ความจริงฝ่ายค้านกัมพูชา ที่นำโดยนายสม รังสี และพลพรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชาของเขา รวมถึงนายลึม กึมยา ที่ถุูกลอบสังหารในเมืองไทย ล้วนแต่เป็นพวก "กินบนเรือนขี้บนหลังคา" ทั้งสิ้น เพราะเคยพึ่งพาอาศัยไทยในการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่แล้วกลับเป็นพวกแรกที่ชูประเด็น "เกาะกูดเป็นของกัมพูชา" และเรียกร้องให้ไทยไปขึ้นศาลโลกเพื่อจะใช้วิธีนั้นแย่งเกาะกูดมาจากไทย
แบบนี้ไม่เรียกว่า "เนรคุณ" ก็คงไม่ได้
แม้ว่าพวกฝ่ายค้านกัมพูชาหันมาแทงข้างหลังไทยแบบนี้ แต่ก็ยัง "รักชาติ" ในแบบของตน จนกระทั่งทำให้คนกัมพูชา "คลั่งอยากได้เกาะกูดขึ้นมา" และทำให้ "กระแสรักชาติ" จุกติดขึ้นในใจผู้คน กลายเป็นการเรียกร้องรัฐบาลให้กดดันไทย และบ้างก็ต่อว่ารัฐบาลว่า "ขายชาติ" เพราะสนิทสนมกับตระกูลชินวัตร
และได้สร้างแรงกระเพื่อมไปถึงรัฐบาลตระกูลฮุนจนนั่งไม่ติด ทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องหันมาปั่นกระแสชาตินิยมบ้าง โดยเริ่มจากการก่อกวนที่ปราสาทตาเมือนธม และตามด้วยการก่อกวนที่ช่องบก ซึ่งทำให้ระแสชาตินิยมในกัมพูชาพุ่งสูงขึ้นมาโดยที่ตระกูลฮุนพยายามโหนกระแสนี้ด้วยการยกตัวเองเป็น "ผู้รักชาติที่แท้จริงยิ่งกว่า" ทำให้กระแส "ผู้รักชาติตัวจริง" ที่ริเริ่มโดยฝ่ายค้านต้องดับไป
คราวนี้ ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างก็มีวาระเดียวกันแล้ว แม้จะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ แต่ล้วนแต่เห็นช่องทางว่า "หากจะอยู่ในอำนาจจะต้องปั่นกระแสรักชาติ"
ดังนั้น ทั้ง ฮุน เซน และ สม รังสี ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกัน จึงเดินบนเส้นทางเดียวกัน นั่นคือป่าวประกาศว่าไทยเป็นศัตรู และทำให้คนเขมรรักบ้านเมืองตัวจนถึงขึ้นคลั่งไคล้อย่างหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา
ความรักชาติของ "ฮุน" และ "สม" ถือเป็น Toxic nationalism หรือ "ชาตินิยมเป็นที่เป็นพิษ" เพราะปั่นให้คนในประเทศเชื่อว่ามีศัตรูภายนอก เพื่อเบี่ยงเบนความเลวร้ายภายใน และเพื่อจะใช้ชาตินิยมแย่งอำนาจในหมู่ "อีลีต"โดยที่ประชาชนเป็นแค่เบี้ยแต่หมากทางการเมือง
ถือเป็น "ชาตินิยมชั้นเลว"
แต่มันก็ยังเป็นชาตินิยม และในห้วงเวลาที่ไทยกับกัมพูชาเผชิญหน้ากัน ประเทศไทยก็ไม่อาจไม่มีชาตินิยมได้ เพราะนี่คือ "สงครามระหว่างชาตินิยม"
ผมได้เขียนสนับสนุนแนวคิดชาตินิยมในไทยมาเกือบสิบปีแล้ว ในช่วงเวลาที่นักคิดนักเขียนรังเกียจชาตินิยม โดยฉพาะฝ่าย "ลิเบอรัล" หรือ "โว๊ค" ซึ่งฝันเฟื่องว่า "โลกควรจะไร้พรมแดน" และ "มนุษย์ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน"
แต่ในเวลานี้ สถานการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่า กัมพูชาไม่อยากอยู่ร่วมโลกกับไทย คนเขมรถูกปั่นให้รังเกียจไทยโดยไม่หัวคิดพิจารณา และพวกชนชั้นนำทางการเมือง "รักชาติแต่ปาก"
หากไทยจะ "สั่งสอน" กัมพูชาให้ละวาง "ชาตินิยมเป็นที่เป็นพิษ" แล้วสร้างสันติสุขที่แท้จริงและยั่งยืน ไทยจะต้องสามัคคีกันสนับสนุน "ความรักชาติ" และ "ชาตินิยมที่เป็นคุณ" นั่นคือความรักชาติตัวเองโดยไม่จ้องทำลายชาติอื่นหรือต้องการดินแดนของใครเขา เหมือนที่พวก "เขมรต่ำ" กำลังทำอยู่
ผมไม่ได้เรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกฝ่ายสามัคคีกัน แต่ควรจะปรับวาระและท่าทีให้คล้ายกันบ้าง เช่น หากฝ่ายอนุรักษ์นิยมออกมาชุมนุมเรียกร้องชาตินิยม ฝ่ายเสรีนิยมหรือพวกก้าวหน้าก็สามารถติติงได้หากฝ่ายอนุรักษ์ฯ ล้ำเส้นกลายเป็น "ชาตินิยมเป็นที่เป็นพิษ" และมี "วาระแอบแฝงทางการเมือง"
ในสภาวะที่ใกล้จะเกิดสงคราม และควรจะมี "รัฐบาลเอกภาพ" ด้วยซ้ำ หน้าที่ของฝ่ายตรงข้ามจึงไม่ควรเป็น "จระเข้ขวางคลอง" แต่ควรเป็น "นายท้ายเรือ" ที่คอยดูว่ากระแสชาตินิยมที่เกิดขึ้นในไทยกำลังหลงทางหรือไม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการชุมนุมแสดงพลังชาตินิยม กลายเป็น "การเรียกร้องรัฐประหาร" ก็ควรจะดึงสติกันไว้ ไม่ใช่ด่าเหมารวมว่าความรักชาติคือบ่อเกิดของปัญหาการเมือง
พูดง่ายๆ ก็คือ แม้จะไม่ชอบชาตินิยม แต่ก็ต้องสนองกับเจตจำนงค์ของประชาชนทั้งประเทศไปก่อนในเวลานี้ โดยใช้ความสามารถของตนในการดึงสติของประชาชนไม่ให้กลายเป็นความ "คลั่ง" จนกระทั่งความขัดแย้งลามปามไปสู่การนองเลือดระหว่างประชาชนสองประเทศ หรือเกิดศึกภายในประเทศเสียเอง
แต่แล้วพวกเขากลับไปประณาม "ความรักชาติ" ของคนอื่นโดยใช้โวหารอันเลื่อนลอย และตำหนิชาตินิยมแบบเท่ๆ ไปงั้นๆ เพียงเพราะแกนหลักอุดมการณ์ของตนนั้นเป็น "ลิเบอรัล" ที่เกลียดความเป็นชาติ จนทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเวลาเวลาบอกว่า "รักชาติ"
แบบนี้ไม่มีความใจกว้างทางการเมือง ไม่รู้หัวใจของประชาชนในเวลานี้ และยึดมันถือมั่นกับความคิดของตัวเองแม้ว่าประเทศชาติจะเรียกร้องความรักบ้านรักเมือง
แบบนี้ก็เข้าทางพวกกัมพูเชี่ยนสิครับ
ดังนั้น พวกเขมรต่ำจึงนั่งหัวเราะแล้วเย้ยว่า "คนไทยทะเลาะกันเอง" ซึ่งเป็นเรื่องจริง เพราะประเทศไทยนั้น "นักการเมืองสนใจแต่การครองอำนาจ" มีแต่ประชาชนคนเดินดินที่คอยเรียกร้องให้เกิดเอกภาพด้วยชาตินิยม
ผมไม่ได้พูดถึงรัฐบาล เพราะป่วยการจะพูดถึง ทั้งพรรคหลัก พรรคร่วม ล้วนแต่เอาอำนาจไว้ก่อน ความรักชาติไว้ทีหลัง นี่คือเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนครั้งแรกๆ ว่า "ประเทศไทยไม่มีเอกภาพ" เพราะนักการเมืองไม่สนองตอบความรักชาติของประชาชน
สถานะของการเมืองไทยในเวลานี้จึงเลวยิ่งกว่าการเมืองเขมรเสียอีก ที่ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลที่จ้องจะฆ่ากันมาตลอด กลับสนองวาระของและกัน แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม
ชาตินิยมที่เป็นพิษของกัมพูชา จึงกลายเป็นคุณต่อกัมพูชาใน "ช่วงสงคราม"
ในขณะที่ความรักชาติของคนไทยที่มากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน กลับถูกนักการเมืองบดขยี้ด้วยฝ่าเท้า ด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจของผู้คน จนกระทั่งต้อง "เรียกร้องให้ทหารออกมาปกป้องชาติ" พูดง่ายๆ คือ "ทำรัฐประหาร"
แม้กองทัพจะยังไม่มีวี่แววทำรัฐประหาร แต่ทหารได้กลายเป็นความหวังของประชาชนไป เพราะหมดอาลัยตายอยากกับพวกพรรคการเมืองที่รวมหัวกัน "เสวยอำนาจ" กันต่อไป
ในขณะที่ฝ่ายค้าน แทนที่จะรู้จักช่วงชิงกระแสชาตินิยมอันเป็นคุณและยังไม่กลายเป็นความคลั่ง กลับทำลายโอกาสนั้นเสีย โดยประณามความรักชาติของคนไทยโดยไร้หัวคิดเพียงเพื่อจะถนอมรักษา "อุดมการณ์" ของตนเอง และเพราะ "กลัวทหารจนขึ้นสมอง" นี่ยิ่งเท่ากับบดขยี้ความรักชาติไทยด้วยฝ่าเท้าอีกเช่นกัน
โดยมิได้สำเหนียกเลยว่า เพราะการทิ้งให้ประชาชนรักชาติกันเพียงลำพังนี่แหละที่ทำให้ประชาชนต้องเรียกร้องให้ทหารออกมา ทั้งๆ ที่ฝ่ายการเมืองควรจะเป็นผู้ที่สนองตอบเสียงเรียกร้องและความอัดอั้นของประชาชนที่สุด
นี่และผมถึงบอกว่า แม้แต่ฝ่ายค้านกัมพูชาก็ยังรักบ้านเมืองของเขากว่านักการเมืองไทย แม้ว่ามันจะรักกันอย่างปลอมๆ แต่ก็ยังไม่ได้เมินเฉยและปิดปาก "เสียงประชาชน" เหมือนในไทย
หรือว่าไม่จริง?
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo
1 - นายสม รังสี ฝ่ายค้านกัมพูชาที่กำลังลี้ภัยและหัวหน้าพรรคสังเคราะห์ชาติกัมพูชา (CNRP) ถ่ายรูประหว่างการประชุมที่บ้านของเขาในปารีส เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2023 (ภาพโดย JOEL SAGET / AFP)
2 - ฮุน เซน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาและพลเอกระดับห้าดาว กำลังพูดคุยกับทหารระหว่างการเยือนกองกำลังติดอาวุธที่ประจำการอยู่ตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทยในจังหวัดพระวิหาร (ภาพถ่ายโดย POOL / AFP)