ภาวะอะเฟเซีย อาการป่วยที่ บรูซ วิลลิส ต้องอำลาวงการ

ภาวะอะเฟเซีย อาการป่วยที่ บรูซ วิลลิส ต้องอำลาวงการ
ทำความรู้จักภาวะอะเฟเซีย ภาวะบกพร่องทางการสื่อความ อาการป่วยที่ทำให้ บรูซ วิลลิส ต้องอำลาวงการ

จากข่าวดังที่นักแสดงฮอลลีวูด บรูซ วิลลิส ประกาศอำลาการแสดงอย่างเป็นทาง เนื่องจากป่วยเป็นโรค aphasia’ (ภาวะบกพร่องทางการสื่อความ) โดยข้อความจากครอบครัวของบรูซ วิลลิส ระบุว่า "เราในฐานะครอบครัวอยากแจ้งว่าขณะนี้ บรูซ (บรูซ วิลลิส) กำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพ และเพิ่งตรวจพบว่าเขามี "ภาวะอาเฟเซีย" ซึ่งจะมีผลต่อกลไกทางการรับรู้ และด้วยผลของโรค บรูซ ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าเขาจำเป็นต้องยุติบทบาทอาชีพนักแสดง "

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

A post shared by Demi Moore (@demimoore)

 

โรคอะเฟเซียคืออะไร ทำไมถึงรุนแรงจนทำให้นักแสดงบู๊ชื่อดังถึงกับต้องอำลาวงการ ข้อมูลจากเว็บไซต์ พบแพทย์ ระบุว่า Aphasia หรือภาวะบกพร่องทางการสื่อความ เป็นความผิดปกติทางการสื่อสาร ซึ่งมักเป็นผลมาจากสมองได้รับความเสียหายจากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกหรือการได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ทำให้ผู้ป่วยมีความผิดปกติในด้านทักษะของการสื่อสารและการใช้ภาษา ไม่สามารถโต้ตอบหรือทำความเข้าใจได้ และอาจมีปัญหาทางด้านการอ่านและการเขียนร่วมด้วย

ภาวะดังกล่าวมีอยู่หลายรูปแบบ แต่โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ คือ แบบบกพร่องด้านความเข้าใจ, แบบบกพร่องด้านการพูด, แบบบกพร่องในการพูดทวนซ้ำ, แบบบกพร่องทั้งด้านการพูดและการทำความเข้าใจ ซึ่งในแต่ละรูปแบบจะมีสาเหตุและอาการที่แตกต่างกันออกไป นอกจากรักษาที่สาเหตุแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการแก้ไขภาวะนี้ด้วยการบำบัดฟื้นฟู การใช้ภาษาและการสื่อสารร่วมด้วย

อาการของ อะเฟเซีย
ภาวะอะเฟเซีย ในแต่ละบุคคลจะมีอาการที่แตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับบริเวณที่สมองได้รับความเสียหายและระดับความรุนแรงของความเสียหายนั้น ภาวะนี้ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาต่อการพูด การทำความเข้าใจ การอ่าน การเขียน การสื่อสารและการรับสาร เช่น พูดได้แค่ประโยคสั้น ๆ หรือพูดไม่จบประโยค ไม่สามารถเรียบเรียงประโยคในการพูดหรือการเขียนให้ผู้ฟังเข้าใจได้ ใช้คำไม่เหมาะสม เลือกใช้คำหนึ่งแทนที่อีกคำ พูดคำที่ไม่มีความหมาย หรือไม่เข้าใจในบทสนทนาของผู้อื่น เป็นต้น 

โดยภาวะอะเฟเซียในแต่ละรูปแบบจะมีอาการที่แตกต่างกันไปตาม เช่น

ภาวะบกพร่องทางการสื่อความแบบที่สามารถสื่อสารได้ หรือ Wernicke’s Aphasia
กลุ่มอาการนี้เกิดส่วนกลางของสมองซีกซ้ายได้รับความเสียหาย ผู้ป่วยพูดได้ปกติ แต่ไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นพูด ไม่สามารถใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง มีแนวโน้มที่จะพูดประโยคยาว ๆ หรือประโยคที่ซับซ้อนติดต่อกันโดยไม่มีความหมาย ใช้คำที่ไร้สาระ คำฟุ่มเฟือย หรือใช้คำไม่ถูก และไม่ทราบว่าผู้อื่นไม่เข้าใจ

ภาวะบกพร่องทางการสื่อความแบบที่ไม่สามารถสื่อสารได้ หรือ Broca Aphasia
กลุ่มอาการนี้เป็นผลมาจากส่วนหน้าของสมองซีกซ้ายได้รับความเสียหาย ส่งผลให้มีปัญหาด้านการสื่อสารโดยเข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นสื่อสารได้ดีกว่าการพูดสื่อสารออกไป ผู้ป่วยจะสื่อสารได้แค่ประโยคสั้น ๆ พูดไม่จบประโยคหรืออาจลืมคำบางคำ และไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นสื่อสารได้ทั้งหมด รู้สึกผิดหวังหรือไม่พอใจหากผู้อื่นไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองต้องการจะสื่อ มีอาการอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตในซีกขวา 

ภาวะบกพร่องทางการสื่อความแบบ Conduction
ผู้ป่วยมีความเข้าใจและสามารถใช้ภาษาได้ดีทั้งการพูดและการเขียน พูดได้คล่อง แต่ไม่สามารถพูดตามได้หรือหากพูดตามจะพูดผิด

ภาวะบกพร่องทางการสื่อความแบบ Global
กลุ่มอาการนี้เป็นผลจากสมองซีกซ้ายได้รับความเสียหายทั้งส่วนหน้าและส่วนกลาง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาทั้งการสื่อสารและการรับสาร ไม่สามารถอ่านหรือเขียนได้ มีอาการของภาวะบกพร่องทางการสื่อความแบบที่สามารถสื่อสารได้และไม่ได้รวมกัน

ทั้งนี้ หากสังเกตเห็นว่าตนเองมีปัญหาในการใช้หรือการเข้าใจคำพูด การนึกคำ การเขียน และการอ่าน ควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

(Photo by Angela Weiss / AFP)

สาเหตุของอะเฟเซีย
ภาวะบกพร่องทางการสื่อความเป็นผลมาจากการที่สมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการใช้ภาษาได้รับความเสียหาย ทำให้การลำเลียงเลือดเข้าสู่ในบริเวณดังกล่าวถูกขัดขวางจนทำให้เนื้อสมองตายในที่สุด ซึ่งภาวะอะเฟเซีย อาจเกิดขึ้นได้อย่างกะทันหันหลังเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก ภาวะสมองขาดเลือด การได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะหรือการเข้ารับการผ่าตัดสมอง นอกจากนี้ ในบางรายอาการอาจจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ โดยสาเหตุอาจมาจากเนื้องอก การติดเชื้อในสมอง โรคทางระบบประสาท หรือภาวะเสื่อมถอยของสมองอย่างโรคสมองเสื่อม เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม ภาวะอะเฟเซีย มักพบในผู้ป่วยที่มีอาการเส้นเลือดในสมองแตกมากที่สุด สำหรับภาวะอะเฟเซียแบบชั่วคราวมักมีสาเหตุมาจากอาการไมเกรน อาการชัก หรือภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (TIA) ซึ่งเป็นภาวะที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตกหรือโรคหลอดเลือดสมองได้ในอนาคต

การวินิจฉัยอะเฟเซีย
แพทย์จะตรวจร่างกาย ระบบประสาท การไหลเวียนของโลหิตบริเวณคอ และสังเกตการกลืนอาหารเพื่อทดสอบความผิดปกติของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและลำคอ โดยใช้วิธีการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และเครื่อง MRI ซึ่งจะช่วยให้แพทย์เห็นถึงความรุนแรงและจุดที่ได้รับความเสียหายในสมองของผู้ป่วย 

นอกจากนี้ แพทย์อาจทดสอบความสามารถทางการใช้ภาษาเพิ่มเติมด้วยวิธีต่อไปนี้ 

  • การทดสอบการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ เช่น การทดสอบการมีส่วนร่วมในบทสนทนา การอ่าน การเขียน การเรียกชื่อสิ่งของทั่วไป การมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น ตอบคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ได้อ่านหรือได้ยิน ตอบคำถามด้วยคำว่าใช่และไม่ใช่ และการตอบคำถามทั้งแบบปลายเปิดและปลายปิด
  • ทดสอบความเข้าใจและการใช้คำศัพท์อย่างถูกต้อง 
  • ทดสอบการทวนคำหรือประโยค การทำตามคำบอก 


การรักษาอะเฟเซีย
แพทย์จะรักษาภาวะอะเฟเซีย ด้วยวิธีการบำบัดทางการพูดและภาษาเป็นหลัก เพื่อฟื้นฟูความสามารถด้านการใช้ภาษาและเสริมทักษะการสื่อสาร โดยผู้ป่วยจะได้รับการประเมินสุขภาพทั่วไป ระดับความผิดปกติของการใช้ภาษา และทักษะทางสังคมก่อนเข้ารับการบำบัดจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ 

การบำบัดดังกล่าวมีทั้งการบำบัดกับผู้เชี่ยวชาญ การทำกลุ่มบำบัด และการทำครอบครัวบำบัด โดยในขั้นตอนของการบำบัด แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะฝึกหรือทบทวนการใช้คำ ใช้ประโยคที่ถูกต้อง การพูดทวน และการถามตอบที่เหมาะสมให้แก่ผู้ป่วย รวมทั้งมีการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้คำศัพท์และเสียงของคำต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร เข้าร่วมบทสนทนา สื่อสารได้เมื่อถึงเวลาของตนเอง เข้าใจในข้อผิดพลาดทางการใช้คำและแก้ไขบทสนทนาที่ผิดพลาดนั้นได้  

โดยทั่วไป อาการของผู้ป่วยจะค่อย ๆ ได้ผลดีขึ้นหลังทำการบำบัดติดต่อกัน แต่บางรายอาจใช้เวลานานกว่าปกติในการบำบัด โดยจากการศึกษาพบว่าการบำบัดจะได้ผลที่ดีที่สุดเมื่อเริ่มทันทีหลังจากที่ร่างกายและสมองเริ่มฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บจนอยู่ในอาการที่ปลอดภัย 

นอกจากนี้ ยังมีการใช้ยาเพื่อรักษาภาวะอะเฟเซียแต่ยังคงอยู่ในระหว่างการศึกษาและทดสอบ ซึ่งยาดังกล่าวเป็นยาที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดภายในสมอง ช่วยในการฟื้นฟูการทำงานของสมอง หรือเป็นยาที่ช่วยทดแทนสารสื่อประสาทในสมองของผู้ป่วยที่ขาดหรือหมดไป 

ภาวะแทรกซ้อนของอะเฟเซีย
ภาวะอะเฟเซีย เป็นภาวะที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เนื่องจากผู้ป่วยจะมีปัญหาด้านการสื่อสาร จึงอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ การทำงาน หรือการทำกิจกรรมในแต่ละวัน อีกทั้งอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอับอาย หดหู่ เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารได้ตามปกติ

การป้องกันอะเฟเซีย
การลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะอะเฟเซียสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่สร้างความเสียหายต่อสมองและดูแลสุขภาพของสมองด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
  • รับประทานอาหารที่มีโซเดียมและไขมันต่ำ 
  • งดการสูบบุหรี่ 
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสมและเท่าที่จำเป็น 
  • ควบคุมระดับความดันโลหิตและไขมันในเลือด 
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบการไหลเวียนโลหิต ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
  • หากสงสัยว่ามีอาการของภาวะเส้นเลือดในสมองแตก ควรเข้าพบแพทย์โดยเร็วที่สุด รวมถึงหากมีภาวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรักษาอาการเช่นกัน 
TAGS: #อะเฟเซีย #บรูซวิลลิส