ลูกกร่างอ้าง 'พ่อกูใหญ่' นิสัยคล้ายกันของพวก 'รวยรุ่นสอง' ผลไม้พิษของนักการเมืองในจีนและไทย

ลูกกร่างอ้าง 'พ่อกูใหญ่' นิสัยคล้ายกันของพวก 'รวยรุ่นสอง' ผลไม้พิษของนักการเมืองในจีนและไทย

ข่าวดังในเมืองไทยเรื่อง 'ไอ้หนุ่ม BM' ที่มีพ่อเป็นนายกเทศมนตรี คล้ายแต่ไม่เหมือนกับกรณีในประเทศจีนที่ชิงชังพวก 'รวยรุ่นสอง' หรือ 'ฟู่เอ้อร์ไต้' (富二代)  ซึ่งหมายถึงลูกของพ่อที่เป็นเศรษฐีใหม่ 

พวก  'รวยรุ่นสอง' บางคนก็นิสัยดี แต่หลายคนเป็นที่หมั่นไส้ของสังคมจีน เพราะมักจะอวดรวย และ "ชอบกร่าง" เพราะคิดว่ากูแน่กูรวย และ "พ่อกูใหญ่" เหมือนกับพ่อหนุ่ม BM ที่พอมีเรื่องก็อ้างพ่อนักการเมืองท้องถิ่นในทันที

ในเมืองจีนก็เช่นกัน พวก 'รวยรุ่นแรก' หรือ 'ฟู่อีไต้' (富一代) มักเป็นคนจนมาก่อน แต่รวยและมีอำนาจขึ้นมาได้เพราะนโยบายเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ 80 คนพวกนี้ถ้าไม่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ก็เป็นคนของรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเศรษฐีใหม่ 

ส่วนเมืองไทย พวก 'ฟู่อีไต้' มักจะเป็นพวกนักการเมืองท้องถิ่น ที่แต่เดิมก็มีเงินอยู่แล้ว  แต่เริ่มจะสามารถอวดเบ่งคับฟ้าเมื่อมีการกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่น ทำให้พวกคนมีเงิน สร้างสามารถสร้างบารมีและอำนาจได้โดยอาศัยตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น

ต้องยอมรับว่าการเมืองทิ้งถิ่นเมืองไทยนั้นเหลวแหลกสิ้นดี เพราะ "เงินซื้อได้" และ "ยิ่งมีอำนาจการเมืองยิ่งหาเงินได้" และมักจะเอาเครือญาติของตนไปทำงานให้ จึงกลายเป็นการวนลูปของการคอร์รัปชั่น การเล่นพรรคเล่นพวก และการ "สร้างบ้านใหญ่" เพื่อค้ำชูการเมืองระดับชาติอีกที

พวกนี้จึงไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้น ทั้ง 'ฟู่อีไต้' (รุ่นพ่อ) และ 'ฟู่เอ้อร์ไต้' (รุ่นลูก)

ยิ่งรุ่นลูกยิ่งเลวร้าย เพราะไม่ต้องลำบากหาเงินและอำนาจ มีพ่อประเคนให้หมด จึงใช้ชีวิตแบบเหลือขอ และไม่สำนึกถึงความลำบากในการได้มาซึ้งความรวยและอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ 'อำนาจ' นั้น ถ้าได้มาง่ายๆ ก็จะใช้กดขี่ผู้คนได้ง่ายๆ ด้วย 

ดังนั้น ในเมืองจีนผู้คนจึงเกลียดพวก 'ฟู่เอ้อร์ไต้' เข้ากระดูกดำ พอมีคนเหล่านี้ถูกฆ่าตายหรือตายด้วยเหตุใดก็ตามก่อนวัยอันควร ผู้คนก็สมน้ำหน้าว่า "สมควรตายแล้ว"

แล้วพวกนี้ก็ไม่สำนึกเสียด้วยว่าสังคมมองพวกตนอย่างไร เพระคิดว่าคนที่คิดไม่ดีกับตนนั้นเพราะ "ริษยา" 

บางคนจึงทำชั่วโดยสันดานเพราะขาดความยับยั้งในทางคุณธรรม เช่น กรณีของ หลีฉี่หมิง ลูกชายของ หลี่กัง ซึ่งเมื่อปี 2010 ขับรถชนคนตายและเจ็บ แต่ไม่เพียงไม่ลงมาช่วย แต่ยังใจเย็นขับรถไปส่งแฟนสาวตัวเองถึงบ้านเสียอย่างนั้น

พอตำรวจจับ พ่อหนุ่คนนี้ก็คุยโวว่า "เอาสิ ถ้ามึงกล้าก็ฟ้องกูเลย พ่อกูคือหลี่กัง"

หลี่กังคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานความมั่นคงในท้องถิ่น ซึ่งถือว่าใหญ่พอสมควร และในตอนนั้นจีนยังไม่ใช่ยุคของ สีจิ้นผิง ซึ่งในอีกสองสามปีต่อมาจะเข้ามากวาดล้างการคอร์รัปชั่นและเจ้าหน้าที่เลวๆ ออกไป กรณีนี้จึงมีการเล่นตุกติกจาคนมีอำนาจหลายครั้ง แม้แต่ทนายความของผู้ตายก็ยังถูกรุมทำร้าย และยังมีความพยายามใช้อำนาจปิดข่าวอีกด้วย

แต่สุดท้าย กระแสสังคมเดือดดาลจนต้านไม่ไหว หลีฉี่หมิง ต้องถูกตัดสินจำคุกในที่สุดเป็นเวลา 6 ปี 

นี่เป็นเพียงหนึ่งในกรณี "มึงรู้ไหมพ่อกูเป็นใคร" ของพวก 'ฟู่เอ้อร์ไต้'

นั่นเป็นยุคที่บ้านเมืองยังมีพวกปรสิตเยอะแยะไปหมด จนกระทั่งมาถึงยุคของ สีจิ้นผิง

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั้น เกิดกรณีลูกชายของ ลิ่งจี้ฮั่ว ผู้อำนวยการของสำนักงานทั่วไปพรรคคอมมิวนิสต์จีน ขับรถเฟอร์รารี่ชนจนตัวเองและหญิงสาวในรถที่มาด้วยกันเสียชีวิตเพราะเมาแล้วขับ แต่ที่ต้องตกตะลงึก็คือพบศพลูกชายเขาในสภาพเปล่าเปลือยและหฐิงสาวก็เปลือยเช่นกัน 

พฤติกรรมของลูกชาย ลิ่งจี้ฮั่ว กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในสังคมจีนคนจีนถึงกับเรียกลูกเขาอย่างประชดประชันว่า "เจ้าชายลิ่ง" เพราะเป็นพวก 'ฟู่เอ้อร์ไต้' ที่ใช้อำนาจบารมีได้ถึงใจจริงๆ

ลิ่งจี้ฮั่ว พยายามใช้อำนาจปิดข่าวนี้ แต่แล้วเขาก็ถูกลดตำแหน่งลงในช่วงที่จะมีการโอนถ่ายอำนาจไปให้ สีจิ้นผิง บริหารประเทศพอดี หลังจากนั้นก็มีการควบคุมตัวสมาชิกในครอบครัวของ ลิ่งจี้ฮั่ว และดำเนินการสอบสวน จนกระทั่งพบว่ามีความผิดฐานคอร์รัปชั่น ใช้อำนาจโดยมิชอบ ลูกชายและภรรยาต่างก็รับสินบน ในปี 2015 เขาก็ถูกขับจากพรรคคอมมิวนิสต์ สิ้นอำนาจจากจุดเกือบสูงสุดลงมาจุดสามัญในเวลาอันรวดเร็ว และในปีถัดมาก็ถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต

กรณีนี้คือจุดจบร่วมกันของ 'รุ่นพ่อ' และ 'รุ่นลูก' ที่สามานย์พอๆ กัน

ประสบการณ์จากจีนบอกเราว่า การจะจัดการกับพวกอวดเบ่งบารมีและใช้อำนาจโดยมิชอบนั้น "จะต้องใช้ผู้นำประเทศที่เด็ดขาด" และ "มีเจตจำนงค์ทางการเมืองเพื่อประชาชน"

ถ้ามีผู้นำประเทศที่เห็นแก่คอนเนคชั่นและพวกน้อง เมืองจีน (รวมถึงเมืองไทย) จะไม่มีวันกำจัด 'ฟู่อีไต้' (รุ่นพ่อ) และ 'ฟู่เอ้อร์ไต้' (รุ่นลูก) ที่มีพฤติกรรมอันชั่วร้ายได้

เราจะเห็นว่ากรณีลูกชายของหลี่กังนั้นรับโทษน้อยเกินไปไม่สาสมกับความผิด เพราะเป็นประเทศจีนในยุคก่อนล้างบางคนชั่ว 

ถ้ามีผู้นำที่มีอุดมคติสูงในการกวาดล้างความชั่วร้ายในบ้านเมือง เช่น ยุคสมัยของ สีจิ้นผิง ต่อให้ลูกชายตายไปแล้ว พ่อก็หนีความผิดไม่พ้น แถมทั้งวงศ์ตระกูลยังถูกลากออกมารับโทษทัณฑ์กันถ้วนหน้าด้วย

สำหรับเมืองไทยนั้น ผมไม่หวังอะไรมากกว่านี้ เพราะ "นักการเมืองนับญาติกับประชาชนแค่ตอนเลือกตั้ง" พอมีอำนาจแล้วก็ "วางก้ามเบ่งใส่ประชาชน" และ "ญาติของนักการเมืองก็คือนักการเมืองที่มีอำนาจสูงกกว่า" ไม่ใช่ประชาชน

ก็มีแต่ฝากประชาชนด้วยกันนี่แหละครับว่า หากต้องการกำจัดพวกรุ่นพ่อ รุ่นลูก บ้านใหญ่ นายหัวทั้งหลายที่ไม่เห็นหัวประชาชน ก็อย่าได้เห็นแก่เงินซื้อเสียง และ 'ความช่วยเหลือ' เล็กๆ น้อยๆ 

แต่จงใช้อำนาจการเลือกตั้งของท่าน เลือกคนดีเข้ามาทำงานให้ท้องถิ่นของท่าน

เพราะคนดีๆ นั้นไม่ใช่จะดีแต่กับบ้านเกิดเมืองนอนของตน แต่เวลาไปขับรถขับราในท้องถิ่นอื่น เขาก็จะไม่ไป "ซ่า" และบ้าอำนาจกับประชาขนทั่วไปด้วย

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณธิการข่าวต่างประเทศ The Better
 

TAGS: #พีชBM #นายกเบี้ยว