สำนักข่าว FTNN新聞網 ของไต้หวันมีรายงานพิเศษหลายตอน ว่าด้วย "เงินสีดำ" ซึ่งเกี่ยวกับเบื้องหลังของธุรกิจสแกมเมอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะความเกี่ยวข้องกับพวกธุรกิจสีเทากับผู้มีอำนาจในกัมพูชานั้น สื่อนี้บอกว่า “กิจกรรมเหล่านี้ (การฉ้อโกง) ดูเหมือนว่าได้รับการอนุมัติโดยปริยายจากรัฐบาลกัมพูชา”
สื่อไต้หวันรายนี้อ้างคำกล่าวของ แอกเนส คัลลามาร์ด เลขาธิการของ Amnesty International ที่กล่าวตำหนิความล้มเหลวของรัฐบาลกัมพูชาว่าทำให้กลุ่มฉ้อโกงนี้ยิ่งกล้าหาญมากขึ้น "และมืออันชั่วร้ายของพวกเขาได้แผ่ขยายเข้าสู่ประชาคมโลก ทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนหลายล้านคน"
ในขณะที่ เฟลเลอร์ ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคของ Amnesty International ยังชี้ให้เห็นว่ามี "การสมรู้ร่วมคิด" ระหว่างรัฐบาลกัมพูชาและกลุ่มฉ้อโกงนี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชาได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวและย้ำว่ากัมพูชาก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจของไต้หวันกล่าวเน้นย้ำว่า"อันที่จริง หลายประเทศเชื่อว่าผู้นำใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มฉ้อโกงกัมพูชาคือรัฐบาลกัมพูชา หากเป็นความจริง จะมีสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ดีได้อย่างไร หากชาวไต้หวันวางแผนที่จะลงทุนในกัมพูชา พวกเขาต้องระมัดระวัง!"
FTNN新聞網 รายงานอ้างสถิติของ "แผงข้อมูลควบคุมป้องกันการฉ้อโกง" ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่าตั้งแต่เดือนมีนาคมปีนี้จนถึงปัจจุบัน มีคดีฉ้อโกงเกิดขึ้นเฉลี่ย 16,000 คดีต่อเดือน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางการเงินประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์ไต้หวันต่อเดือน ตำรวจประเมินเป็นการส่วนตัวว่าอย่างน้อย 30% ของการฉ้อโกงด้านโทรคมนาคมและการฉ้อโกงด้านการลงทุนอาจมาจากศูนย์ฉ้อโกง 53 แห่งในกัมพูชา
จากการสืบสวนพบว่าศูนย์ฉ้อโกงบางแห่งในกัมพูชาเคยเป็นคาสิโน โรงแรม หรือรีสอร์ท หลังจากการประกาศห้ามการพนันออนไลน์อย่างเป็นทางการในปี 2562 แก๊งฉ้อโกงเหล่านี้ก็ปิดตัวลงเรื่อยๆ แก๊งฉ้อโกงจึงฉวยโอกาสนี้เข้าควบคุมและเปลี่ยนสถานที่เหล่านี้ให้กลายเป็นนรกบนดิน แหล่งฉ้อโกงมักถูกล้อมรอบด้วยรั้วลวดหนามและติดตั้งกล้องวงจรปิดหลายร้อยตัว
สื่อไต้หวันยังชี้ว่า สหประชาชาติระบุว่ากัมพูชาได้กลายเป็นฐานการฉ้อโกงระดับโลกในช่วงการระบาดของโควิด-19 แต่ละศูนย์การฉ้อโกงสามารถรองรับผู้กระทำความผิดได้มากถึง 100,000 คน และกลุ่มฉ้อโกงส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของชาวจีน จากการสืบสวนพบว่า "มูลค่าผลผลิต" ต่อปีของอุตสาหกรรมการฉ้อโกงในกัมพูชาสูงกว่า 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กลุ่มฉ้อโกงเหล่านี้มักจะจ่าย "ค่าคุ้มครอง" จำนวนมากให้กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ดังนั้น เจ้าหน้าที่บางคนจึงกลายเป็นผู้ปกป้องและเข้าไปแทรกแซงปฏิบัติการช่วยเหลือเหยื่เป็นครั้งคราว
FTNN新聞網 ตั้งข้อสังเกตว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลของประเทศต่างๆ ได้ร่วมกันปฏิบัติการช่วยเหลือเหยื่อในนิคมสแกมเมอร์ผ่านเจ้าหน้าที่กัมพูชา แต่หลังจากที่กองกำลังนานาชาติบุกเข้าไปในสวนทุจริต พวกเขากลับไม่พบเหยื่อเลย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าเหยื่อเหล่านี้ได้ติดต่อตำรวจในประเทศบ้านเกิดอย่างลับๆ และถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายรุมทำร้ายจนเกือบตายในวันรุ่งขึ้น
"นอกจากนี้ รัฐบาลกัมพูชาเคยออกมาแถลงอย่างเป็นทางการว่ากองกำลังพิเศษของกองทัพและตำรวจได้ดำเนินการกวาดล้างสวนทุจริตครั้งใหญ่แล้ว แต่ต่อมากลับพบว่าสวนทุจริตที่ตั้งอยู่ในโบตุมสกอร์ยังคงเปิดดำเนินการอยู่หลังจากการโจมตีถึงสามครั้ง จึงไม่น่าแปลกใจที่โลกภายนอกมักจะตั้งคำถามว่าภายใต้การคุ้มครองของเจ้าหน้าที่กัมพูชา กลุ่มก่อการร้ายสามารถฟื้นคืนชีพและเติบโตต่อไปได้อย่างไร" FTNN新聞網 ระบุ
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP