา" (乙巳) เป็นการนับปีแบบจีน ตรงกับ ค.ศ. 1905
"คนทรยศทั้ง 5 แห่งปีอึลซา" ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อี วัน-ยง, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกองทัพ อี คึน-แทก, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อี จี-ยง, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พัค เจ-ซุน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร พาณิชย์ และอุตสาหกรรม ควอน จุง-ฮยอน
ทั้ง 5 คนนี้ได้ลงนามสัญญาที่เป็นคุณกับญี่ปุ่นแต่เป็นโทษกับเกาหลี และวางเงื่อนไขให้เกาหลีถูกผนวกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น
"สนธิสัญญาอึลซาปี 1905" นั้นไม่ใช่แค่ยอมอ่อนข้อให้ประเทศศัตรูให้ครอบครอง "พื้นที่ทับซ้อน" เหมือน MoU บางประเทศ แต่ถึงกับขายประเทศทั้งประเทศให้อีกประเทศเอาไปครอง
ทำไมคนระดับรัฐมนตรีแค่ 5 คนถึงทำแบบนี้ได้? แล้วนายกรัฐมนตรีมัวทำอะไร พระเจ้าแผ่นดินไปอยู่ไหน และประชาชนมัวทำอะไรอยู่?
หากอ่านเรื่องนี้แล้วเราก็จะเข้าใจว่า สนธิสัญญาหรือบันทึกความเข้าใจต่างๆ ที่ "นักการเมือง" ได้ทำไว้นั้น แม้จะทำกันไม่กี่คน แต่หากทำแบบ "เตะหมูเข้าปากหมา" แล้วไม่มีวันที่มันจะแก้ไขหรือต่อต้านได้ง่ายๆ
ในกรณีของ "สนธิสัญญาอึลซาปี 1905" ก็เหมือนกัน
ในขณะนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการการเมือง ฮัน กยู-ซอล (ซึ่งเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน), รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มิน ยอง-กี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อี ฮา-ยอง คัดค้านสนธิสัญญาดังกล่าว
แต่นายกฯ ฮัน กยู-ซอล ทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ตัวเองควรจะมีอำนาจสูงสุดของฝ่ายบริหาร แต่เพราะ "อำนาจที่แท้จริง" อยู่ในมือของพวกที่สมคบญี่ปุ่น และญี่ปุ่นมีอำนาจทางหารทหารที่จะเอาชีวิตใครก็ได้ ดังนั้น นายกฯ จึงได้แต่มองตาปริบๆ และคัดค้านโดยไร้พลังต่อต้าน จนในที่สุด นายกฯ ฮัน กยู-ซอล ก็ถูกบีบจากญี่ปุ่นให้ลากออกจากตำแหน่ง
พัค เจ-ซุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะมีบทบาทนำในการขายชาติ นัยว่ามีผลงานเข้าตาญี่ปุ่นมากที่สุด
ทำไมพวกรัฐมนตรีถึงได้ขายชาติกันง่ายๆ?
ก่อนอื่น สนธิสัญญานี้เป็นผลมาจากแผนการของญี่ปุ่นจะที่ยึดครองเกาหลีมานานแล้ว แต่เกาหลี (หรืออาณาจักรโชซอน) ในเวลานั้นเป็น "รัฐบรรณาการ" ซึ่งได้รับความคุ้มครองจากของจีน แต่ในปลายศตวรรษที่ 19 จีนอ่อนแอลงมาก ทำให้ญี่ปุ่นเข้ามาแทรกแซงและแผ่อิทธิพลในเกาหลี แม้จีนจะพยายาม "ปกป้องเกาหลี" แต่ก็พ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่น ในขณะเดียวกัน รัสเซียซึ่งเห็นจีนอ่อนแอก็แผ่อำนาจเข้ามาครอบงำจีนภาคอีสานและคิดจะแผ่เข้ามาในคาบสมุทรเกาหลี จนกระทั่งรัสเซียต้องรบกับญี่ปุ่น แล้วก็พ่ายแพ้ญี่ปุ่นไปอีก คราวนี้ญี่ปุ่นจึง "หวานเจี๊ยบ" เพราะไม่มีใครต่อต้านการผนวกเกาหลีแล้ว
ส่วนเกาหลีหรือโชซอนแทนที่จะเร่งพัฒนาตัวเอง กลับทำเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่น เปลี่ยนสถานะจากการเป็น "อาณาจักรโชซอน" มาเป็น "จักรวรรดิเกาหลี" เสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่อำนาจของตนในการเป็นจักรวรรดิก็ไม่มี และควรจะดำเนินการทางการทูตกับมหาอำนาจตะวันตกแบบน้อมมากว่าเพื่อให้มาช่วยคานอำนาจญี่ปุ่น
หลังจากรัสเซียแพ้สงครามกับญี่ปุ่นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1905 อิโต ฮิโระบุมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นหลายสมัยและผู้แทนการเจรจา ได้เดินทางมาถึงกรุงโซลในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1905 และได้ข่มขู่จักรพรรดิโคจงแห่งจักรวรรดิเกาหลี โดยยื่นพระราชสาส์นส่วนพระองค์จากจักรพรรดิญี่ปุ่นซึ่งมีใจความว่า “ข้าพเจ้าได้ส่งทูตไปรักษาสันติภาพในตะวันออกแล้ว โปรดดำเนินการภายใต้การสั่งการของทูต” นั่นคือสั่งให้เจ้าเกาหลีต้องฟังทูตญี่ปุ่นเท่านั้น เท่ากับทำให้เจ้าเกาหลีกลายเป็น "บริวารของจักรวรรดิญี่ปุ่น" (ซึ่งมีอำนาจของความเป็นจักรพรรดิที่แท้จริงไม่ได้มโนขึ้นมาเอง)
วันที่ 15 พฤศจิกายน อิโต ฮิโระบุมิ ได้นำเสนอข้อเสนอสนธิสัญญาเกาหลี-ญี่ปุ่นต่อจักรพรรดิโคจงอีกครั้ง และเรียกร้องให้จักรพรรดิโคจงลงนามอย่างแข็งกร้าว ในเวลาเดียวกัน ฮายาชิ กอนสุเกะ ทูตญี่ปุ่นประจำเกาหลี และฮาเซกาวะ ผู้บัญชาการกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นประจำเกาหลี ได้ล้อมพื้นที่ภายในและภายนอกของพระราชวังท็อกซูกุง เท่ากับบีบคั้นทั้งทางวาจาและด้วยกำลัง
แต่ถึงขนาดนี้ จักรพรรดิโคจงก็ทรงมีขัตติยมานะ โดยทรงปฏิเสธที่จะให้สัตยาบันสนธิสัญญา แม้อิโต ฮิโระบุมิจะกดดันอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น จักรวรรดิญี่ปุ่นจึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์และเริ่มติดสินบนและเกลี้ยกล่อมรัฐมนตรีของรัฐบาลเกาหลี วันที่ 11 พฤศจิกายน ฮายาชิ กอนสุเกะ ได้เรียกตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พัค เจ-ซุน ไปยังสถานทูตญี่ปุ่น และกดดันให้เขาลงนามในสนธิสัญญา ขณะเดียวกัน อิโต ฮิโระบุมิ ได้เรียกรัฐมนตรีทั้งหมดมายังจวนของเขา และออกคำสั่งให้พวกเขาเห็นชอบสนธิสัญญา
หลังจากบีบคั้นอยู่พักใหญ่ ในที่สุด พวกญี่ปุ่นก็เรียกรัฐมนตรีแต่ละคนมาถามความเห็นกันตรงๆ ว่าจะเอาหรือไม่เอาด้วยกับสนธิสัญญา เวลานี้เองที่ "คนทรยศทั้ง 5 แห่งปีอึลซา" ยินยอมลงนาม และในเวลานั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการการเมือง ฮัน กยู-ซอล ก็เริ่มร้องไห้โฮเสียงดังอย่างกะทันหัน จึงถูกนำตัวไปยังห้องแยกต่างหาก อิโต ฮิโระบุมิถึงกับ ตะโกนว่า “ถ้ายังทำเรื่องวุ่นวายแบบนี้อีก ฉันจะฆ่าแกซะ”
หลังจากรัฐมนตรี 5 คนจาก 8 คนลงมติเห็นชอบ อิโต ฮิโระบูมิ ก็ประกาศว่าสนธิสัญญานี้ผ่านความเห็นชอบแล้ว และบังคับให้จักรพรรดิโคจงออกพระราชกฤษฎีกาในคืนนั้น พร้อมกับขโมยพระราชลัญจกรของจักรพรรดิโคจงมาลงพระปรมาภิไธยอีกด้วย
"สนธิสัญญาอึลซาปี 1905" คือการมอบอำนาจให้ญี่ปุ่นบริหารจัดการเกาหลีในฐานะรัฐอารักขา และในอีกไม่กี่ปีต่อมา ญี่ปุ่นจะใช้มันเป็นรากฐานการผนวกเกาหลีเป็นส่วนหนึ่งญี่ปุ่นอย่างสมบูรณ์โดยยกเลิกระบอบกษัตริย์ สั่งให้คนเกาหลีต้องเป็นพลเมืองญี่ปุ่น ใช้ชื่อญี่ปุ่น พูดภาษาญี่ปุ่น และนับถือศาสนาแบบญี่ปุ่น
ดังนั้น "สนธิสัญญาอึลซาปี 1905" คือการขายชาติให้คนอื่นกลืนชาติโดยสมบูรณ์แบบ
หลังจากที่ญี่ปุ่นนผนวกเกาหลีเป็นส่วนหนึ่งของตน พวก "คนทรยศทั้ง 5 แห่งปีอึลซา" ก็ได้ดิบได้ดีกันมากมาย ทั้งหมดได้รับการอวยยศเป็นขุนนางศักดินาตามทำเนียบบรรดาศักดิ์ของญี่ปุ่น และเป็นคณะองคมนตรีของข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองเกาหลีของญี่ปุ่น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พัค เจ-ซุน นั้น หลังจากลงนามสนธิสัญญาผนวกญี่ปุ่น-เกาหลีในปี 1905 ก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นชิชะกุ (子爵 เทียบกับยศตะวันตกคือ Viscount เทียบกับไทยคือ "หลวง") ชั้น 1 จากรัฐบาลญี่ปุ่น และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาคณะองคมนตรีของรัฐบาลเกาหลี เขาได้รับพันธบัตรมูลค่า 100,000 วอน ซึ่งถือว่ามั่งคั่งอย่างมาก แม้แต่ลูกชายของเขา คือ พัค บู-ยัง ก็ได้ดำรงตำแหน่งเลขานุการของคณะองคมนตรี ทั้งบิดาและบุตรชายมีชีวิตที่มั่งคั่งซึ่งเป็นที่อิจฉาของผู้อื่นในช่วงยุคที่เกาหลีตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น
แม้จะมียศและมั่งมีแต่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวง เพราะตกเป็นเป้าหมายและถูกโจมตีจากนักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราช แม้แต่คนทั่วไปก็คิดจะทำร้ายเขา แต่เขารอดชีวิตมาได้เพาะอาศัยทหารญี่ปุ่นคอยอารักขาเวลาไปทำงาน
พวกคนทรยศทื่เหลือก็หวาดระแวงกระทั่งหมอรักษาโรคและคนทั่วไป เพราะกลัวถูกเอาชีวิต พวกนี้จึงต้องอาศัยทหารญี่ปุ่นคอยคุ้มครองเวลาไปไหนต่อไหน
หลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว แม้ลูกชายจะสืบทอดตำแหน่งต่อไป แต่หลานชาย คือ พัค ซึง-ยู กลับเป็นนักต่อสู้เพื่อเอกราชของเกาหลี และได้ลั่นวาจาเอาไว้ว่า “ทำไมปู่ไม่ฆ่าตัวตายไปเสียเลย ทำไมท่านถึงทำให้ลูกหลานต้องอับอายขายหน้าขนาดนี้?”
กล่าวกันว่าที่ พัค เจ-ซุน ไม่ได้ถูกย่ำยีเท่ากับ "คนทรยศทั้ง 5 แห่งปีอึลซา" คนอื่นๆ ก็เพราะคุณงามความดีของหลานคนนี้ แต่กระนั้นหลังจากตายไปประวัติศาสร์ก็ลงโทษเขาอยู่ดี
เช่น ในเมืองคงจู จังหวัดชุงชองนัมโด ในปี 2020 มีการสร้างอนุสรณ์เปิดโปงการสมคบญี่ปุ่นของเขา โดยตั้งไว้ที่ด้านหน้า "คอซาบี" (거사비/去思碑) หรืออนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อยกย่องความสำเร็จของของข้าราชการที่ทำเพื่อปวงชน เพราะเดิมทีนั้น พัค เจ-ซุน มีความดีความชอบในการปราบปรามการปฏิวัติชาวนาทงฮักในเมืองคงจู ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดชุงชองนัมโด แต่ "ความชั่ว" ของเขานั้นล้ำเกินความดีความชอบ ป้ายประกาศความชั่วจะต้องตั้งไว้หน้าป้ายประกาศความดี
ดังที่ จัง จี-ยอน นักหนังสือพิมพ์และปัญญาชนในยุคนั้นได้กล่าวไว้ว่า “อา พวกเขายกแผ่นดินอายุ 4,000 ปีและอาณาจักรอายุ 500 ปีให้คนอื่นไป และทำให้สิ่งมีชีวิต 20 ล้านตนตกเป็นทาสของคนอื่น ไม่จำเป็นต้องตำหนิรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พัค เจ-ซุน และรัฐมนตรีคนอื่นๆ ให้หนักกว่านี้แล้วว่าเลวร้ายยิ่งกว่าสุนัขและหมู”
"แผ่นดินอายุ 4,000" หมายถึงประวัติศาสตร์ของชนชาติเกาหลี และ "อาณาจักรอายุ 500 ปี" หมายถึงอาณาจักรโชซอน
ในยุคปัจจุบัน "คนขายชาติ" เหล่านี้ถูกลงโทษย้อนหลังด้วยกฎหมายที่ผ่านในยุคนี้ คือ "กฎหมายพิเศษว่าด้วยการสืบสวนการกระทำต่อต้านชาตินิยมภายใต้การปกครองอาณานิคมของญี่ปุ่น" (일제강점하 반민족행위 진상규명에 관한 특별법) ที่ผ่านโดยสภาเมื่อปี 2004 ความผิดของ พัค เจ-ซุน ถูกระบุว่ากระทำต่อต้านชาติเกาหลีและนิยมญี่ปุ่น ตามมาตรา 2 วรรค 6, 7, 9, 13 เป็นต้น
วรรค 6. การกระทำอันเป็นการทำหรือลงนามในสนธิสัญญาอึลซา สนธิสัญญาผนวกญี่ปุ่น-เกาหลี หรือสนธิสัญญาอื่นใดที่ละเมิดอธิปไตยของชาติ หรือสมรู้ร่วมคิดที่จะกระทำการดังกล่าว
วรรค 7. การกระทำอันเป็นการรับหรือสืบทอดตำแหน่งอันพึงมีเกียรติในสนธิสัญญาผนวกญี่ปุ่น-เกาหลี
วรรค 9. การปฏิบัติหน้าที่เป็นรองประธาน ที่ปรึกษา หรือสมาชิกสภาองคมนตรีของรัฐบาลเกาหลี (ยุคอาณานิคมญี่ปุ่น)
วรรค 13. ร่วมมืออย่างแข็งขันกับการปกครองอาณานิคมและสงครามรุกรานของจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นโดยเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อการรวมตัวภายในหรือการสร้างจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นผ่านสถาบันหรือองค์กรทางวัฒนธรรมกลาง
นอกจากนี้ ชื่อของเขายังอยู่ใน "รายชื่อผู้ร่วมมือสนับสนุนญี่ปุ่น 708 คน" (친일파 708인 명단/親日派 708人 名單) อันเป็นรายชื่อบุคคลสำคัญ 708 คนที่สนับสนุนญี่ปุ่นจนทำให้เกาหลีต้องสิ้นชาติ ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2002 โดย "กลุ่มแห่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อสถาปนาจิตวัญญาณแห่งชาติ"
ที่ยกกฎหมายของประเทศเกาหลีใต้ยุคปัจจุบันมาให้ดู ก็เพื่อให้คนไทยเราเห็นว่า "การขายชาติ" จะไม่มีวันถูกลืมในเกาหลีใต้ ตราบใดที่คนรุ่นหลังยังจดจำการกระทำนั้นไว้ และบันทึกมันในรูปของประวัติศาสตร์และนิติบัญญัติ
ไม่มีคำว่าสาย หากจะลงทัณฑ์คนที่ทำลายบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตน
แต่กรณีของ พัค เจ-ซุน ยังถือว่าน้อยเทียบกับคนอื่นๆ อย่างที่บอกไว้ว่าคงเพราะหลานของเขา "ทำความดี" จนบรรเทาผลกรรมที่ลูกหลานจะได้รับ เพราะคนทรยศรายๆ อื่นๆ นั้นวงศ์ตระกูลรุ่นหลังต้องพังพินาศกันเลยทีเดียว
แต่โปรดติดตามตอนต่อไป เพราะตอนนี้คงจะอ่านกันเหนื่อยเกินไปแล้ว!
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - จักรพรรดิโคจง ถ่ายโดย Percival Lowell เมื่อปี 1884