ใครที่ไม่ได้ติดตามการเมืองระหว่างประเทศ โปรดทราบไว้ก่อนว่าในระยะหลัง "กัมพูชาสนิทสนมกับจีนอย่างมาก"
เมื่อประมาณสิบปีก่อน ถึงขนาดร่ำลือกันว่าอาเซียนประชุมอะไรจีนก็ต้องรู้ด้วย เพราะมี "รัฐบาลฮุน" คาบข่าวไปบอก
กัมพูชาเข้าข้างจีนกระทั่งทำให้อาเซียนเกือบจะแตกเป็นเสี่ยง เพราะเมื่อราวๆ สิบปีก่อนอาเซียนยังทะเลาะกับจีนเรื่องทะเลจีนใต้ โดยที่สมาชิกอาเซียนบางประเทศอยากให้ประณามจีน แต่กัมพูชาขวางทางไม่ให้โจมตีจีน ทำให้ที่ประชุมมีมติไม่ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
กัมพูชายอมสนองจีนถึงปานนั้น เรียกว่า "ยิ่งกว่าพี่น้องร่วมสายเลือด" เสียอีก เพราะในโลกนี้มีไทยประเทศเดียวที่จีนเรียกว่า "จีนไทยใช่อื่นไกลเป็นญาติ (หรือพี่น้อง) กัน"
ทุกวันนี้เรายังจะเห็นได้จากการที่จีนลงทุนโครงการใหญ่ในกัมพูชามากมาย ไปจนถึงช่วยปรับปรุงท่าเรือเรียม (หรือสร้างใหม่) ในจังหวัดพระสีหนุ อันเป็นท่าเรือยุทธศาสตร์สำคัญในอ่าวไทย จนทำให้ชาติตะวันตกกังวลว่า "กัมพูชากลายเป็นรัฐบริวารของจีน" ไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ในปี 2010 ฐานทัพเรือเรียมเป็นฐานฝึกทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับกัมพูชา ในยุคที่กัมพูชายังไม่ได้ "เททั้งใจไปให้จีน" แต่แล้วหลังจากปี 2017 กัมพูชาก็หยุดซ้อมรบกับสหรัฐ ในปี 2019 เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าได้เห็นข้อตกลงลับที่จะอนุญาตให้กองทัพเรือกองทัพปลดปล่อยประชาชนของจีนเข้าถึงฐานทัพเรือเรียมประมาณหนึ่งในสามโดยเฉพาะเป็นเวลาสูงสุด 30 ปี
แล้วในปี 2020 กัมพูชาถึงขั้นรื้อทำลายสิ่งปลูกสร้างที่สหรัฐฯ เคยสร้างไว้ให้ที่ท่าเรือเรียม กรณีนี้ทำให้ยิ่งถูก
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา กัมพูชาใกล้ชิดกับจีนเป็นพิเศษในด้านการทหาร
ความใกล้ชิดนี้เป็นเหตุให้คนไทยจำนวนหนึ่งเข้าใจว่า "จีนสนับสนุนกับพูชาอยู่เบื้องหลังในการปะทะกับไทย"
แต่ไทยเองก็สนิทชิดเชื้อกับจีนในระยะหลัง แต่ไทยนั้นยังคบหากับทั้งสองประเทศโดยมีดุลยภาพ โดยที่ไม่ได้ทำ "บ้าบิ่น" แบบกัมพูชา นั่นคือ "เลือกข้าง" อย่างชัดเจนด้วยการเลิกคบสหรัฐฯ แล้วหันมาซบจีน ประกอบกับในเวลาเดียวกันสหรัฐฯ ก็โจมตีกัมพูชาในทางการเมืองอย่างหนัก ด้วยการผ่านกฎหมายเอาผิดนักการเมือง "เครือข่ายตระกูลฮุน" จำนวนหนึ่งที่ละเมิดสิทธิมุนษยชน
กัมพูชาถูกมองว่าใกล้ชิดกับจีนและเป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯ จนกระทั่งไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงที่การเผชิญหน้ากับไทยเริ่มจะร้อนแรงขึ้นทุกที
จู่ๆ กัมพูชาก็ "ประกาศชัยชนะ" หลังจากได้ข้อตกลงเรื่องภาษีกับรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งดูๆ ไปแล้วไม่น่าจะเป็นชัยชนะไปได้เพราะภาษีถูกลดลงแค่นิดเดียว แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจกัมพูชาถึงกับสาหัสมาก เพราะเท่ากับทำลาย "ห่วงโซ่การผลิต" ในประเทศซึ่งวางรากฐานไว้โดยนักลงทุนจีน
ดีลนี้จึงเท่ากับ "ฆ่านักลงทุนจีน" ในกัมพูชา ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ในจีนว่า "กัมพูชาแทงข้างหลังจีน" เพราะคงจะไปตกลงกับทรัมป์ในเรื่องที่ทำให้จีนเสียประโยชน์
นับตั้งแต่นั้น คนจีนก็เริ่มมองกัมพูชาไม่เหมือนเดิม โดยกล่าวว่า "ทรยศจีน"
และในวันนั้นผมได้วิเคราะห์ไว้ว่าผู้นำกัมพูชาคงถึงกับ "ขายชาติ" เพื่อให้ได้ดีลนี้มา
แต่ใครจะรู้ว่า "ชัยชนะครั้งใหญ่" ที่กัมพูชาประกาศในวันได้ดีลกับทรัมป์จะไม่ได้หมายถึงชัยชนะต่อจีน หรือ "การปลดแอกจากจีน"
แต่หมายถึงการเข้าไปเป็น "บริวารของสหรัฐฯ ในทางการเมืองระหว่างประเทศ"
และการเป็นบริวารของสหรัฐฯ เท่ากับทำให้กัมพูชามั่นใจที่จะ "รบกับไทย"
ดังนั้น ในอีกไม่นานต่อมาก็เกิดเหตุ "เสียงปืนแตก" ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยที่กัมพูชาเป็นฝ่ายลั่นกระสุนก่อน ท่ามกลางความไม่เข้าใจของไทยและจีนว่า "กัมพูชาจะทำแบบนี้ไปทำไม?"
เพราะประเทศก็ยากจน ประชาชนเบาบาง และเป็นรัฐเล็กรัฐน้อยที่ถ้าจะรบกับไทยก็มีแต่ฉิบหายลูกเดียว
แต่กัมพูชาห้าวหาญขนาดยิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือน เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ชาวไทยไปมากมาย แต่ก็ยังหน้าด้านประกาศว่าไทยเป็นฝ่ายฆ่าประชาชนตัวเอง และโกหกแบบรายวันแม้ตัวเองจะกระทำอาชญากรรมสงครามไปแล้ว
อะไรที่ทำให้กัมพูชา "กล้าดี" ขนาดนี้?
ไม่กี่วันก่อนเราเริ่มเอะใจเมื่อจู่ๆ ประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯ และ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงโดย "สั่ง" ให้ไทยกับกัมพูชาหยุดยิง หาไม่แล้วจะไม่ยอมเจรจาเรื่องภาษีด้วย
แต่ว่ากัมพูชานั้นได้ดีลไปแล้ว ทำให้การ "สั่ง" ของทรัมป์เล็งเป้ามาที่ไทยประเทศเดียว ส่วนรูบิโอนั้นหนักกว่าเพราะ "ข่มขู่" ให้ไทยเลิกรบกับกัมพูชาเลยทีเดียวโดยใช้ข้อแม้เดียวกัน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า กัมพูชา "วิงวอน" ให้สหรัฐฯ มากดดันไทย และยิ่งชัดว่าสิ่งที่กัมพูชา "ถวาย" ให้ทรัมป์ในดีลเรื่องภาษีคงจะเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมาก จนกระทั่งทรัมป์เมินเฉยมหามิตรเก่าแก่อย่างไทย แล้วไปช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้กัมพูชา
ทั้งๆ ที่กัมพูชากระทำอาชญากรรมสงครามอย่างร้ายแรง แต่สหรัฐฯ กลับไม่สนใจเรื่องนี้ ดีไม่ดีจะงับข่าวปลอมที่กัมพูชาระดมปั้นน้ำเป็นตัวมาใส่ไคล้ไทยด้วยซ้ำ
อะไรที่ทำให้ประเทศที่มักจะอ้าง "การละเมิดสิทธิมนุษยชน" กลายเป็นประเทศที่หูหนวกตาบอดกับการการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาไปได้ แล้วดันมาเล่นงานไทยที่พยายามอดกลั้นเพื่อทำตัวเป็น "ผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนในสงคราม"?
ผมคิดแล้วคิดอีก สิ่งที่กัมพูชายกให้ทรัมป์ คงเป็นการยกท่าเรือเรียมให้สหรัฐฯ ใช้แทนจีนกระมัง? หรืออาจบอกกับสหรัฐฯว่า "กัมพูชายอมแปรพักตร์จากจีน แล้วยอมเป็นสมุนของสหรัฐฯ"
นี่เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุด ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ สูญเสียยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทำให้แผนล้อมจีนที่เรียกว่า "ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก" ไม่สามารถดำเนินการได้
ก่อนที่กัมพูชาจะแปรพักตร์ ในแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกประเทศล้วนแต่เป็น "มิตรที่ดีของจีน" แม้ไทยที่ยังถือเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ ก็หันไปหาจีนมากขึ้นถึงขั้นยอมเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมจากตอนใต้ของจีนลงมายังตอนกลางของไทย (เส้นทางรถไฟความเร็วสูง) และยังจะเอื้อยุทธศาสตร์ของจีนที่ด้วยการสร้างแลนด์บริดจ์เชื่อม "อินโด-แปซิฟิก" ที่ภาคใต้ของไทย อันจะช่วยเป็นเส้นทาง "บายพาส" ให้จีนในกรณีที่สหรัฐฯ ปิดล้อมช่องแคบมะละกา
สหรัฐฯ จึงเพ่งเล็งไทยมานานแล้ว แม้จะไม่ถึงขั้นยัดข้อหา "โปรจีน" ให้ไทย แต่ก็มองไทยเป็นผู้เอื้อประโยชน์ให้กับจีน
ไม่แปลกใจที่ มาร์โก รูบิโอ จะหมายหัวไทยตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งว่าจะกดดันไทยอย่างโน่นอย่างนี้ (เช่นกรณีส่งตัวชาวอุยกูร์)
แต่แล้วไทยก็ส่งอุยกูร์ให้จีน ทำให้รูบิโอหน้าแหก และน่าจะแค้นไทยอย่างยิ่ง
จนกระทั่งโอกาสล้างแค้นมาถึง เมื่อฮุน มาเนต ซึ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ ใช้เส้นสายของตนในรัฐบาลทรัมป์ทำการ "ยื่นข้อเสนอที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้"
ข้อเสนอนั้นเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมเชื่อว่ามันคือการ "แปรพักตร์จากการคบจีนมาหนุนสหรัฐฯ"
เขมรแปรพักตร์ครั้งนี้มีผลสะเทือนต่อไทยและจีนอย่างรุนแรง หนึ่ง คือทำให้สหรัฐฯ มีโอกาสเข้ามากดดันไทยทางการเมืองอย่างหนัก และ สอง ทำให้จีนเสียดุลอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ก่อนเหตุการณ์นี้จีนไม่อาจเข้ามาแทรกแซงการยิงระหว่างไทยกับกับพูชาได้ เพราะทั้งสองประเทศเป็น "มิตรที่ดีของจีน" ดังนั้นจีนได้แต่ออกแถลงการณ์ให้ยับยั้งชั่งใจและเพลาๆ มือกันบ้าง
แม้จีนจะไม่ได้แทรกแซง แต่เพราะ "เคย" ขายอาวุธให้กัมพูชาทำให้คนไทยเข้าใจว่า "จีนเข้าข้างกัมพูชา" แล้วหันไปโจมตีจีน ทั้งๆ ที่ ณ เวลานั้น "มติมหาชน" ในจีนไม่เอากัมพูชาแล้วตั้งแต่กรณีเลี้ยงสแกมเมอร์ไปจนถึงการเปิดเผยคลิปเสียงของฮุน เซน
ถือว่าคนไทยโจมตีเป้าหมายผิดอย่างมหันต์ แม้แต่ในวันที่เอกอัครราชทูตจีนคนใหม่เดินทางมาถึงไทยเพื่อรับตำแหน่ง คนไทยก็ยังไปร้องถามจากจีนว่า "สนับสนุนกัมพูชาทำไม?"
แต่ในรุ่นขึ้น คนไทยก็ตาสว่างขึ้นมาอีกขั้น เมื่อทราบท่าทีของ ฌอน โอ'นีล ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ซึ่งไม่ยังทันรับตำแหน่งก็ขู่ไทยให้เลิกมีเรื่องกับกัมพูชาและสำทับว่า หากไม่ทำตามจะกระทบต่อความเป็นพันธมิตรระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
คำขู่นี้เท่ากับเป็นการเปิดหน้าของสหรัฐฯ อย่างเต็มรูปแบบว่า "สนับสนุนอาชญากรกัมพูชา และไม่เห็นคุณค่ามหามิตรไทย"
ยังไม่นับว่าไม่กี่วันก่อนหน้านี้ คณะทหารกัมพูชาไปจับมือร่วมเป็นไมตรีกับกองทัพสหรัฐฯ แล้วที่กองบัญชาการอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ พร้อมประกาศว่ากจักลับมาซ้อมรบร่วมกันอีกครั้งหลังจากหยุดไปเมื่อปี 2017
นี่เรียกว่าชัดยิ่งกว่าชัด ว่ากัมพูชาหันกลับมาคบสหรัฐฯ อีกในทางการทหาร
ส่วนการทูต กัมพูชาก็สามารถ "ขายวิญญาณ" จนทำให้รัฐบาลทรัมป์ที่ไม่ค่อยยอมใครง่ายๆ ยอมทำลายมิตรเก่าแก่อย่างไทย เพื่อเอากัมพูชามาเป็นมิตรแทน
เรื่องนี้คิดไม่ยาก เพราะไทยนั้นไม่ยอมเข้าข้างจีนและสหรัฐฯ เต็มตัว แต่การที่สหรัฐฯ หนุนหลังกัมพูชาขนาดนี้ ย่อมหมายความว่ากัมพูชา "ขายตัว" ให้สหรัฐฯ เรียบร้อย
และการขายตัวนั้นจะตามมาด้วยการเชิญทหารสหรัฐฯ มาประจำการที่กัมพูชา เพื่อทำการ "เจาะไข่แดง" ยุทธศาสตร์จีนในอาเซียน
ถามว่ากัมพูชาใช้วิธีไหนในการทำให้สหรัฐฯ ยอมเข้าข้างตน?
ผมไม่รู้ แต่รู้อย่างหนึ่งว่าทรัมป์เป็นคนบ้ายอ ต่อให้อาชญากรสงครามยกยอปอปั้นเขาก็ไม่สนว่าใครเป็นใคร ขอให้ได้ยินคำสรรเสริญเป็นพอ
เช่น ไม่กี่วันก่อน จู่ๆ รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ถอนชื่อบริษัทที่เป็นพันธมิตรของ มิน อ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพเมียนมาออกจากบัญชีคว่ำบาตร ทั้งๆ ที่ทหารเมียนมานั้นละเมิดสิทธิมนุษยชนแถมยังเอียงๆไปทางจีน
ข่าวออกมาว่าเพราะ มิน อ่อง หล่าย เขียนจดหมายไปยกยอปอปั้นทรัมป์เสียใหญ่โต จนในเวลาต่อมาเพื่อนพ้องของเขาจึงหลุดจากบัญชีดำ
ขนาดคนอย่าง มิน อ่อง หล่าย ทำสำเร็จด้วยกระดาษไม่กี่แผ่น การที่คนบ้ายอพรรค์นี้ตกเป็นเหยื่อคนสามานย์แบบตระกูลฮุนได้อย่างง่ายดายจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะตระกูลฮุนไมได้ใช้แค่กระดาษเขียนจดหมายสรรเสริญทรัมป์ แต่สองพ่อลูกใช้ "ลิ้นสองแฉก" ยอทรัมป์ทั้งเช้าค่ำอย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่
แต่นี่เป็นแต่เป็น "การวิเคราะห์แบบหยอกๆ" ถ้าจะวิเคราะห์จริงๆ จังๆ กว่านั้นก็คือตระกูลฮุนได้พ่วงเอาข้อเสนออันเลอค่ามาให้ทรัมป์ด้วย นั่นคือการยอมเป็น "ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ" และ "แปรพักตร์ตีจากจีน"
มันเป็น "ออฟเฟอร์" ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ชุดไหนๆ ก็ไม่เคยพบพาน เป็นโอกาสทองที่จะเข้ามาสกัดกั้นใจกลางภูมิภาคนี้จากการขยายตัวของจีน
โดยที่ไทยกลายเป็น "แนวรบแรก" ของมหาอำนาจทั้งสองในการช่วงชิงยุทธศาสตร์นี้มา
ทั้งหมดนี้ต้องยก "ความชั่วความชอบ" ให้กับกัมพูชาสถานเดียว
ป.ล.
ผมขอทิ้งท้ายด้วยทัศนะนักวิเคราะห์จีนและรัสเซียเกี่ยวกับการแปรพักตร์ของกัมพูชา ซึ่งสะท้อนสิ่งที่จะเกิดขึ้นและเกิดขึ้นไปแล้วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
1. นักวิเคราะห์จีนคนหนึ่งบอกว่า "ปัจจุบัน บางประเทศในสหรัฐอเมริกาและตะวันตกอาจไม่ต้องการเห็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างจีนและกัมพูชา และมักใช้วิธีการต่างๆ เช่น การโฆษณาเกินจริงและข่าวลือ เพื่อพยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและกัมพูชาแตกแยก อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของชาติที่ครอบคลุมของจีน ชื่อเสียง และอิทธิพลของจีนในเวทีระหว่างประเทศ ผมเชื่อว่ากัมพูชาจะไม่เลือกทำสิ่งใดที่บ่อนทำลายความสัมพันธ์จีน-กัมพูชา" - นี่เป็นความเห็นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025
2. นักวิเคราะห์ชาวรัสเซียคนหนึ่งบอกว่า "ความร่วมมือระหว่างจีนและกัมพูชากำลังเติบโตและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นสหรัฐอเมริกาและผู้สนับสนุนจึงไม่สามารถบีบให้กัมพูชาหลุดพ้นจากวงโคจรความร่วมมือกับจีนได้ กระแสข่าวลือเกี่ยวกับกัมพูชาเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระดับโลกระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ความขัดแย้งนี้จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น สหรัฐอเมริกากำลังสร้างระบบความสัมพันธ์ระดับโลกแบบจักรวรรดินิยมใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจำกัดขีดความสามารถและการส่งออกของจีน" - นี่เป็นความเห็นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เช่นกัน
3. แต่ล่าสุดนักวิเคราะห์จีนอีกรายบอกว่า "บางคนบอกว่าตระกูลฮุนในกัมพูชาจะล่มสลาย คุณคิดมากเกินไปแล้ว กัมพูชาภายใต้การนำของตระกูลฮุนได้หันหลังให้กับจีนอย่างเต็มตัวและประกาศความจงรักภักดีต่อสหรัฐอเมริกา ตราบใดที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังสนับสนุนพวกเขา ตระกูลฮุนก็จะไม่ล่มสลาย" และ "ส่วน "การแสดงความจงรักภักดี" (ของกัมพูชาต่อสหรัฐฯ) ที่ร่ำลือกันนั้น สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการก็เพียงแค่ให้กัมพูชาท้าทายจีนในประเด็นทะเลจีนใต้ หรืออนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ ใช้ท่าเรือแห่งนี้ - ส่วนนี่คือความเห็นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2025
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 โดยสำนักข่าว Agence Kampuchea Presse (AKP) แสดงให้เห็นประธานวุฒิสภากัมพูชา ฮุน เซน (ขวา) และประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง กำลังเดินระหว่างการประชุมที่อาคารสันติภาพในกรุงพนมเปญ (ภาพโดย POOL / AFP)