รู้ให้ลึกก่อนโค่นระบอบ'ฮุน'นี่คือวิธีที่รัฐบาลกัมพูชาเลียนแบบ'ระบอบล้างสมอง'สูตรสำเร็จตระกูล'คิม'

รู้ให้ลึกก่อนโค่นระบอบ'ฮุน'นี่คือวิธีที่รัฐบาลกัมพูชาเลียนแบบ'ระบอบล้างสมอง'สูตรสำเร็จตระกูล'คิม'

ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะสังเกตเห็นความเหมือนระหว่างกัมพูชากับเกาหลีเหนือ

ไม่ใช่เพราะคฤหาสน์ของฮุน เซน อยู่ติดสนิทแนบสถานทูตเกาหลีเหนือในพนมเปญ บน ถนนพระสุรามฤต

หรือเพราะฮุน เซน "รักเกาหลีเหนือ" จนพยายามดึงเข้ามาร่วมการประชุมในภูมิภาค คือ ASEAN Regional Forum ได้สำเร็จ และเป็นที่ยืนเดียวของเปียงยางในเวทีโลก นอกเหนือจาก UN

ฮุน เซน มีพระคุณต่อเกาหลีเหนือขนาดนี้!

แต่ยังมีลักษณะทางการเมืองอีกมายที่ทำให้ทั้งคู่เหมือน "ฝาแฝดคนละภูมิภาค" หรือ "แฝดคนละฝาในการเมืองระหว่างประเทศ" 

เกาหลีเหนือสืบทอดอำนาจผ่าน "ตระกูลคิม" ส่วนกัมพูชาสืบทอดผ่าน "ตระกูลฮุน"

ทั้งสองตระกูลควบคุมอำนาจรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ ไม่มีฝ่ายค้าน มีแต่ฝ่ายสนับสนุน ดังนั้นกาสั่งการจึงรวมศูนย์อย่างมีประสิทธิภาพ

สื่อของเกาหลีเหนืออยู่ภายใต้อำนาจของกรมโฆษณาชวนเชื่อ ต้องนำเสนอข่าวในทิศทางเดียวกันเท่านั้น โดยชี้นำโดย คิม ยอ-จอง น้องสาวของผู้นำสูงสุด คิม จอง-อึน 

สื่อของกัมพูชาอยู่ภายใต้การบงการของรัฐ ไม่มีสื่อหน้าไหนที่ตั้งคำถามกับตระกูลฮุน รัฐบาลฮุน และแม้แต่เอ่ยถึงความผิดพลาดของคนเหล่านี้ โดยการควบคุมสื่ออยู่ในกำมือขอ ฮุน มานา น้องสาวของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

สิ่งที่ต่างกันประการเดียวคือ เกาหลีเหนือเป็นประเทศปิด กัมพูชาเป็นประเทศเปิด ซึ่งหมายถึงการเปิดให้คนนอกเข้าไปได้ง่าย แต่ไมได้หมายความว่าเมื่อเข้าไปในกะมพูชาแลเว แม้จะเดินด้วยขาตนเอง ดูด้วยตาของเรา ก็ไม่ยังไม่อาจเห็น "ความจริง" ได้ เพราะความจริงถูกบดบังด้วยอำนาจเผด็จการ

ดังนั้น ในแง่หนึ่งกัมพูชาก็คือประเทศปิดแบบเกาหลีเหนือ

สิ่งที่คล้ายกันที่สุดอีกอย่างคือ เพราะการถูปิดบังความจริงและการถูกสื่อของรัฐ "ล้างสมอง" ทำให้คนทั้งสองประเทศ "อยู่ในกะลา" ไม่ได้แลเห็น "ความจริงสากล" แต่เชื่อใน "ความจริงที่แต่งขึ้นมา" โดยรัฐบาล

ตัวอย่างเช่น เกาหลีเหนือสร้างลัทธิบูชาผู้นำ (Cult of personality) สร้างกระบวนการที่สมบูรณ์แบบเพื่อทำให้ประชาชน "บูชาตระกูลคิมเหมือนพระเจ้า" 

ไม่ใช่แค่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าพวกคิมจะเก่งไปเสียทุกเรื่องจนเหมือนเทวดาเดินดิน แต่ยัง "แต่งเรื่อง" ให้พวกคิมรับความความชอบทางประวัติศาสตร์เพียงแต่ผู้เพดียว

เช่น การแต่งเรื่องว่า คิม อิล-ซอง ผู้นำรุ่นปู่ของตระกูลคิม เป็นผู้ทำสงครามกองโจรขับไล่ญี่ปุ่นออกไปจากการยึดครองเกาหลีเป็นอาณานิคม "แต่เพียงผู้เดียว" ทั้งๆ ที่การไล่ญี่ปุ่นออกไปจากคาบสมุทรเกาหลี เป็นผลงานร่วมกันของกองทัพอเมริกัน ซึ่งเข้ายึดทางใต้ และกองทัพสหภาพโซเวียตที่บุกยึดทางเหนือ

แม้ คิม อิล-ซอง เองก็รับความช่วยเหลือจากกองทัพโซเวียตในการยึด "เกาหลีเหนือ" แล้วตั้งเขาเป็นผู้นำของฝ่ายเหนือ (คอมมิวนิสต์) พูดง่ายๆ ก็คือ หากไม่มีโซเวียต คิม อิล-ซอง ก็คือผู็นำกองโจรธรรมดาๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้น 

แต่ในประวัติของ คิม อิล-ซอง ที่ป่าวประกาศในเกาหลีเหนือ ไม่ได้ให้เครดิตสหรัฐฯ (ซึ่งเข้าใจได้เพราะเป็นศัตรูกัน) แต่ยังไม่ได้เอ่ยถึงโซเวียตด้วยซ้ำ โดย "โกหก" ว่า คิม อิล-ซอง ปลดปล่อยประเทศเพียงลำพัง

นี่คือการสร้างมุนษย์เดินดินให้เป็นเทวดา เมื่อทำการล้างสมองไปมากๆ เข้า ประชาชนก็จะรู้สึก "ติดหนี้บุญคุณ" ของผู้นำและคิดว่าเขาเป็น "พระมาโปรด"

ไม่เท่านั้น การโฆษณาชวนเชื่อยังบิดเบื้อง "คำอธิบายวาทกรรม" (Narrative) เรื่องสงครามเกาหลีแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า คือ "ความจริงสากล" เป็นที่รู้กันวาเกาหลีเหนือรุกรานเกาหลีใต้ก่อน ทำให้สหประชาชาติต้องส่งกำลังไปช่วยเกาหลีเหนือ จนกลายเป็นสงครามเกาหลีอันนองเลือด

แต่ในเกาหลีเหนือ กลับสร้าง "ความจริงปรุงแต่ง" ว่า เกาหลีใต้เป็นฝ่ายรุกรานเกาหลีเหนือก่อน ท่านผู้นำจึงต้องทำการตอบโต้ และย้ำภาพลักษณ์ของเกาหลีใต้ว่าเป็น "สุนัขรับใช้" ของพวกอเมริกัน ส่วนตระกูลคิมคือ "พระผู้ช่วยให้รอด"

ผมเคยย้ำหลายครั้งแล้วว่า "คำอธิบายวาทกรรม" เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการแย่งชิงความชอบธรรมในสงคราม ในกรณีของเกาหลีเหนือได้ใช้การโฆษณาชวนเชื่ออันทรงอานุภาพทำให้ประชนชนเชื่อความเท็จนี้ ก็เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่าสงครามเกาหลีนั้นชอบธรรม ต่อให้ตายเป็นแสนเป็นล้านก็ไม่ควรปริปากบ่น และหากไม่มีผู้นำตระกูลคิม เกาหลีเหลือพินาศไปแล้ว

"คำอธิบายวาทกรรม" แบบที่เกาหลีเหนือใช้นี้ พวกฮุนแห่งกัมพูชาก็เลียนแบบเอามาด้วย ดังที่เราจะเห็นว่า ตระกูลฮุนให้สื่อกระจาย "คำอธิบายวาทกรรมสงคราม" ของตนเอง ว่าไทยเป็นฝ่ายโจมตีก่อน กัมพูชาต้องการสันติภาพ และประเทศเล็กไม่อาจโจมตีประเทศใหญ่ 

ชาวกัมพูชานั้นถูกครองงำด้วย "คำอธิบายวาทกรรม" สองชั้น คือ หนึ่ง วาทกรรมที่ถูกฝังหัวว่า "ไทยเป็นโจรปล้นแผ่นดินและวัฒนธรรมเขมร" ทำให้คนกัมพูชาเกลียดไทยโดยสันดานลึกๆ และ สอง วาทกรรมที่พวกฮุนสานต่อจากข้อหนึ่ง คือเมื่อประชาชนเกลียดไทยเป็นทุนเดิมแล้ว ก็ย่อมเชื่อว่าไทยต้องโจมตีก่อนแน่ๆ ไม่มีทางเป็นอื่น

พวกฮุนได้อาศัยกลวิธี "ความจริงปรุงแต่ง" แบบเกาหลีเหนือดังนี้ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำสงคราม

สิ่งที่พวกฮุนยังทำไม่สำเร็จแบบเกาหลีเหนือ คือ สร้าง "ลัทธิบูชาผู้นำ" 

พวฮุนพยายามสร้าง Cult of personality อยู่ แต่เพราะ "บารมี" ไม่ถึงประชาชนจึงยังไม่กราบไหว้บูชา แม้จพยายามทำละครยกยอปอปั้น "วีรกรรม" ของ ฮุน เซน เรื่อง "ลูกชายใต้เงาจันทร์เพ็ญ" แล้วโปรโมทในช่วงสงครามกับไทย ประชาชนก็ดูกันแบบแกนๆ 

แต่อย่างน้อยคนกัมพูชาก็ยังเชื่อถือในคำพูดของพวกฮุน เพราะสมองของคนกัมพูชาถูกกดไว้ด้วยวาทธรรมสองข้อที่เอ่ยไว้ข้างต้น 

ตราบใดที่คนกัมพูชาเชื่อวาทกรรมหลอกลวงของตระกูลฮุน ตราบนั้น ตระกูลฮุนก็ยังจะครองอำนาจต่อไป โดยจำเป็นจะต้องสร้างความขัดแย้งกับไทยอยู่เนืองๆ ทั้งด้วยการสร้างความเท็จ หลักฐานเท็จ และแม้แต่การโจมตีตรงๆ ต่อไทยเพื่อ "สร้างบารมี" ในสายตาประชาชน

ตัวอย่างเช่น ในเกาหลีเหนือ "ลัทธิบูชาผู้นำ" อ่อนแอลงมาเมื่อถึงรุ่นหลาน คือ "คิม จอง-อึน" ผู้คนไม่เชื่อว่าพวกคิมเป็นเทวดามาโปรดอีกแล้ว แม้บารมีของปู่ คือ คิม อิล- ซองยังมีอยู่แต่ คิม จอง-อึน จะกินบุญเก่าของปู่อย่างเดียวไมได้ 

ในเมื่อประชาชนเริ่มสงสัยในวาทรรมเท็จที่รัฐบาลสร้างขึ้นมา วิธีการเดียวก็คือต้องทำให้ประชาชนเห็นว่าตระกูลคิมยังมีความจำเป็นและปกป้องพวกเขาได้ ดังนั้น เมื่อ คิม จอง-อิล ผู้พ่อเตรียมจะให้ คิม จอง-อึน ผู้ลูกรับตำแหน่งผู้นำประเทศในกาลต่อไป จึงทำการโจมตีเกาหลีใต้ที่เกาะยอนพยอง เมื่อปี 2010 

การโจมตีเกาะยอนพยองเป็น "สัญลักษณ์ทางการเมือง" อย่างหนึ่งเพราะเป็นเหตุการณ์แรกนับตั้งแต่ข้อตกลงสงบศึกสงครามเกาหลีที่กองทัพประชาชนเกาหลีเหนือโจมตีดินแดนเกาหลีใต้โดยตรง ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต

ในเวลานั้น หนังสือพิมพ์อาซาฮีชิมบุนของญี่ปุ่นรายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวจากเกาหลีเหนือว่า “เมื่อต้นเดือนที่แล้ว (ก่อนการโจมตี) มีการออกคำสั่งในนามของ คิม จอง-อึนไให้เจ้าหน้าที่กองทัพประชาชนเกาหลี ‘เตรียมพร้อมสำหรับการตอบโต้ทุกเมื่อเพื่อตอบโต้การยั่วยุของศัตรู’” จากนั้น มีการวิเคราะห์ว่าการโจมตีเกาะยอนพยองเป็นความพยายามที่สร้างบารมีทางการเมืองให้กับ คิม จอง-อึน ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในฐานะผู้สืบทอดอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพราะมีการสร้างภาพในเกาหลีเหนือว่า คิม จอง-อึน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปืนใหญ่ แน่นอนว่า เขาไม่เคยมีดีกรีการศึกษาเรื่องปืนใหญ่และไม่เคยรบจริงด้วยซ้ำ อย่าว่าจะเป็นทหารจริงๆ เลย

กระนั้น การถล่มเกาะยอนพยองมีเหตุของแบบของเกาหลีเหนือ นั่นคือปั่นให้ประชาชนเชื่อว่าการซ้อมรบของเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ ในแถบนั้นเป็น "การรุกราน" และต้องตอบโต้ แม้ว่าฝ่ายเกาหลีใจต้จะไมได้ล้ำเส้นเลยก็ตาม แต่พวกเขาไม่รู้ตัวเองตกเป็นเครื่องมือของการสร้างตัวตนให้กับคิม จอง-อึน ไปเสียแล้ว 

นี่คือลักษณะสำคัญของ "ลัทธิบูชาผู้นำ" นั่นคือการสร้างบารมีที่น่าเกรงขามให้ประชาชนได้ประจักษ์ โดยอาศัยสงครามและ "การทำให้คนๆ หนึ่งเป็นฮีโร่" เป็นเครื่องมือ

เกรงว่าตระกูลฮุนก็ใช้วิทยายุทธ์นี้ด้วย แม้ว่าในตอนแรก ฮุน เซน อาจจะไม่คาดว่าจะต้อง "ทำสงคราม" กับไทย แต่เมือดีดลูกคิดรางแก้วแล้วเห็นว่า กระแสต่อต้านลูกชายแลระบอบฮุน เริ่มที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะฝ่ายตรงข้ามในต่างแดนสามารถจุดประเด็นเรื่อง "ฮุนขายชาติให้ชินวัตร" ได้สำเร็จ รวมถึงฝ่ายตรงข้ามยังทำให้คนกัมพูชา (ที่เชื่อเรื่อง "โจรสยามปล้นแผ่นดิน" เป็นทุนดิมอยู่แล้ว) ยังสามารถทำให้คนเขมรเชื่อว่ารัฐบาลฮุนไม่เต็มใจที่จะปกป้องแผ่นดิน

นี่คือเหตุที่ ฮุน เซน ต้องทำสงครามกับไทย หนึ่งก็คือ เพื่อรักษา "บารมี" ของตนเองไว้ สอง ก็เพื่อเสริมบารมีของลูกชาย คือ ฮุน มาเนต ทีเพิ่งรับตำแหน่งใหม่ๆ ทว่า ผลงานก็ไม่มี แถยังเสี่ยงจะถูกโค่นล้มอีกต่างหาก

ฮุน เซน ได้เล็งเห็นแล้วว่าถ้าไม่ใช้ "พิชัยสงครามเกาหลีเหนือ" ลูกของตนจะอยู่ไม่รอด ดังนั้นจึงใช้สูตรเดียวกับ "สูตรโจมตีเกาะยอนพยอง" ของเกาหลีเหนือ เพื่อทำให้คนเกัมพูชาตระหนักว่าตระกูลฮุนยังมีความจำเป็น และภัยคุกคามจากภายนอกเป็นสิ่งที่อันตรายมากกว่า 

เช่นเดียวกับคนเกาหลีเหนือ คนกัมพูชาเจอไม้นี้เขาก็เชื่อหัวปักหัวปำ 

แม้จะมี "ไพร่พล" ล้มตายมากมายเพราะการใช้สงครามของพวกฮุน แต่พวกฮุนก็ใช้วิธีของพวกคิมในการทำให้ "ไพร่พล" เหล่านั้นยอมตาย ในขณะเดียวกันผู้นำที่ไม่เจ็บไม่ตายก็ยังสามารถกลายเป็นเทวดายิ่งขึ้นไปอีก

เช่น กรณีของ คิม อิล-ซอง แม้จะพาคนไปตายเพราะรุกรานเกาหลีใต้ (โดยโกหากว่าเกาหลีใต้รุกราน) เขาก็จะใช้พลิกความผิดพลาดนี้เป็นการ "ทำให้ตัวเองเป็นวีรบุรุษ" เช่น เพราะทหารล้มตายไปมากมาย ทำให้มีเด็กกำพร้าเหลือคณานับ 

จากนั้น คิม อิล-ซอง ก็จะทำแคมเปญ "ตามหาลูกวีรชน" เพื่อเลี้ยงดูลูกกำพร้าเหล่านั้น ล้างสมองให้เด็กๆ คิดว่าเขาคือพระมาโปรด และบอกกับเด็กๆ ว่า "เขาคือพ่อคนใหม่" เพียงเท่านั้น เด็กๆ ก็จะเห็นว่า คิม อิล-ซอง ไม่ใช่คนที่พาพ่อแท้ๆ ของพวกเขาไปตาย แต่เป็น "พ่ออีกคน" และเพราะลูกกำพร้าเหล่านี้ยังเป็นลูกของ "วีรชน" ก็ยิ่งทำให้ คิม อิล-ซอง ถูกมองว่าเป็น "วีรชนเหนือวีรชน"

นี่คือพลังของ Cult of personality  ในเกาหลีเหนือ

แน่นอนว่าพวกฮุนก็ใช้ไม้นี้เหมือนกันกับครอบครัวของทหารที่บาดเจ็บล้มตาย ให้คนเหล่านี้ซาบซึ้งใจที่เบื้องบนยังไม่ทอดทิ้ง โดย บุน รานี ถึงขนาดหลั่งน้ำตา และ ฮุน เซน เอ่ยถึง "เด็กทารก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ คนพิการ” ที่ต้องตกระกำลำบาก

แน่นอนว่า "ระบอบพ่อปกครองลูก" แบบนี้เป็นการแสดงละครตบตาแท้ๆ และมีไม่กี่คนที่ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงลูก แต่เพราะผู้คนหลงอยู่ในวาทกรรมจอมปลอม ทำให้ละครฉากนี้สร้างหวังผลสูงทางการเมืองได้ไม่ยากนัก

ฮุน เซน นั้นแม้จะลอกพิชัยสงครามของเกาหลีเหนือและสนิทกับเกาหลีเหนือขนาดนี้ แต่เขากลับเปิดสัมพันธไมตรีกับเกาหลีใต้ แม้ว่า “ในเวลานั้น พระบาทนโรดม สีหนุ ทรงตระหนักถึงความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ และทรงคัดค้านความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้” ก็ตาม (ตามคำกล่าวของฮุน เซนเอง)

การเปิดสัมพันธ์กับเกาหลีใต้ก็คงไม่ใช่เพราะเกาหลีใต้มั่งคั่ง แต่คงเป็นเพราะฮุน เซน จะใช้เกาหลีใต้เป็นเครื่องมือต่อรองกับ "ค่ายเกาหลีเหนือ" ซึ่งมีเจ้าสีหนุเป็นผู้นำและสนิทสนมกับเกาหลีเหนืออย่างมาก 

สุดท้ายแล้ว ฮุน เซน ก็กุมพวก "เจ้า" เอาไว้ในกำมือ แต่แทนที่จะเลี่ยงสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ เขากลับสานต่อเป็นไมตรีกับเปียงยาง และเลียนแบบแนวคิดหลายๆ ประการ สนิทสนมกันกระทั่งให้สถานทูตเกาหลีเหนือมาตั้งอยู่หน้าบ้านของตน

นี่คือเล่ห์เหลี่ยมการเมืองระหว่างประเทศของฮุน เซน ซึ่งเขากำลัง "คายตะขาบ" ถ่ายทอดพลังวัตรนี้ให้กุบลูกชายของเขา

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo

  • Samdech Hun Sen of Cambodia / Facebook
  • Photo by KCNA VIA KNS / AFP


 

TAGS: #ฮุนเซน #ฮุนมาเนต #กัมพูชา #คิมจองอึน #เกาหลีเหนือ