หลังจากที่สำนักงานตำรวจเขตเฉาหยางในกรุงปักกิ่งมีประกาศว่า "บุคคลแซ่อวี๋ (ชาย อายุ 37 ปี) ตกตึกเสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจขณะเมาสุรา" และเผยว่าได้จับกุมผู้ปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ 'บุคคลแซ่อวี๋'
ผมก็เกิดความความคิดว่าอีกไม่นานหรอก ทางการจีนคงจะดำเนินการอะไรสักอย่างเพื่อควบคุมโซเชียลมีเดียหรือไม่ก็วางกรอบกับ 'วงการบันเทิง'
ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้น สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) ก็ประกาศการปราบปรามโซเชียลมีเดียอย่างครอบคลุมเป็นเวลาสองเดือน โดยเฉพาะการล้างบางเนื้อหาที่มี "การยุยงปลุกปั่นความขัดแย้งอย่างมุ่งร้าย"
'บุคคลแซ่อวี๋' ที่ตำรวจบอกว่าเสียชีวิตเพราะตกตึกเสียชีวิตขณะเมาสุรา ก็คือ 'อวี๋เหมิงหลง' นักแสดงชายที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง
แต่หลังการเสียชีวิตของเขา 'ชาวเน็ต' ก็ตั้งข้อสงสัยมากมายว่าเขาคงจะไม่ได้ตกตึกเพราะอุบัติเหตุ แต่อาจเป็นเพราะเงื่อนงำอื่น
หลังจากนั้นก็มีการปล่อยข่าวโดยบางเพจในโซเชียลมีเดียจีนว่า "ได้รับข่าวจากวงใน" อย่างโน้นอนย่างนี้ จนกระทั่งทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับการตายของ 'อวี๋เหมิงหลง' แพร่หลายไปทั่ว
ผมเองก็สนใจเรื่องนี้เช่นกัน แต่ในฐานะนักข่าวจึงต้องซักถามผู้ที่สนใจ 'ทฤษฎีสมคบคิด' เกี่ยวกับกรณีนี้ว่า "ที่บอกว่ามีหลักฐานต่างๆ นานา และมีคลิปหลักฐาน" หลักฐานเหล่านั้นมาจากไหนและใครเป็นคนให้ข้อมูล
ปรากฎว่าบุคคลนั้นไม่สามารถตอบได้
การซักถามนี้ไม่ใช่เพื่อจะเอาชนะ แต่เพราะต้องการจะทราบ 'ความจริง' แท้ๆ แต่ตอนนี้ก็ยังหาความจริงไม่พบจากข่าวลือ
ที่หนักกว่านั้นก็คือ การเสียชีวิตของเขาถูกทำให้เป็นเรื่องการเมืองเสียอย่างนั้น โดยอ้างว่า 'เบื้องบน' สั่งให้ปิดข่าว และบางเพจ (นอกจีน) ก็ยังอ้างด้วยซ้ำว่ามี 'คนใหญ่คนโต' เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
แน่นอนว่าหลักฐานอะไรก็ไม่มี แต่เรื่องนี้คนที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิดเชื่อไปแล้วว่า 'เบื้องบน' ต้องเกี่ยวข้องแน่ๆ และสั่งให้ปิดข่าว ลบข้อความต่างๆ เกี่ยวกับอวี๋เหมิงหลง
แต่เมื่อหาแหล่งข้อมูลกลับไม่พบที่ไม่ที่ไป ตรงกันข้าม ผมกลับพบว่า คนแรกๆ ที่พูดเรื่อง 'เบื้องบน' (หรือคนของทางการ) เกี่ยวข้องกับการตายของอวี๋เหมิงหลง คือ ซุนเต๋อหรง เอเย่นต์คนวงการบันเทิงที่มีชื่อเสียง และ (อ้างว่า) เป็นบุคคลที่คอยให้คำปรึกษาแก่อวี๋เหมิงหลง
ซุนเต๋อหรง คนนี้ไม่ใช่คนจีนแผ่นดินใหญ่แต่เป็นคนไต้หวัน ดังนั้นเขาอยากจะพูดอะไรก็พูดแต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไร โดยกล่าวว่า โพสต์บนเฟซบุ๊กเมื่อเช้าวันที่ 17 ว่า "เหตุการณ์กับอวี๋หมิงหลงนี้แสดงให้เห็นว่าเบื้องบนระดับสูงกำลังลงมือ!" และบอกว่า "ผู้เข้าร่วมงานถูกเก็บเป็นความลับอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เปิดเผย แปลกจริงๆ พวกเขากลัวอะไรกัน?"
"ความสงสัย" ซุนเต๋อหรงเขาข่ายเป็นทฤษฎีสมคบคิดในตัวมันเองอยู่แล้ว ยิ่งทำให้คนอื่นๆ ที่เชื่อข่าวลือคิดว่ามัน "มีน้ำหนัก" และทำให้ "ทฤษฎีสมคบคิดเรื่องเบื้องบนเกี่ยวข้องกับการตายของอวี๋เหมิงหลง" ถูกกระพืออย่างหนัก
การที่ 'คนไต้หวัน' ตั้งข้อสงสัยกับ 'เบื้องบน' ของแผ่นดินใหญ่ แค่นี้ก็รู้สึกว่ามีความพยายามจะทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง
ดังนั้น สื่อภาษาจีนนอกจีนที่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลจีนจึงเสนอแต่แง่มุมการเมืองเกี่ยวกับการตายของดาราชาย
อย่างไรก็ตาม จากการสังเกตของผมพบว่า แม้แต่สื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลจีนและมักจะเสนอข่าวที่อ้างว่ามาจาก 'วงใน' ของรัฐบาลจีน ก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงว่า ชื่อของ 'เบื้องบน' คนนั้นคือใคร แม้ว่าชาวเน็ตในจีนและนอกจีนจะมีการอ้างบางชื่อออกมาก็ตาม
นั่นแสดงว่า แม้แต่ฝ่ายที่เกลียดชังรัฐบาลจีนและพร้อม "พลิกข้อเท็จจริง" เป็นเครื่องมือโจมตีทางการจีน ก็ยังไม่งับข่าวลือที่อ้างชื่อผู้มีอำนาจบางคน - นั่นหมายความว่า มันไม่มีมูลเอาเลย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลบความเห็นเกี่ยวกับอวี๋เหมิงหลง เพราะความเห็นและข่าวเกี่ยวกับเขาก็ยังอยู่ดีในเว็บไซต์จีน
ในเรื่องการลบความเห็น ผมจะขอวิเคราะห์ว่า ในระยะหลังแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจีนระวังเป็นพิเศษเรื่องข่าวลือและคอนเทนต์อันตราย เพราะถูกหมายหัวเอาไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้วว่าจะมีแคมเปญกวาดล้างคอนเทนต์พวกนี้ โดยมีระยะเวลา 2 เดือน
ดังนั้น การที่ CAC ประกาศแคมเปญกวาดล้างคอนเทนต์อันตรายเพียงหนึ่งวันหลังสำนักงานตำรวจปักกิ่งเผยสาเหตุการตายของอวี๋เหมิงหลงและการจับกุมผู้ปล่อยข่าวลือ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นโครงการที่จะทำมาหลายเดือนแล้ว
แม้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ รัฐบาลจีนก็มีเหตุผลมากพอที่จะกวาดล้างคอนเทนต์อันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการตายของอวี๋เหมิงหลงมีการปล่อยข่าวลือกับทฤษฎีสมคบคิดอย่างหนักหน่วงถึงขั้นลาก 'เบื้องบน' ลงมาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องนี้หากปล่อยให้ทำกันต่อไป 'เบื้องบน' จะกลายเป็น 'เบื้องล่าง' เอาง่ายๆ
เพราะสิ่งที่บั่นทอนความมั่นคงของรัฐบาลได้ง่ายที่สุด ก็คือ 'ข่าวลือ' นี่เอง
แต่ทางการจีนก็ทำให้ผู้คนกังขาได้ง่ายๆ เหมือนกันโดยเฉพาะการสืบสวนสอบสวนของตำรวจที่ล่าช้าและไม่ตอบสนองต่อคำถามของสังคม
กว่าจะมีแถลงการณ์ออกมาก็เกือบจะเป็นเรื่องใหญ่ กระนั้นก็ตาม การที่สำนักงานตำรวจเฉาหยางแถลงออกมาทั้งสาเหตุการตาย และการจับตัวผู้ปล่อยข่าวลือ (ดูรายละเอียดที่หมายเหตุ) ย่อมแสดงว่าต้องการ "ตัดต้นตอ" ของความวุ่นวายทั้งหมด นั่นคือ การตามหาผู้ปล่อยข่าวนั่นเอง
'ผู้ปล่อยข่าว' ไม่ใช่ผู้สื่อข่าว แต่อ้าง 'คนวงใน' ในยุคสมัยนี้แค่อ้างว่ารู้จักคนวงในก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานแบบนักข่าว ซึ่งไม่ใช่แค่มีแหล่งข่าวเท่านั้น แต่ต้องสร้างสมดุลของข่าวระหว่างข้อมูลฝ่ายต่างๆ ไปจนถึงการ 'รอ' ให้ข้อเท็จจริงอันเป็นที่สุดได้ปรากฏ ไม่ใช่เร่งรีบเพื่อ "ขายข่าว" จนไม่สนความจริง
ท้ายที่สุด ผมเห็นด้วยกับความเห็นของสื่อมวลชนผู้หนึ่งที่มีบทความทัศนะในเว็บไซต์ของสำนักข่าวฮ่องกง (HKNA หรือ 香港新闻社) ที่กล่าวว่า
"บัญชีโซเชียลมีเดียบางบัญชีมักพูดเกินจริง ทำให้เรื่องราวดูแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ในคดีที่รายงานในครั้งนี้ คนแซ่หยวนได้กุข่าวลือขึ้นมาว่า "อวี๋ถูกโยนลงมาจากตึก" ผู้ก่อเหตุใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มากมายสร้างข่าวลือที่สร้างความฮือฮา เช่น "อวี๋ถูกแขวนคอจากตึกสูง เล็บหลุด ท้องแตก และถูกโยนลงมาจากตึก" โดยไม่มีจุดประสงค์อื่นใดๆ นอกจากจะดึงดูดความสนใจ"
เพราะความต้องการยอดวิว เอนเกจเมนต์ และความสนใจจากชาวเน็ตนี่เองที่เป็นตัวการสร้างข่าวลือ เพราะ "การดึงดูดผู้เข้าชมได้กลายเป็นกลไกการอยู่รอดของหลายบัญชี ประกอบกับความแพร่หลายของเทคโนโลยีอย่าง AI ทำให้การสร้างและการเชื่อมต่อกลายเป็นเรื่องง่ายและสร้างผลกำไร"
ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์รายงานของสำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซกลางแห่งประเทศจีน ระบุว่า ในปี 2567 เพียงปีเดียว หน่วยงานความมั่นคงสาธารณะได้ตรวจสอบและจัดการข่าวลือออนไลน์มากกว่า 42,000 กรณี และเคลียร์ข้อมูลข่าวลือออนไลน์มากกว่า 2.52 ล้านชิ้น
ดังนั้น เพื่อป้องกันความกระหายข่าวโดยไม่แยกแยะ "จึงควรอดทนและแสวงหาการยืนยันมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ “ความกระตือรือร้น” และ “ความรู้สึกถึงความยุติธรรม” ของคุณกลายเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบฉากและเครื่องมือใน “เกมทราฟฟิก (เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์)”
“ความรู้สึกถึงความยุติธรรม” ที่ชาวเน็ตพลุ่มพล่านขึ้นมาหลังจากจากเสพข่าวลือ ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากไปบูลลี่และใส่ความดาราบางคนที่ถูกเอ่ยชื่อว่าอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย นั่นคือ นักแสดงชาย ฟ่านซื่อฉี ทำให้เขาต้องออกมาแสดงความเจ็บปวดที่ถูกไล่ล่าทั้งๆ ที่ตนบริสุทธิ์ และประกาศว่าจะจ้างทนายความเพื่อจัดการเรื่องนี้
อีกคนที่ถูกไล่ล่า คือ เฉิงชิงซง ผู้กำกับภาพยนต์ซึ่งเผยว่าเขาถูกกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ตอย่างรุนแรงและถูกข่มขู่ จนเขาบอกว่า "การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ไม่ใช่เรื่องตลกอย่างแน่นอน!"
นี่คือผลที่ตามมาของการเชื่อข่าวลือ นั่นคือ ผู้อื่นถูกลากขึ้นศาลเตี้ยไปเรียบร้อยแล้วโดยชาวเน็ต แบบนี้ยังไม่ถือเป็น 'ความโกลาหล' ก็แปลกแล้ว ยังไม่นับว่า สื่อภายนอกจีนโดยเฉพาะสื่อไต้หวันก็ยังตั้งข้อสงสัยกับความทุกข์ของผู้ถูกลากขึ้นศาลเตี้ย เพราะลึกๆ แล้วยังต้องการทำให้เรื่องนี้เป็นการเมือง
จากนั้นผู้เขียนบทความทัศนะในเว็บไซต์ของสำนักข่าวฮ่องกงได้ชี้ว่า
"เป็นที่น่าสังเกตว่าในเดือนกรกฎาคมปีนี้ หน่วยงานบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีนได้ตัดสินใจเปิดตัวแคมเปญพิเศษสองเดือนทั่วประเทศเพื่อ "ปราบปรามและแก้ไขการเผยแพร่ข้อมูลเท็จผ่าน 'สื่อสถาปนาตัวเอง (自媒体)'" และดำเนินการปราบปรามอย่างรุนแรงใน 4 ปัญหาสำคัญ เช่น การคาดเดาอย่างมีเจตนาร้ายเพื่อหลอกลวงประชาชน และการบิดเบือนข้อเท็จจริงด้วยวิธีการต่างๆ
แนวทางที่เข้มงวดเช่นนี้ยังปรากฏให้เห็นในเหตุการณ์เหมิงหลง ก่อนหน้านี้ Weibo ได้พุ่งเป้าไปที่การละเมิดต่างๆ เช่น การยุยงให้ผู้ติดตามรายงานข่าว การสร้างและเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิด และการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ โดยได้ลบโพสต์และรูปภาพที่ผิดกฎหมายกว่า 4,300 รายการ และสั่งห้ามหรือแม้กระทั่งปิดบัญชีที่ละเมิดลิขสิทธิ์กว่า 60 บัญชี
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าคิดคือ แม้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่เมื่อข่าวลือแพร่สะพัดออกไปแล้ว ก็ยากที่จะหยุดยั้งได้ ข่าวลือมี "กลไกการสร้างตัวเอง" ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติท่ามกลางจินตนาการ อารมณ์ และอคติของบางคน จนก่อให้เกิดวงจรการเล่าเรื่องแบบปิดที่ดึงดูดผู้ที่ไม่รู้ความจริงเข้ามา
ดังนั้น เหตุการณ์อวี๋เหมิงหลงจึงเป็นเครื่องเตือนใจอีกอย่างหนึ่งว่า การควบคุมข่าวลือจำเป็นต้องมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนในระดับสถาบัน แพลตฟอร์มต้องบังคับใช้ความรับผิดชอบ และสาธารณชนต้องใช้เหตุผลและสติมากขึ้นเมื่อเผชิญกับการเปิดเผยข้อมูล ข้อเท็จจริงและตรรกะจะเข้ามาแทนที่ข่าวลือและการคาดเดาได้ก็ต่อเมื่อเหตุผลกลายเป็นฉันทามติร่วมกันเท่านั้น ป้องกันไม่ให้ความจริงถูกกลบเกลื่อนและนำความชัดเจนกลับคืนสู่โลกไซเบอร์"
'สื่อสถาปนาตัวเอง' (自媒体) ที่เจ้าของบทความเอ่ยถึงนี้ คือ 'ปุถุชน' (layman) ที่คดว่าตัวเองทำงานเป็นสื่อได้ แต่จริงๆ แล้ว สื่อมวลชนเป็น 'วิชาชีพ' (profession) ที่ต้องการอาศัยการตรวจสอบหลายขั้นตอน ไม่ใช่ได้ข้อมูลดิบอะไรมาก็โพสต์กันเลย
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในจีนซึ่งคนภายนอกเข้าใจว่าสามารถควบคุม 'สื่อ' ได้อย่างเด็ดขาด แต่ความจริงแล้ว 'สื่อสถาปนาตัวเอง' อยู่นอกระเบียบการจัดการของรัฐ ทำให้หลายครั้ง 'สื่อสถาปนาตัวเอง' มักจะปล่อยข่าวตามใจชอบ ผลิตทฤษฎีสมคบคิด โดยไม่มีการตรวจสอบ กระทั่งนำไปสู่ความวุ่นวายในสังคม
แม้ในสังคมอื่นๆ นอกจีนก็ยังไม่อาจปล่อยให้เกิดความวุ่นวายทำนองนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประเทศจีน (สหรัฐฯ ในเวลานี้ก็เซนเซอร์สื่อและคนบันเทิงเป็นว่าเล่น หากไม่สนองอุดมการณ์ของทรัมป์)
มนุษย์เรามักถูกดึงดูดโดย 'ทฤษฎีสมคบคิด' ได้ง่ายกว่า 'ข้อเท็จจริง' เพราะมันหวือหวากว่า เหมือนละครมากกว่า และโอกาสให้จินตนาการ (หรือฟุ้งซ่าน) ได้ง่ายกว่า
ในบางประเทศ ทฤษฎีสมคบคิดได้รับอนุญาตให้แพร่กระจายได้อย่างเสรี แต่ในบางประเทศมันไม่ได้รับโอกาสนั้น
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการให้ความสำคัญแค่ไหนกับ 'เสรีภาพในการแสดงความเห็น' และ 'ความมั่นคงในการดำรงอยู่ของชาติ'
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - 朦胧工作室账号
หมายเหตุ แถลงการณ์จากตำรวจปักกิ่ง
รายงานข่าวจากตำรวจ
นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการพิเศษ "อินเทอร์เน็ตสะอาด-2025" หน่วยงานความมั่นคงสาธารณะได้ดำเนินการปราบปรามและแก้ไขข่าวลือออนไลน์ รวมถึงดูแลรักษาสภาพแวดล้อมเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อเร็วๆ นี้ บุคคลแซ่อวี๋ (ชาย อายุ 37 ปี) ตกตึกเสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจขณะเมาสุรา เพื่อดึงดูดความสนใจและการเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ บุคคลบางคนได้กุเรื่องและเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางออนไลน์ ตัดต่อวิดีโอปลอม และก่อกวนความสงบเรียบร้อยของประชาชนอย่างร้ายแรง เจ้าหน้าที่ความมั่นคงสาธารณะได้ยื่นฟ้องและกำลังสอบสวน โดยมีรายงานสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. บุคคลแซ่เจิ้งสร้างข่าวลือว่า "อวี๋ (เหมิงหลง) กระโดดตึกหลังจากถูกคนอื่นข่มขืน" หลังจากการสอบสวนพบว่า เจิ้ง (หญิง อายุ 40 ปี) หลังจากเห็นข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของอวี๋ทางออนไลน์ ได้กุข่าวลือต่างๆ เช่น "เจ้านายพยายามเอาเปรียบเขา ลูกน้องวางกับดักไว้ เขาเมาสุราและถูกข่มขืน จึงกระโดดตึกเพราะภาวะซึมเศร้า" ข่าวลือเหล่านี้ถูกโพสต์ลงในช่องคอมเมนต์ของหัวข้อยอดนิยม ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อสังคม
2. กรณีที่บุคคลแซ่หยวนสร้างข่าวลือว่า "อวี๋ (เหมิงหลง) ถูกโยนลงมาจากอาคาร" การสืบสวนพบว่าบุคคลแซ่หยวน (หญิง อายุ 29 ปี) สร้างข่าวลือบนแพลตฟอร์มออนไลน์หลายแห่ง รวมถึงข่าวลือที่ว่า "อวี๋ถูกแขวนคอจากอาคารสูง เล็บหลุดออกมาทั้งเป็น ท้องถูกผ่าเปิด และถูกโยนลงมาจากอาคาร" ความพยายามที่ไร้ยางอายของเธอเพื่อเรียกร้องความสนใจทำให้ครอบครัวเกิดความทุกข์ทางจิตใจและส่งผลกระทบเชิงลบต่อสังคม
3. กรณีที่บุคคลแซ่สวีสร้างข่าวลือว่า "แม่ของอวี๋ (เหมิงหลง) ถูกควบคุมตัว" การสืบสวนพบว่าสวี (หญิง อายุ 41 ปี) สร้างข่าวลือต่างๆ รวมถึง "ภาพจากกล้องวงจรปิดถูกทำลาย และมีกลุ่มอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง และแม่และน้องสาวของอวี๋ (เหมิงหลง) ถูกควบคุมตัว" เพื่อสร้างประเด็นถกเถียง จากนั้นเธอได้โพสต์ภาพหน้าจอการสนทนาออนไลน์ผ่านบัญชีโซเชียลมีเดียส่วนตัวของเธอ ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อสังคม
บุคคลทั้งสามคนข้างต้นสารภาพว่าสร้างข่าวลือขึ้นมาเอง และถูกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงสาธารณะบังคับใช้มาตรการตามกฎหมาย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ความมั่นคงสาธารณะยังได้ดำเนินคดีกับผู้ที่ปล่อยข่าวลือ เช่น "อวี๋ (เหมิงหลง) ถูกผลักจากหน้าต่าง" "อวี๋ (เหมิงหลง) ถูกทำร้ายร่างกายก่อนตกจากอาคาร" และ "แม่ของอวี๋ (เหมิงหลง) ถูกหน่วยงานของเธอขับไล่อย่างรุนแรง"
หลังจากที่อวี๋ (เหมิงหลง)พลัดตกจากอาคารโดยไม่ได้ตั้งใจขณะมึนเมา เจ้าหน้าที่ความมั่นคงสาธารณะได้เริ่มการสอบสวนทันที โดยผ่านการตรวจสอบในสถานที่ การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ การสัมภาษณ์ และการเฝ้าระวังด้วยกล้องวงจรปิด พวกเขาได้ตัดข้อสงสัยทางอาญาใดๆ ออกไป ผลการตรวจสอบได้ถูกเปิดเผยต่อครอบครัว ซึ่งไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ มารดาของอวี๋ (เหมิงหลง) ยังได้ออกแถลงการณ์ผ่านบัญชี Weibo ที่ชื่อ "于某某工作室" ด้วย
อินเทอร์เน็ตไม่ใช่สถานที่ไร้กฎหมาย เราขอเรียกร้องให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกท่านงดเว้นการสร้างและเผยแพร่ข่าวลือ เราขอให้ทุกคนเคารพความต้องการของครอบครัว ปกป้องความเป็นส่วนตัว และป้องกันไม่ให้พวกเขาได้รับอันตรายทางจิตใจ หน่วยงานความมั่นคงสาธารณะจะปราบปรามและจัดการกับการกระทำที่ผิดกฎหมายและอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและเผยแพร่ข่าวลือให้เป็นไปตามกฎหมาย
สำนักงานความมั่นคงสาธารณะเฉาหยาง
21 กันยายน 2568