1. ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปี 2024 อีลอน มัสก์บริจาคเงินมากกว่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ในรัฐบาลทรัมป์ มัสก์เป็นผู้นำแผนกประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency) ซึ่งพยายามที่จะปรับโครงสร้างระบบราชการของรัฐบาลกลางอย่างมาก เขาทำหน้าที่เป็นพนักงานรัฐบาลพิเศษ โดยจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งไว้ที่ 130 วัน
2. ในเดือนพฤษภาคม มัสก์ก็ลาออกจากรัฐบาลทรัมป์ในพิธีอำลาที่จัดให้เป็นพิเศษ แต่ทันทีที่นักข่าวออกจากห้องโอวัลออฟฟิศ ทรัมป์เผชิญหน้ากับมัสก์เกี่ยวกับการบริจาคทางการเมืองที่มอบให้กับพรรคเดโมแครตโดยจาเร็ด ไอแซกแมน พันธมิตรของมัสก์ซึ่งเป็นผู้บริหารนาซ่าที่ได้รับการเสนอชื่อจากทรัมป์ ทรัมป์แจ้งไอแซกแมนไม่กี่ชั่วโมงต่อมาว่าเขาจะถูกถอนชื่อจากการเสนอให้เป็นผู้บริหารนาซ่า
3. ความขัดแย้งของทั้งสองรุนแรงขึ้น หลังจากที่ร่างกฎหมาย One Big Beautiful Bill Act (กฎหมายที่จะลดภาษีซึ่งจัเป็นประโยชน์ต่อผู้มีรายได้สูงเป็นหลัก และจะยังลดการใช้จ่ายของรัฐบาลที่ไม่ใช่เรื่องการทหารด้วย) ซึ่งร่างโดยทรัมป์และพรรครีพับลิกันผ่านสภาผู้แทนราษฎร มัสก์ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้ขาดดุลเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในตอนแรก เขาไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์โดยตรง ในเดือนมิถุนายน มัสก์กล่าวกับ CBS News Sunday Morning ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะสวนทางกับการทำงานของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาลที่เขาเคยทำงานมาก่อน
4. เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2025 ทรัมป์ได้พบกับฟรีดริช เมิร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนีที่ห้องโอวัลออฟฟิศ ในระหว่างการประชุม ทรัมป์กล่าวว่าเขามี "ความสัมพันธ์ที่ดี" กับมัสก์ และว่าเขา "ผิดหวัง" ในตัวมัสก์ที่วิจารณ์ร่างกฎหมาย One Big Beautiful Bill Act และบอกว่าเขาคงจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 แม้จะไม่มีมัสก์ก็ตาม ทรัมป์ยังบอกว่ามัสก์วิพากษ์วิจารณ์ร่างกฎหมายดังกล่าวเพราะมีการตัดเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าห่วงใยเรื่องหนี้สาธารณะ และมัสก์คิดถึงการอยู่ในทำเนียบขาว
5. มัสก์กล่าวหาว่าทรัมป์เป็น "คนเนรคุณ" และคงจะแพ้การเลือกตั้งถ้าไม่ใช่เพราะเขาช่วยเหลือด้านกิจกรรมทางการเมือง และปฏิเสธข้ออ้างของทรัมป์ที่ว่าเขาเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ร่างกฎหมายเพราะการตัดงบประมาณอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า มัสก์ยังกล่าวหาว่าทรัมป์อยู่ใน "แฟ้มเอปสเตน" (Epstein files) ซึ่งเป็นบันทึกของรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับเจฟฟรีย์ เอปสเตน ผู้กระทำความผิดทางเพศที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด และมีความเกี่ยวข้องกับคนดังและผู้นำระดับสูงหลายคน แต่มัสก์ได้ลบโพสต์ข้อกล่าวหาดังกล่าวในวันที่ 7 มิถุนายน
6. หลายชั่วโมงต่อมา ทรัมป์เขียนบน Truth Social ว่ามัสก์ "เป็นบ้าไปแล้ว" หลังจากที่ "คำสั่ง EV" ถูกยกเลิก จากนั้นเขาก็ขู่ว่าจะตัดสัญญากับรัฐบาลของมัสก์ ในเย็นวันนั้น มัสก์เรียกร้องให้ถอดถอนทรัมป์เป็นครั้งที่สาม คืนนั้น Politico รายงานว่ามัสก์และทรัมป์มีกำหนดจะโทรศัพท์หากันเพื่อคืนดีกัน โดยตอบสนองต่อคำร้องขอของบิล อัคแมน ผู้จัดการกองทุนป้องกันความเสี่ยงที่ขอให้ชายทั้งสอง "คืนดีกันเพื่อประโยชน์ของประเทศอันยิ่งใหญ่ของเรา" มัสก์กล่าวว่าเขา "ไม่ได้พูดอะไรผิด"
7. วันรุ่งขึ้น ทำเนียบขาวระบุว่าไม่มีการวางแผนที่จะโทรศัพท์หากัน ต่อมาทำเนียบขาวกล่าวว่าทรัมป์กำลังขายรถ Tesla รุ่น S สีแดงที่เขาได้รับจากมัสก์ ทรัมป์บอกกับ ABC News ว่ามัสก์ "เสียสติ" และเขาไม่สนใจที่จะคุยกับมัสก์ และในบทสัมภาษณ์ของ CNN ทรัมป์ย้ำอีกครั้งว่าจะไม่คุยกับมัสก์ในอนาคตอันใกล้นี้ ตามรายงานของ Bloomberg News ผู้ช่วยของทรัมป์ส่งสัญญาณว่าทรัมป์กำลังจะเดินหน้าต่อไปและเขาจะไม่ยกเลิกสัญญากับรัฐบาลของมัสก์
8. ต่อมา The New York Times รายงานว่าทรัมป์กล่าวหาว่ามัสก์ใช้ยาเสพติดจนแสดงพฤติกรรม "บ้าๆ" ออกมา วันรุ่งขึ้น ทรัมป์กล่าวว่าเขาไม่ต้องการที่จะคืนดีกับมัสก์ และกล่าวเพิ่มเติมว่ามัสก์จะเผชิญกับ "ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงมาก" หากเขาให้เงินสนับสนุนพรรคเดโมแครต ในการให้สัมภาษณ์กับ NBC News อย่างไรก็ตาม มัสก์เสนอให้จัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อเป็นตัวแทนของประชากร " 80% ที่อยู่ตรงกลาง"
9. ผลจากการเผชิญหน้ากันครั้งนี้ ทำให้หุ้นของ Tesla, Inc. ร่วงลง 15% ซึ่งเป็นช่วงการซื้อขายที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 และการร่วงลงของราคาหุ้นของ Tesla ส่งผลให้หุ้นสินค้าฟุ่มเฟือยสำหรับผู้บริโภคมีวันตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน นอกจากนี้ สกุลเงินดิจิทัลของ Trump อย่าง $TRUMP ก็ร่วงลง 12% ด้วย การทะเลาะวิวาทครั้งนี้ทำให้มัสก์สูญเสียเงินไป 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
10. ไม่เพียงเท่านั้น สตีฟ แบนนอน อดีตที่ปรึกษาของทรัมป์ยังเรียกร้องให้ทรัมป์ยกเลิกสัญญารัฐบาลกับบริษัทของมัสก์ และให้สอบสวนสถานะการย้ายถิ่นฐานของเขาจากแอฟริกาใต้มาอยู่ที่สหรัฐฯ และให้สอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องใช้ยาเสพติด และความพยายามอย่างชัดเจนของมัสก์ที่จะเข้าร่วมการบรรยายสรุปลับเกี่ยวกับสงครามที่อาจเกิดขึ้นระหว่างจีนและไต้หวัน (มัสก์มีธุรกิจในจีน) แต่มัสก์ก็เรียกแบนนอนว่าเป็น "คอมมิวนิสต์ปัญญาอ่อน"
โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better
Photo by SAUL LOEB and Jim WATSON / AFP