อย่าต่อรองกับ 'ประเทศสุนัขลอบกัด' จนกว่าไทยจะยกเลิก MOU ทั้งหมด แล้วยึดดินแดนเป็นของเราโดยชอบธรรม

อย่าต่อรองกับ 'ประเทศสุนัขลอบกัด' จนกว่าไทยจะยกเลิก MOU ทั้งหมด แล้วยึดดินแดนเป็นของเราโดยชอบธรรม

การหยุดยิงเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว ประเด็นก็คือกัมพูชาก็ยังเล่นละครตบตาชาวโลก เมื่อคืนปากกับบอกกับโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าอยากจะหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข แต่มือก็ยังลั่นไกถล่มชายแดนไทยเมื่อเช้านี้อยู่หยกๆ

คนไทยอยากจะหยุดสงครามอยู่แล้ว แต่เครื่องจักรสงครามของกัมพูชาไม่ยอมหยุดเสียที ทั้งยังเจ้าเล่ห์ใช้การเกมส์การเมืองโลกเพื่อกดดันไทย มันช่างให้อภัยได้ยากจริงๆ

โปรดจำไว้ว่าพวกตระกูลฮุนและลูกน้องของพวกนี้คือ "อาชญากรสงคราม" ที่ทำร้ายพี่น้องชาวไทยผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย หากรัฐบาลให้โอกาสพวกนี้ "ล้างมลทิน" ด้วยการยอมหยุดยิง "โดยไม่มีเงื่อนไข" เท่ากับรัฐบาลมี complicity หรือพัวพันกับการทำชั่วไปด้วย

ยังดีครับที่รัฐบาลไทยไม่ยอม แถมยังกดดันกลับด้วยการบอกให้มาเจรจาสองฝ่ายเท่านั้น ไม่มีวันที่จะให้คนกลางมาต่อรอง เพราะถ้ายอมให้มี "ตาอยู่" แบบทรัมป์เข้ามาฉวยโอกาสทางการเมือง เราก็จะปราบกำแหงกัมพูชาไม่ได้เสียที

เราไม่ได้ตั้งใจที่จะรุกไปยึดดินแดนของกัมพูชาทั้งๆ ที่ทำได้ไม่ยาก แต่เราเพียงต้องการรักษาดินแดนของเราเท่านั้น

และ "ดินแดนของเรา" นี่เองที่เป็นสิ่งที่กัมพูชาต้องการ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำประการแรกคือ ดับความหวังของกัมพูชาลงเสีย

ในทัศนะของผม สิ่งที่เป็นเหตุแห่งความบ้าคลั่งของกัมพูชาในครั้งนี้มาจาก MOU 43 กับ MOU 44

MOU 43 บันทึกช่วยจำระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาเรื่องการกำหนดพรมแดน แต่แม้จะ "เข้าใจร่วมกัน" แต่ก็ขัดแย้งกันมากเพราะไทยใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 ซึ่งละเอียดและทันสมัยในการกำหนดแนวเขตแดนที่อิงกับสันปันน้ำ ส่วนกัมพูชาใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งล้าสมัยและไม่ละเอียด แต่ความคลุมเครือของแผนที่คร่ำคร่านี้ช่วยให้กัมพูชา "เคลม" ดินแดนได้ง่ายกว่าโดยอาศัยความมั่ว

นี่เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งตามแนวชายแดนแผ่นดินใหญ่แต่ไหนแต่ไรมา รวมถึงครั้งล่าสุดด้วย

การโจมตีของกัมพูชาล่าสุดยิ่งทำให้ MOU 43 เป็น "บันทึกเลือด" เพราะมันทำให้พี่น้องชาวไทยผู้ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามต้องล้มตายนับสิบคน เพราะความกระหายอยากได้ดินแดนของกัมพูชา

การสังหารพลเรือนและโจมตีโรงพยาบาลก็เป็นโทษหนักทางกฎหมายระหว่างประเทศอยู่แล้ว นี่ยิ่งทำให้ไทยมีเหตุอันควรที่จะยกเลิก MOU 43 ไปด้วยเพราะกัมพูชา "ละเมิดอย่างร้ายแรง" ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยเงื่อนไขการยกเลิกสนธิสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ ระหว่างกัน

เมื่อไทยยกเลิกแล้ว ด้วยแสนยานุภาพทางทหารของไทยก็ควรทำการยึดดินแดนตามสันปันน้ำให้มั่นคงเป็นการครอบครองโดยปริยายตามหลักกฎหมายสากล ไม่ต้องเจรจากับกัมพูชาอีกเพราะไม่มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาพรมแดน แถมยังปลิดชีพผู้คนอย่างเหี้ยมโหด

บางคนเสนอว่าแทนที่จะยึดแนวสันปันน้ำ "ตามหลักสากล" กองทัพไทยควรลงไปยึดแนวกันชนสักหลายๆ กิโลเมตร เพื่อป้องกันประเทศจากการ "ลอบกัด"

ไทยสามารถเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ (โดยไม่ต้องประกาศสงครามก็ได้) จากนั้นทำการปราบกัมพูชาให้ยอมแพ้ แล้วบังคับให้กัมพูชายอมรับ "แนวปลอดทหาร" (Demilitarized zone) ที่กำหนดโดยไทยเป็นแนวยาวตลอดชายแดน ซึ่งเขตนี้ยังเป็นดินแดนของกัมพูชา แต่ห้ามมีทหารประจำการไว้ และถือเป็น "เขตอิทธิพลของไทย"

เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับไทยมาแล้วหลังจากไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง แม้ว่าฝั่งขวาของแม่น้ำโขงคือภาคอีสานจะยังอยู่กับไทย แต่ฝรั่งเศสบังคับให้ไทยต้องมี Demilitarized zone กินพื้นที่นับสิบกิโลเมตรตามแนวแม่น้ำโขง นับเป็นความอัปยศใจอย่างยิ่ง

ครั้งนี้หากทำได้ไทยก็ควร "ล้างแค้น" กัมพูชาที่เรียกฝรั่งเศสเข้ามายึดดินแดนไทยในสมัยนั้น เพื่อสั่งสอนอบรมประเทศอันธพาลนี้และประเคน "ผลกรรม" ที่เคยทำไว้ให้สำนึกเสียบ้าง

แม้ว่าประเทศมหาอำนาจจะไม่ยอมให้ไทยทำแบบนั้นง่ายๆ แต่ถ้ารบกันหนักจนกัมพูชา "ยอมศิโรราบแบบไร้เงื่อนไข" ไทยก็ทำได้

แต่ย้ำว่าทำแบบนั้นไทยต้อง "ขวัญกล้า" ไม่ฟังใครหน้าไหนในโลก แล้วบุกกัมพูชาให้ราบคาบไป

ส่วน MOU 44 ที่รัฐบาลไทยชุดก่อน ดัน "เสียที" ที่ไปแบ่งน่านน้ำอ่าวไทยกับกัมพูชา โดยไปยอมรับการลากเส้นแบบมั่วๆ ของกัมพูชา ข้อตกลง "เฮงซวย" นี้ก็ควรยกเลิกเช่นกัน เพราะน่านน้ำของไทยไม่ได้ทับซ้อนกับใคร แต่ที่มัน "ทับและซ้อน" เพราะกัมพูชาลากเส้นเคลมน่านน้ำไทยโดยไม่ได้อาศัยหลักการสากลใดๆ แถมประเทศนี้ยังไม่ได้เป็นภาคีสนธิสัญญาสากลว่าด้วยการกำหนดน่านน้ำด้วย

เป็นประเทศเถื่อนที่ทำอะไรเถื่อนๆ เช่นเคลมดินแดนผู้อื่นนั่นเอง

รัฐบาลไทยชุดใดก็ตามที่คล้อยตามประเทศเถื่อน ก็ควรถูกพิจารณาว่าเป็นพวกเถื่อนไร้สติปัญญาไปด้วย

ในเมื่อตัว MOU 44 ไร้ความชอบธรรมก็ฉีกๆ ทิ้งไปเถอะ ทั้งด้วยเหตุที่มันไร้เหตุผลสิ้นดีและเหตุที่กัมพูชา "ละเมิดอย่างร้ายแรง" ถึงขั้นเข้าเงื่อนไขยกเลิกข้อตกลงใดๆ ได้ที่เกี่ยวกับพรมแดนและน่านน้ำ

ถ้าเกิดนักการเมืองและนายทุนไทยกลัวจะเสียผลประโยชน์ ผมขอแนะนำว่า ในเวลานี้ไทยจะยึดอะไรก็ง่ายไปหมด แม้แต่ MOU 44 ที่แบ่ง "แหล่งพลังงาน" ใต้น้ำ เราจะไปแบ่งกับคนอื่นทำไม ในเมื่อเรามีโอกาสที่จะเก็บผลประโยชน์นั้นไว้กับไทยแต่ฝ่ายเดียว?

เว้นแต่จะมีจิตใจที่โลเลเรื่องความรักชาติเท่านั้นที่อยากจะเก็บ MOU 44 และ MOU 43 เอาไว้

โปรดทราบว่า ถึงจะแบ่งผลประโยชน์กันลงตัว แต่กัมพูชามีพฤติกรรมเหมือนคนทรงเจ้า คือ "ผีเข้าผีออก" เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าแบ่งผลประโยชน์กันวันนี้ แล้ววันหน้าจะไม่ทำตัวเป็น "สุนัขลอบกัด" แบบนี้อีก?

ไม่เชื่อถามคนในบ้านชินวัตรดูก็ได้

ทั้งหมดนี้ เป็นแค่ข้อเสนอ หรือจะเรียกให้ถูกต้องกว่าคือ "ความฝัน" ของผมที่อยากจะให้ไทยปราบประเทศนี้จริงๆ จังๆ เสียที เพราะเห็นๆ อยู่ว่าเป็นภยันตรายต่อเราและต่อโลกเพียงใด

วิธีการปราบก็ไม่ยากไปกว่า "อย่าไปเสริมพลัง" ประเทศแบบนี้โดยการทำข้อตกลงที่เท่าเทียมกัน ประเทศที่มีพฤติกรรมชั่วร้ายเช่นการสังหารพลเรือนคนไทยและทำลายโรงพยาบาลควรได้รับการปฏิบัติที่ "ต่ำต้อยกว่า"

หลังจากนี้ผมได้แต่ฝันว่าผู้มีอำนาจในไทยทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารจะปฏิบัติต่อประเทศนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - ทหารกัมพูชายืนอยู่บนรถบรรทุกที่บรรทุกเครื่องยิงจรวด BM-21 กำลังแล่นไปตามถนนในจังหวัดอุดรมีชัย เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 (ภาพโดย TANG CHHIN Sothy / AFP)

TAGS: #กัทพูชา #MOU43 #MOU44