'สุมาอี้' คือใคร?
- สุมาอี้ เป็นบุคคลสำคัญในยุคสามก๊กในประวัติศาสตร์จีน เขาเริ่มทำงานกับโจโฉก่อน และเป็นตอนที่พบกับโจโฉนี่เองที่เขา "แสร้งป่วย" ครั้งแรก แต่ถูกโจโฉจับได้ หลังจากทำงานกับโจโฉเขาค่อยๆ มีบทบาทมากขึ้นในยุคลูกหลานของโจโฉ ซึ่งเป็นผู้ที่ต่อมาทำการยุบราชวงศ์ฮั่นแล้วสถาปนาราชวงศ์วุ่ย (เว่ย) หรือวุ่ยก๊กขึ้น และสุมาอี้ได้รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของวุ่ยก๊ก และเป็นผู้ที่ต่อกรกับ "ขงเบ้ง" แม่แทัพใหญ่ของจ๊กก๊กอย่างดุเดือด จนกระทั่งในที่สุดขงเบ้งต้องจากโลกนี้ไปก่อนสุมาอี้
- สุมาอี้ มีอิทธิพลอย่างมากในสมัยของโจยอย จักรพรรดิของวุ่ยก๊ก และโอรสของโจผี บุตรชายของโจโฉ ที่ปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิพร้อมกับยุบราชวงศ์ฮั่นให้สิ้นสุดไป ในยุคโจยอย สุมาอี้ได้รับการปูนบำเหน็จอย่างมาก จนครอบครัวของเขาได้รับราชการใหญ่หลายคน แต่เมื่อเปลี่ยนรัชกาลในยุคโจฮอง สุมาอี้ก็และตระกูลสุมาก็ถูกบีบให้สละอิทธิพล และนี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ "สุมาอี้แสร้งป่วย" เพื่อเอาตัวรอดในยุคสมัยที่ตัวเขาถูกหมายหัวจากฝ่ายตรงข้าม
เริ่มต้นเส้นทางการเมืองก็แกล้งป่วยแล้ว
สุมาอี้มักจะแกล้งป่วยในช่วงวิกฤตของชีวิต และเป็นแท็กติกขั้นสุดยอดของเขา ถึงขนาดที่ "ประวัติศาสตร์ราชวงศ์จิ้น" หรือ จิ้นซู 《晋书》 กล่าวไว้ว่าสุมาอี้นั้น "มีกลอุบายพิเศษอยู่พอควร ฉลาดและมีความรอบรู้มาก เป็นคนขยันและมีการศึกษาดี" ราชวงศ์ชิ้นคือราชวงศ์ที่ก่อตั้งโดยคนในตระกูลสุมา ซึ่งเป็นลูกหลานของเขานั่นเอง หลังทำการยึดอำนาจจากราชวงศ์วุ่ยของตระกูลโจโฉ
การแกล้งป่วยของสุมาอี้แนบเนียนพอสมควร สามารถตบตาคนตาแหลมอย่างโจโฉและลูกหลานโจโฉได้ นั่นเพราะเขาสั่งสม "สกิล" ด้านนี้มานาน เมื่อตอนที่เขายังเป็นหนุ่มเพิ่งจะรับราชการใหม่ๆ ในเวลานั้น โจโฉเริ่มตั้งตัวเป็นใหญ่ กำลังมองหาผู้มีความสามารถมาทำงานให้เขา ตอนนั้นโจโฉได้ยินชื่อเสียงของสุมาอี้ จึงอยากจะได้ตัวมาทำงานรับใช้ให้ตน
แต่สุมาอี้มีปณิธานที่จะรับใช้บ้านเมืองไม่ใช่รับใช้โจโฉ จึงคิดที่จะปฏิเสธ ใน "ประวัติศาสตร์ราชวงศ์จิ้น" บันทึกไว้ว่าสุมาอี้นั้น "ไม่ต้องการเสียศักดิ์ศรีไปรับใช้ตระกูลโจ"
ดังนั้น สุมาอี้จึงอ้างกับโจโฉว่าเป็น "โรคลมอัมพฤกษ์" และไม่สามารถดูแลตัวเองได้ (风痹 หรือ เฟิงปี้ โรคตามตำราแพทย์แผนจีน มีอาการชาหรือเจ็บตามอวัยวะ เพราะลมเย็นหรือความชื้น คล้ายกับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์)
แต่โจโฉรู้สึกสงสัยตะหงิดๆ คิดว่าสุมาอี้น่าจะแสร้งป่วย จึงส่งคนไปที่บ้านของสุมาอี้ในตอนกลางคืนเพื่อตรวจสอบ สายลับที่ไปสอดแนมพบว่าสุมาอี้นอนนิ่งๆ อยู่ที่บ้าน โจโฉจึงเชื่อและเลิกบีบบังคับให้สุมาอี้มาทำงานรับใช้ตน
แต่มันมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้การสร้างป่วย "ไม่เนียน"
ใน "ประวัติศาสตร์ราชวงศ์จิ้น" บันทึกไว้ว่า วันหนึ่งขณะที่ครอบครัวของสุมาอี้กำลังตากหนังสือในสวน (หนังสือสมัยก่อนจะต้องนำมาตากเพื่อป้องกันความชื้น) จู่ๆ ก็มีฝนตกหนักลงมา สุมาอี้คงจะรักหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อเห็นหนังสือกำลังจะเสียหาย จึงลืมตัวว่าตัวเองแกล้งป่วย รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปเก็บหนังสือ
เผอิญว่าเหตุการณ์นี้มีสาวใช้ที่บ้านเห็นเข้า และนางไม่ได้รู้ว่าเจ้านายกำลังแกล้งป่วยอยู่
ภรรยาของสุมาอี้ทราบเรื่อง เพราะกลัวความลับรั่วไหล จึงฆ่าสาวใช้ด้วยมือของนางเอง แล้วทำการปรุงอาหารด้วยตัวเอง
มาถึงจุดนี้เป็นที่ถกเถียงกันว่า ที่หนังสือประวัติศาสตร์ใช้คำว่า "ก่อไฟปรุงอาหาร" หลังการฆ่าสาวใช้มันควรหมายถึงอะไรกันแน่? มันอาจจะหมายความว่า เมื่อฆ่าสาวใช้แล้วภรรยาของสุมาอี้ต้องทำอาการเลี้ยงสามีด้วยตัวเองก็ได้ (เพราะสามีแกล้งเป็นอัมพฤกษ์ขยับตัวทำอะไรไม่ได้) และยังอาจหมายความว่านางอำพรางศพสาวใช้ด้วยการนำศพ "ไปก่อไฟปรุงอาหาร" ด้วยตัวเอง
ถ้าเป็นแบบหลังก็นับว่าภรรยาของสุมาอี้ใจเด็ดและเหี้ยมเอามากๆ
แกล้งป่วยครั้งสำคัญที่เปลี่ยนโลก
อย่างไรก็ตาม สุมาอี้แกล้งป่วยไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะเมื่อโจโฉเป็นใหญ่แล้ว มีตำแหน่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี เขาก็ชักชวนสุมาอี้มาร่วมงานด้วยกันจนได้ และคราวนี้สุมาอี้ไม่มีทางที่จะแสร้งป่วยอีก
เพราะคราวนี้โจโฉรู้ทันถึงกับสั่งอย่างเด็ดขาดว่า "ถ้าคราวนี้ยังลอยชายอยู่อีก ก็จับให้จับตัวมาเลย" นั่นหมายความว่าโจโฉรู้ว่า สุมาอี้ "ลอยชาย" คือแกล้งป่วยอยู่กับบ้านเฉยๆ เมื่ออีกฝ่ายรู้ความจริงแล้ว สุมาอี้ไม่มีทางเลือก ได้แต่ยอมมาทำงานรับใช้โจโฉ
แต่การนำสุมาอี้เข้ามาทำงานให้ตระกูลโจ คือสิ่งที่จะทำร้ายตระกูลโจในอนาคต
ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์จิ้นบันทึกไว้ว่า ตอนที่สุมาอี้กำลังจะมา "มอบตัว" กับโจโฉ โจโฉฝันถึง "สามม้าร่วมราง" ซึ่งในภาษาจีนคือ 三马同槽 ประกอบด้ยคำว่า สามม้า (三马) ที่พ้องกับเสียง "สุมา" (司马) ซึ่งเป็นแซ่ของสุมาอี้ และคำว่า ถง (同) แปลว่า ร่วม และคำว่า โจ (槽) แปลว่า รางน้ำสำหรับสัตว์กินอาหาร แต่พ้องเสียงกับแซ่ของโจโฉ คือ 曹
โจโฉจึงสงสัยว่า "สุมา" อาจจะมา "ร่วมอำนาจ" กับตน หรือพูดง่ายๆ คือแแย่งชิงอำนาจนั่นเอง ซึ่งเป็นลางสังหรที่ถูกต้องครึ่งหนึ่ง เพราะตระกูลสุมาจะไม่ทันทำร้ายโจโฉ แต่จะเป็นผู้บดขยี้ตระกูลโจในภายหลังจากที่โจโฉตายไปแล้วนานหลายปี
สมัยของโจโฉนั้นเขาไม่ยอมตั้งตัวเป็นจักรพรรดิเสียเองทั้งๆ ที่มีโอกาส แต่เมื่อลูกของเขาคือ โจผีรับสืบทอดอำนาจต่อจากพ่อ ก็ทำการยึดอำนาจจากราชวงศ์ฮั่น แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิราชวงศ์วุ่ย หลังจากสิ้นโจผี สุมาอี้ก็ยิ่งมีบทบาทมากขึ้นในรัชกาลต่อมาคือสมัยของโจยอย โอรสของโจผี
แต่เมื่อโจยอยสวรรคตแล้ว โจหอง โอรสบุญธรรมขึ้นเป็นจักรพรรดิ ในยุคนี้เครือญาติของตระกูลโจแย่งอำนาจกับตระกูลสุมา นั่นคือโชซองผู้มีเจตนาร้ายต่อตระกูลสุมา ทำให้สุมาอี้ต้องแสร้งป่วยอีกครั้ง
สุมาอี้อาจจะป่วยจริงก็ได้เพราะอายุมากแล้ว แต่โจซองก็ไม่เชื่อใจ โอกาสในการทดสอบมาถึง เมื่อคนในเครืออำนาจโจซอง ที่ชื่อ หลี่เซิ่ง จะไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองเกงจิ๋ว จึงไปคารวะสุมาอี้เพื่ออำลา เมื่อเห็นสุมาอี้ก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะสุมาอี้ป่วยหนักทั้งยังแก่ชรามาก
ระหว่างคุยกันสุมาอี้คอแห้ง สาวใช้จึงคอยป้อนโจ๊กให้ แต่สุมาอี้ป่วยหนักจนโจ๊กไหลย้อยจากมุมปากเประเปื้อนตามร่างกาย
หลี่เซิ่งยังตะลึงไม่หาย บอกว่าได้ยินสุมาอี้ป่วยแต่ไม่คิดว่าจะอาการหนักขนาดนี้
สุมาอี้บอกกับหลี่เซิงแล้วพูดพลางหอบและไออยู่ตลอดว่า "ข้าแก่และป่วยแล้ว คงจะตายในไม่ช้า ท่านเป๊งจิ๋วเพื่อรับตำแหน่งเถอะ เป๊งจิ๋วอยู่ใกล้กับพวกคนป่าเถื่อนมาก เตรียมตัวให้ดีไว้ หลังจากลากันในวันนี้ ข้าเกรงว่าเราจะไม่ได้พบกันอีกในภายหน้า ข้าขอฝากสองพี่น้องสุมาสู สุมาเจียว โปรดช่วยดูแลด้วย"
สุมาอี้หูไม่ดีถึงขนาดฟังผิดคำว่าเกงจิ๋วเป็นเมืองเป๊งจิ๋วซึ่งอยู่กันคนละโยชน์ เล่นเอาหลี่เซิ่งต้องคอยแก้อยู่หลายครั้ง ว่าเป๊งจิ๋วไม่ใช่เกงจิ๋ว จนกระทั่งสุมาอี้ต้องบอกอีกครั้งว่าฟังไม่รู้เรื่อง "ข้าแก่แล้ว หมดเรี่ยวแรง ไม่เข้าใจว่าว่าท่านพูดอะไร"
ถึงขนาดนี้ หลี่เซิงจึงกลับไปรายงานกับโจซองว่าสุมาอี้หมดสภาพแล้ว เหมือนคนที่ตายทั้งเป็น แต่วิญญาณลอยไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วง
แต่สุมาอี้ไม่ได้ป่วยจริง แต่แสร้างป่วยเนียนกว่าคราวหลอกโจโฉเสียอีก
และมีผลสะเทือนถึงชะตากรรมของตระกูลโจโดยตรง
หลังจากที่พวกโจซองตายใจแล้ว สุมาอี้และลูกๆ ก็ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ระมัดระวัง ทำการยึดอำนาจในเหตุการณ์ที่มีชื่อว่า "รัฐประหารที่สุสานโกเบงเหลง" ทำการยึดอำนาจจากพวกของโจซอง และต่อมาทำการประหารโจซองไปเสีย และทำให้ตระกูลสุมามีอำนาจเด็ดขาดในอาณาจักรวุ่ยก๊ก
สุมาอี้เป็นในวัย 70 กว่าปีแล้ว เขาแสร้งทำเป็นป่วยจนยึดอำนาจจากศัตรูได้ จักรพรรดิโจฮองกลายเป็นเพียงประมุขที่ไร้อำนาจ ถึงขนาดแต่งตั้งสุมาอี้เป็นอัครมหาเสนาบดีและยังจะมอบเครื่องยศเก้าประการแก่สุมาอี้ ซึ่งเป็นเสมือนการปูทางให้สุมาอี้ขึ้นมาเป็น "เจ้า" แต่สุมาอี้ไม่รับ
เช่นเดียวกับตอนที่โจโฉกุมอำนาจปกครองทั้งหมด จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ต้องแสดงท่าทีเหมือนจะยอมให้โจโฉเป็นเจ้า แต่โจโฉก็ยังไม่ยอมเป็นเจ้า แต่ลูกหลานของโจโฉจะเป็นเจ้าเสียเอง
ทั้งโจโฉและสุมาอี้เป็นคนที่มีชั้นเชิงเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีชะตาที่เหมือนกัน
สุดท้ายสุมาอี้ตายไปในวัย 73 ปี แม้ไม่ได้เป็นถึงเจ้า แต่ก็มีอำนาจบารมีเหนือกว่าเจ้า ส่วนลูกของเขาคือสุมาสูและสุมาเจียวจะสืบทอดอำนาจเผด็จการต่อไป จนกระทั่งถึงยุคของสุมาเอี๋ยนลูกของสุมาเจียว จะทำการยึดอำนาจจากตระกูลโจ โค่นล้มราชวงศ์วุ่ย แล้วตั้งตนเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์จิ้น
สุมาอี้ ผู้ที่แสร้งป่วยจนชิงแผ่นดินมาได้ แต่ไม่ยอมเป็นเจ้าเมื่อตอนยังมีชีวิต จะได้รับการยกฐานะให้เป็นเจ้าในภายหลัง พระนามว่า "พระเจ้าจิ้นเกาจู่ เซวียนหวางตี้"
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการ และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
ภาพสุมาอี้แสร้งป่วย จาก ภาพยนต์ชุด "สามก๊ก" ปี 1994