การปฏิวัติรถยนต์ไร้คนขับกำลังเกิดขึ้น เพียงแต่มันช้ากว่าที่คาดไว้

การปฏิวัติรถยนต์ไร้คนขับกำลังเกิดขึ้น เพียงแต่มันช้ากว่าที่คาดไว้

สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นจริงๆ จังๆ แล้ว การปฏิวัติรถยนต์ไร้คนขับที่ประกาศกันมาหลายคัร้งหลายหนว่าจะเกิดขึ้น มาถึงตอนนี้มันกำลัง "เกิดขึ้นอย่างชัดเจน" สิ่งที่ชี้วัดก็คือ การอวดโฉมรถยนต์ไร้คนขับมากมายที่งาน Consumers Electronics Show หรืองาน CES ในลาสเวกัส ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่คึกคัก จนท้าทายข่าวในทางไม่ดีของอุตสาหกรรมรถยนต์ไร้คนขับ

"บริษัทต่างๆ กำลังปรับใช้หุ่นยนต์แท็กซี่ในขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมและในเมืองต่างๆ มากขึ้น" เคิร์สเทน ไฮเนกี (Kersten Heineke) หุ้นส่วนและผู้อำนวยการร่วมของบริษัท McKinsey Center for Future Mobility กล่าว

แม้แต่ "ในช่วงเวลาที่เงินหายาก...เรากำลังก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด มันใช้เวลานานกว่าที่เราคาดไว้เมื่อสามหรือห้าปีที่แล้วเล็กน้อย"

และเขากล่าวว่าในขณะที่งาน CES ปีนี้ "ไม่มีอะไรฉูดฉาด" แต่ก็มีการปรับปรุงในเทคโนโลยีที่สำคัญอยางในัยสำคัญ 

ยังคงมีอุปสรรคและความสงสัยอยู่ และทำให้การหาเงินมาร่วมลงทุนกลายเป็นเรื่องที่ยาก และยังมีเหตุร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ไร้คนขับจนกลายเป็นที่สะดุดใจของผู้คน แม้ว่าข้อมูลบางอย่างจะแสดงให้เห็นว่าความกลัวนั้นไม่สมเหตุผลก็ตาม

- กล้อง เลเซอร์ และ 3 มิติ -
โฟกัสตอนนี้คือเรื่องความปลอดภัย

จากบริษัทที่ก่อตั้งมายาวนานไปจนถึงบริษัทสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ ทางเดินในงาน CES เต็มไปด้วยนวัตกรรมในการมองเห็นแบบ 3 มิติ เทคโนโลยีการมองเห็นตอนกลางคืน เครื่องตรวจจับความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ และการตรวจจับด้วยมือบนล้อ

“เทคโนโลยีจะช่วยชีวิต” ด้วยการปรับปรุงความปลอดภัยทางถนน คริสตอฟ เปริลลาต์ (Christophe Perillat) ผู้บริหารของบริษัท French Valeo กล่าว

เขาเชื่อว่าภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ยานพาหนะ 90% ที่ผลิตทั่วโลกจะติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และครึ่งหนึ่งของจำนวนนั้นจะอยู่ที่ระดับ 2 และ 2+ โดยมีไม่กี่ล้านคันที่ระดับ 3 หรือ 4

ระดับ 2 และ 2+ และอื่นๆ หมายถึงมาตรฐานอุตสาหกรรมที่กำหนดโดยสมาคมการค้า SAE International ซึ่งใช้วัดระดับระบบอัตโนมัติของยานพาหนะตั้งแต่ระดับ 0 ถึงระดับ 5

ระดับ  5 ซึ่งถือว่าเทียบเท่ากับคนขับมนุษย์ ดูเหมือนจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมในระยะนี้

จากข้อมูลในรายงาน  S&P Global Mobility คาดการณ์ว่า “ความสามารถของผู้บริโภคในการซื้อรถยนต์ที่จะขับเคลื่อนไปทุกที่โดยที่คนขับไม่พร้อมจะบังคับรถนั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ภายในปี 2035 (พ.ศ. 2578)” 

อย่างไรก็ตาม "ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัตโนมัติที่หลากหลายที่จะมารองรับผู้ขับขี่ที่อวกแวกหรือแก้ปัญหาข้อผิดพลาด (ของคนขับ) จะเพิ่มมากขึ้น" ซึ่งช่วยลดอุบัติเหตุ การบาดเจ็บ และการเสียชีวิตระหว่างทาง

ปัญญาประดิษฐ์ก็กำลังแพร่กระจายในธุรกิจภาคนี้เช่นกัน

“หากคุณสามารถรับรู้ถึงความตื่นตัวตามลักษณะใบหน้า ความสนใจของดวงตา … คุณสามารถทำสิ่งต่างๆ เพื่อมีอิทธิพลต่อ … ความปลอดภัยของผู้ขับขี่ได้” อดัม เบอร์เดน (Adam Burden) แห่งบริษัท Accenture กล่าว

- ไม่ใช่ 'ออโต้ไพลอต' ขนาดนั้น -
แต่ในขณะนี้ ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติมักเป็นกลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ

Cruise ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ General Motors ระงับกิจกรรมของบริษัทอย่างไม่มีกำหนดเมื่อปลายเดือนตุลาคม หลังจากเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งและการยังมีการระงับใบอนุญาตใช้รถของบริษัทในรัฐแคลิฟอร์เนียด้วย

ทั้งนี้บริษัท Cruise เป็นผู้ให้บริการโรโบแท็กซี่ (robotaxi) ในเมืองต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ ระบบช่วยขับขี่ "อัตโนมัติ" ของ Tesla (ซึ่งระดับความอัตโนมัติอยู่ในระดับ 2) ถูกกล่าวหาว่าทำให้ผู้ขับขี่เข้าใจผิดว่ารถกำลังขับเคลื่อนด้วยตัวมันเอง ซึ่งก่อให้เกิดอุบัติเหตุ

หนังสือพิมพ์ The Washington Post อ้างในเดือนมิถุนายน หลังจากพิจารณาข้อมูลจากสำนักงานบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NHTSA) ว่าโหมด "อัตโนมัติ" เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ 736 ครั้งและผู้เสียชีวิต 17 รายในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2019

แต่จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้โดยบริษัทประกันภัยต่อ Swiss Re ซึ่งศึกษาการใช้แท็กซี่ไร้คนขับ Waymo One ของ Google พบว่ารถยนต์ไร้คนขับคันนี้ "ปลอดภัยต่อผู้ใช้ถนนมากกว่ารถยนต์ที่ใช้คนขับ"

สำหรับตอนนี้ ภาคส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ไร้คนขับกำลังแบ่งออกเป็นสองทิศทาง คือ ผู้ใช้มืออาชีพ ซึ่งได้แก่กลุ่มหุ่นยนต์แท็กซี่และรถรับส่ง และผู้ใช้ส่วนตัวที่รถมีระบบอัตโนมัติน้อยกว่ากลุ่มแรก

การแบ่งแบบนี้มีเหตุผลด้านความปลอดภัยและกฎระเบียบ แต่ยังเป็นเพราะราคาด้วย เนื่องจากยานพาหนะที่มีระดับอัตโนมัติระดับ 4 จะมีราคาสูงกว่า 10,000 ดอลลาร์

แต่สำหรับกลุ่มยานพาหนะที่สามารถทำงานได้เกิน 24 ชั่วโมงทุกวันตลอดทั้งปี ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนี้จะถูกชดใช้อย่างรวดเร็ว

ไฮเนกี้ จากบริษัท McKinsey คาดว่า "หุ่นยนต์แท็กซี่หลายแสนตัว" จะอยู่บนท้องถนนภายในสามถึงห้าปีข้างหน้า โดยมีจีนเป็นผู้นำ

จากข้อมูลของ McKinsey Center for Future Mobility รถยนต์ขับขี่อัตโนมัติสามารถสร้างรายได้ระหว่าง 3 ถึง 4 แสนล้านดอลลาร์ทั่วโลกภายในปี 2035 (พ.ศ. 2578)

รายงานจาก Agence France-Presse
Photo -
ภาพของ ROBOCube เครื่องทำความสะอาดถนนอัจฉริยะ ซึ่งเป็นยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยบริษัท Lotus Robotics ที่สามารถใช้ในการทำความสะอาดในเมือง พื้นที่การจราจรที่มีการควบคุม และทางเท้า ได้รับการสาธิตในงาน CES 2024 ที่ Las Vegas Convention Center เมื่อวันที่ 10 มกราคม ปี 2024 ที่ลาสเวกัส รัฐเนวาดา CES ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเทคโนโลยีผู้บริโภคประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นจนถึงวันที่ 12 มกราคม โดยมีผู้แสดงสินค้าประมาณ 4,000 รายมาแสดงผลิตภัณฑ์และบริการล่าสุดแก่ผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 130,000 ราย (Photo by Ethan Miller / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)

TAGS: #รถยนต์ไร้คนขับ #CES