แม้ว่าคุณอนุทิน ชาญวีรกูลจะมีเวลาในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยแค่ 4 เดือนแล้วจะยุบสภาตามที่สัญญาไว้
แต่หลังจากยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ ผมก็เชื่อว่าหากคุณอนุทินไม่ได้เป็น "ผู้มีอำนาจในการเลือกนายกฯ" (หรือในทางการเมืองเรียกว่า Kingmaker) ก็อาจจะกลับมาเป็นนายกฯ เสียเองอีกครั้งก็เป็นได้
และในเมื่อคุณอนุทินกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐบาลแล้ว ในท่ามกลางความขัดแย้งกับกัมพูชาที่รุนแรงที่สุดครั้งหรึ่ง และในกระแสความเกลียดชังกัมพูชาในใจคนไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผมเชื่อว่าคุณอนุทินจะไม่ "ตกม้าตาย" แบบรัฐบาลที่แล้ว นั่นคือ "ปล่อยเกียร์ว่าง" เรื่องปัญหากัมพูชาจนเหมือนไม่ทำอะไร
แม้ว่าพรรคภูมิใจไทยจะถูกมองว่าเป็นพวก "อนุรักษ์นิยม" หรือ "ฝ่ายขวา" แต่ในด้านอุดมการณ์ระดับสูง พรรคนี้ยังขาดความเป็นชาตินิยมและแสดงจุดยืนต่อต้านการคุกคามของกัมพูชาอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
ที่จริงแล้วผมไม่อยากจะวิจารณ์ภูมิใจไทยพรรคเดียว แต่พรรคอื่นๆ ส่วนใหญ่ (ที่มีอำนาจ) ในบ้านเมืองนี้ก็ไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้นเลย
แต่เพราะคุณอนุทินเป็นนายกฯ แล้ว และภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล (อีกครั้ง) ผมจึงต้องเน้นที่คุณอนุทินและภูมิใจไทย
ภูมิใจไทยนั้นเป็นพรรคที่เสนอให้ทำประชามติว่าควรหรือไม่ควรยกเลิก MOU 43 และ 44 ซึ่งโดยทัศนะส่วนตัวแล้วผมเห็นด้วยให้ยกเลิก
แต่ผมมองว่า การยกเลิก MOU 43 และ 44 ของพวกนักการเมือง เสี่ยงที่จะเข้าข่ายลักษณะเป็นการฉวยโอกาสทางการเมือง (Opportunist) มากกว่า เพราะเป็นโอกาสทองที่จะบดขยี้รัฐบาลในเวลานั้น
ดังนั้น จะให้ประชาชนไทยเชื่อว่านั่นเป็นการทำเพราะมีแนวคิดชาตินิยมจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องยากจะเชื่อ
ผมจึงอยากจะให้พรรคที่ "รักชาติ" จริงๆ แสดงจุดยืนที่เป็นรูปธรรมกว่านี้ในการจัดการกับ "ปัญหากัมพูชา" - ไม่ใช่ก่อสงคราม ไม่ใช่การรุกราน แต่มีนโนยบายที่จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศคลี่คลายลง
โดยที่ไทยไม่เสียอะไรสักอย่าง ไม่ยอมอ่อนข้อให้ และไม่แสดงความอ่อนแอ
แม้แต่ความร่วมมือในบางด้านก็ควรจะสงวนไว้ ไม่ควรทำให้เป็นเรื่องปกติสามัญอีก ถ้าเกิดวันไหนความสัมพันธ์กลับมา "ปกติ" อีกครั้ง
เรื่องนี้อย่าทำเป็นเล่นไป เพราะแม้กัมพูชากับไทยจะขัดแย้งรุนแร แต่ปรากฏว่า ฮุน มาเนต ก็ยังมีแก่ใจส่วจดหมายมาถึงคุณอนุทิน นับว่าแสดงความยินดีกับการรับตำแหน่งนากยรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย และยกยอเสียหยดย้อยว่า "ผมขอแสดงความยินดีอย่างสุดซึ้งกับการเลือกตั้งของท่านเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของราชอาณาจักรไทย ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของท่านสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในความเป็นผู้นำของท่าน ผมเชื่อมั่นว่าภายใต้การนำอันชาญฉลาดและเปี่ยมด้วยศักยภาพของท่าน ราชอาณาจักรไทยจะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น และ "ผมหวังว่าจะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับท่านเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยให้กลับสู่ภาวะปกติ สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และเปลี่ยนพรมแดนร่วมกันระหว่างสองอาณาจักรของเราให้เป็นพรมแดนแห่งสันติภาพ ความร่วมมือ การพัฒนา และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน"
จดหมายฉบับนี้ไม่ได้แสดงความใจกว้างของ ฮุน มาเนต ต่อ "คู่กรณี" แต่แสดงถึงเล่ห์เหลี่ยมและวิทยายุทธิ์การ "เลีย" ที่ใช้กับทรัมป์และสีจิ้นผิงมาแล้ว โดยยอมนอบน้อมและสรรเสริญเยินยอ เพราะหวัง "ความร่วมมือ" จากประเทศอื่น
ผมอยากจะลำเลิกกรณีหนึ่งเกี่ยวกับ "ความร่วมมือ" ซึ่งเกี่ยวกับกัมพูชาและคุณอนุทินโดยตรง
ตอนที่คุณอนุทินเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของรัฐบาลพทองธาร ชินวัตร ในเดือนตุลาคม ปี 2567 คุณอนุทินได้ไปเยือนกัมพูชาและพบปะกับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
การพบกันครั้งนั้นเพราะคุณอนุทินได้เข้าร่วมการประชุมคณะผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนไทย – กัมพูชา ครั้งที่ 8 หลักๆ ก็คือคุยเรื่อง "ชายแดน" กัน แต่เพราะ "รัฐบาล" ของทั้งสองประเทศยังคบหากันดี เรื่องนี้จึงยังไม่ใช่ประเด็น
ก็อย่างที่ทราบครับว่า ในห้วงนั้นรัฐบาลที่นำโดยคนจากบ้านชินวัตรและรัฐบาลตระกูลฮุนรักใครกันปานจะกลืนกิน ดังที่ทราบจากคลิปเสียงในเวลาต่อมาว่าอดีตนายกฯ ของเรานั้นเรียกฮุน เซน เป็นดั่งญาติเลยทีเดียว
แม้รัฐบาลจะกอดจูบลูบไล้กัน แต่ในระดับประชาชนในเวลานั้นมีการกระทบกระทั่งกันรุนแรงพอสมควรในโซเชียลเดียว เพราะคนกัมพูชากระทำการ Cultural appropriation (ขโมย เลียนแบบ และลดทอน) ต่อ ศิลปวัฒนธรรมไทย แล้วอ้างอย่างโกหกพกลมว่า "ไทยขโมยวัฒนธรรมกัมพูชา และกัมพูชาคือต้นตำรับวัฒนธรรมไทย"
ตั้งแต่ปีสองปีก่อนหน้านั้นแล้วที่ "สงครามปล้นวัฒนธรรม" ระหว่างไทยกับกัมพูชารุนแรงมาก และยิ่งนับวันคนกัมพูชายิ่งขโมยวัฒนธรรมแล้วอ้างเป็นของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมเคยเขียนไว้ว่านี่คือการ Hijack (ดักปล้น) ความสำเร็จด้านซอฟต์คัลเจอร์ของไทยแบบไม่มีจิตสำนึกของกัมพูชา และคนกัมพูชาเองก็ถูกรัฐบาลฮุนล้างสมองให้เชื่อว่า "ไทยเป็นโจร" และ "เขมรคือต้นตำรับของทุกอย่างในไทย" ซึ่งความจริงแล้วเป็นในทางตรงกันข้าม
ตอนนี้ เราคงตระหนักแล้วว่าการล้างสมองของรัฐบาลฮุน มีผลต่อสติปัญญาของคนกัมพูชาแค่ไหน จากการแสดงอาการ "ชาตินิยมที่เป็นพิษ" ของคนเขมรต่ำต่อประเทศไทยในช่วงสงคราม ทั้งหมดนี้มีรากฐานจากสงครามปล้นวัฒนธรรมที่กินเวลามาระยะหนึ่งแล้ เรื่องนี้คงไม่ต้องสาธยายกันอีก
นี่คือความรุนแรงของ "สงครามปล้นวัฒนธรรม" นั้น รัฐบาลไม่เคยเห็น ไม่เคยแยแส ไม่อยู่หัวสมอง โดยเฉพาะรัฐบาลที่แล้วที่แทบจะจูบปากกับตระกูลฮุนอยู่แล้ว แต่ในเวทีโซเชียลนั้น คนไทยวิงวอนให้รัฐบาลใส่ใจบ้างกับเรื่องนี้ เพราะเขมรต่ำแทบจะชนะไทยอยู่รอมร่อ ด้วยวิธีการแบบสแกมเมอร์ นั่นคือ ระดมยิงข้อมูลเท็จไม่หยุด และโกหกชาวโลกว่าไทยเป็นโจรวัฒนธรรม (ซึ่งเป็นอีกพฤติกรรมหนึ่งของคนกัมพูชาที่เราเห็นพร้อมกันทั้งประเทศในช่วงสงคราม)
ท่ามกลางศึกสงครามเพื่อรักษามรดกของชาติและเกียรติภูมิของคนไทย นักการเมืองไม่เพียงไม่สนใจ แต่ยังไม่สึกรู้สาไม่รู้เหนือรู้ใต้ (Ignorant) ต่อสมรภูมินี้
หนึ่งในนั้นก็คือคุณอนุทิน ชาญวีรกูล
ตอนที่คุยกับฮุน มาเนต คุณอนุทินได้กล่าวไว้ว่า "กัมพูชาและไทย มีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันจะใช้โอกาสนี้ในการขยายและพัฒนาด้านวัฒนธรรม สร้างสรรค์พื้นฐานเดียวกันนี้ให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ดีร่วมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยว เกิดเป็นงานและอาชีพของประชาชนทั้งสองประเทศ"
ในเวลาต่อมาคุณอนุทินเจอมรสุม "ดราม่า" จากคำพูดของตัวเองดังกล่าว เพราะคนไทยไม่พอใจที่จะไป "แบ่งปัน" วัฒนธรรมกับกัมพูชาที่เนรคุณและทรยศไทยครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะตอนนั้นคนไทยเริ่มหวงแหน "ซอฟต์พาวเวอร์" กันมาก เพราะเห็นรัฐบาลตอนนั้นใช้งบประมาณไปมากเพื่อส่งเสริมเรื่องนี้ แต่ยังไม่ทันเก็บเกี่ยวอะไร คนในรัฐบาลจะใส่พานไปให้ "ชาติศัตรู" เสียแล้ว
ก็อย่างที่ผมบอก ตอนนั้นรัฐบาลไม่เห็นกัมพูชาเป็นศัตรู แต่คนไทยจำนวนมากมายไม่คิดอยู่ร่วมแผ่นดินผืนเดียวกับกัมพูชากันแล้ว
อีกประการก็คือ ในขณะที่รัฐบาลไทยยังโลกสวยกับกัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาเปิดศึกชิงวัฒนธรรมกันซึ่งๆ หน้าด้วยซ้ำ การที่คนในรัฐบาลไทยไปพูดอะไรสวยๆ แบบนั้นโดยไม่สอดส่องการมีอยู่ของ "การสงครามวัฒนธรรม" แสดงถึงความหละลวมไม่รอบคอบเอามากๆ
หลังจากที่มีกระแสต่อต้านรุนแรง (รวมถึงผมเองก็เขียนบทความตอบโต้คือเรื่อง "ถามคนไทยหรือยังว่าอยากมี 'วัฒนธรรมร่วม' กับพวกเคลมวัฒนธรรมไทยหรือเปล่า?" ) คุณอนุทินก็กลับปฏิเสธ แม้คำพูดนี้มาจากการรายงานจาก NBT ซึ่งเป็นสื่อของรัฐแท้ๆ ดังนั้นคุณอนุทินจะปฏิเสธไม่ได้
คุณอนุทินกลับตอบโต้ว่า “ส่วนที่พูดเกี่ยวข้องกับเรื่องวัฒนธรรม พวกนี้มโนกัน หรือตั้งใจทำทัวร์ลง เพราะตนไม่ได้ไปพูดอะไรกับกัมพูชาในประเด็นนี้เลย ซึ่งในการพูดคุยไม่มีเรื่องการแชร์วัฒนธรรมเลย แม้กระทั่งเรื่องพื้นที่ทับซ้อนก็ไม่ได้มีการพูดถึงเพราะตนไปพูดคุยแค่มิติงานของกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น มีแต่เรื่องดี ๆ กลับมา ทั้งการเพิ่มมูลค่าการค้า” - นี่คือคำพูดของคุณอนุทินจากกรายงานของ "ประชาชาติ"
นี่แสดงว่าคุณอนุทินไม่ได้ให้ความสำคัญกับ "สงครามปล้นวัฒนธรรม" ที่คนไทยที่รักชาติบ้านเมืองเดือดร้อนกันมากและชื่อเสียงของประเทศไทยถูกกัมพูชาบ่อนทำลายทีละน้อยๆ แต่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเรายังจะไปแชร์วัฒนธรรมเพื่อให้ชาติที่แทงข้างหลังไทย "แบ่งไปหากิน" ร่วมกันอีก
แบบนี้ไงครับ มันถึงมี "ดราม่า" กับคุณอนุทินในตอนนั้น
และนี่เป็นเหตุผลที่ผมบอกว่า ภูมิใจไทยไม่ได้มีอุดมการณ์ชาตินิยมที่แท้จริง แต่เป็นพรรคการเมืองทั่วๆ ไปที่เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มผลประโยชน์ เพราะถ้าเป็นพรรคชาตินิยมจริงๆ ผู้นำพรรคจะต้องไม่พูดอะไรแบบนั้นออกมา
แต่ผมหวังว่าหลังจากเกิดสงครามระหว่างไทย-กัมพูชา คุณอนุทิน และพรรคการเองของเขาและพรรคอื่นๆ ควรจะแสดงท่าทีรักษาผลประโยชน์ของไทยให้ชัดเจนขึ้น และลดแนวทางการ "แบ่งปันกับกัมพูชา" ลง จนกว่าประเทศนั้นจะสำนึกในความผิดของตน
เพียงแค่นี้แหละครับ ไม่ต้องถึงกับเป็นพรรคชาตินิยมอะไร เพราะพรรคการเมืองบางพรรคกลัวคำว่า "ชาตินิยม" เหมือนกลัวผี เอ่ยถึงมากๆ เดี๋ยวจะหัวโกร๋นกันหมด
อีกประการหนึ่ง แม้ว่าผมจะใช้คำว่า "ลำเลิก" ต่อคุณอนุทินในกรณีน้ัน แต่ไม่ใช่ว่าต้องการจะโจมตีคุณอนุทินและภูมิใจไทย ตรงกันข้าม ผมไม่ค่อยจะโจมตีพรรคการเมือง เพียงต้องการสะท้อน "ประวัติศาสตร์" ที่เคยเกิดขึ้น
"ประวัติศาสตร์" ที่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องยาวนาน แต่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ เช่นกรณีของคุณอนุทินเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว ซึ่งสะท้อนว่า ณ เวลานั้นนักการเมืองไทยยังทำงานไม่ละเอียดเรื่องสอดส่องสารทุกข์สุกดิบของประชาชน
ความทุกข์ของบ้านเมืองไม่ได้มีแค่ทุกข์ของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเท่านั้นที่นักการเมืองต้องฟัง แต่ยังมีทุกข์ของประเทศชาติที่ถูกข่มเหงรังแกจากประเทศอันธพาล ซึ่งคอยบอกคนอื่นว่าตัวเองตัวเล็กๆ แกล้งใครเขาไม่ได้ แต่แท้จริงแล้ว ระดมสรรพกำลังต่างๆ รวมถึงทรัพยากรของรัฐบาล ทำการบ่อนทำลายไทยมาหลายปี โดยที่มีคนไทยจำนวนไม่น้อยคอยปกป้องและต่อต้าน แต่รัฐบาลก็แน่นิ่ง
คนไทยที่ปกป้องมรดกของชาตินั้นด่ารัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมมานานปีว่าเงียบเป็นเป่าสากกับการกระทำของกัมพูชา จนกระทั่งปีที่แล้วคุณอนุทิน ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโพล่งขึ้นมาในสิ่งที่คนไทยไม่อยากได้ยินที่สุด นี่ก็สะท้อน "ความไม่รู้" เช่นกัน
แต่ "ความไม่รู้" นั้นแก้ไขไม่ยาก เพียงแค่ใส่ใจเสียงประชาชนให้มากขึ้น สอดส่องความทุกข์ของประเทศให้รอบด้าน และเลิกทำตัวเป็น "ไทยแบก" ที่จะต้อง "แบ่งปัน" กับเพื่อนบ้านโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ
แต่ให้ใช้นโยบาย Looking inward (ใส่ใจประเทศตัวเอง) ไม่ใช่เน้น Looking outward (เมตตาประเทศข้างนอก) เหมือนแต่ก่อน
บางประเทศนั้น Looking outward มากๆ ไม่ใช่ว่าจะซาบซึ้งพระคุณเราและตอบสนองผลประโยชน์ให้เรา แต่เนรคุณเก่งจนต้องสั่งสอนให้หลาบจำต่างหาก
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - Prime Minister Office of Cambodia