"ฉันเป็นกะเทย รักใครไม่เคยนอกใจ" ประโยคในเพลงดังที่กลายเป็นวลีติดปากสำหรับชาว LGBTQ+ ที่พูดกันมานาน แต่ความจริงแล้ว ไม่ว่าเพศไหนก็มีทั้งนั้น
การนอกใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ หรือแม้การเป็นคนดีก็ไม่ได้การันตีว่าจะไม่นอกใจคนรัก ดังนั้นไม่ได้เกี่ยวกันว่าเพราะเป็นชายรักชาย หญิงรักหญิง หรือเพราะชายรักหญิงที่ทำให้เกิดอาการนอกใจ
ศ.นพ.สุพร เกิดสว่าง นักวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยว่า คนทั่วไปส่วนใหญ่ยังมีความสับสนเรื่องผู้ชายที่รักผู้ชายด้วยกัน หรือผู้ชายที่มีกิริยามารยาทคล้ายผู้หญิง นอกจากคนในสังคมจะสับสนและไม่เข้าใจแล้วยังมองบุคคลเหล่านี้ไปในทางลบ
ทั้งนี้ อยากทำความเข้าใจก่อนว่าผู้ชายมีหลักๆ 3 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มผู้ชายที่รักหญิง (เพศตรงข้าม-ต่างเพศ) ซึ่งสังคมทั่วไปยอมรับ
2. กลุ่มผู้ชายที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แค่รักผู้ชายด้วยกัน (เพศเดียวกัน-ร่วมเพศ) ซึ่งมักนิยามตัวเองว่า เกย์ (Gay) มาจากรากศัพท์ภาอังกฤษที่แปลว่า สดใส ร่าเริง
3.ผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิง หรือเป็นหญิงที่อยู่ในร่างของผู้ชายนั่นเอง คำไทยมักใช้คำว่า “กะเทย” (transgender หรือ transsexual)
จากการศึกษาพบว่า การที่ผู้ชายมีความรักเพศเดียวกันมีสาเหตุหลายอย่าง ทั้งปัจจัยทางชีววิทยา และจิตวิทยา เริ่มตั้งแต่สาเหตุทางพันธุกรรม การพัฒนาของสมองเด็กในครรภ์ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ตลอดจนการอบรมเลี้ยงดู และประสบการณ์การเรียนรู้หลังจากที่เกิดมาแล้ว
ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการเรียนแบบและไม่ติดต่อกัน ถือได้ว่าไม่มีส่วนในการทำให้เกิดการนอกใจ
เพศไหนก็นอกใจกันได้?
แม้ความรักจะไม่มีพรหมแดน ไม่มีเพศกั้น จากการวิเคราะห์เพิ่มเติมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมนอกใจ ของวิทยานิพนธ์ (ศศ.ม.) สาขาวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2552) โดย นางสาวธันยธร อนันต์วิโรจน์ โดยปัจจัยเรื่องเพศพบว่า
เพศชายมีพฤติกรรมนอกใจมากกว่าเพศหญิง ซึ่งตรงกับสภาพของสังคมไทยที่มองว่าการนอกใจของเพศชายเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นธรรมชาติของผู้ชายที่จะเจ้าชู้ แตกต่างจากเพศหญิงที่จะถูกดูหมิ่นและไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม
เพศชายส่วนมากรายงานถึงพฤติกรรมนอกใจในลักษณะที่เป็นการกระทำชัดเจน เช่น การแอบพาเข้าโรงแรม แอบหอมแก้ว แอบมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น ขณะที่เพศหญิงมักรายงานถึงพฤติกรรมที่นำไปสู่การนอกใจ เช่น การหว่านเสน่ห์ การส่งข้อความ การแอบขอเบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น
นอกจากนี้เพศชายและหญิงยังมีมุมมองต่อพฤติกรรมนอกใจแตกต่างกันด้วย โดยเพศชายมองว่าการนอกใจหมายถึงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น ขณะที่เพศหญิงมองว่าไม่ว่าจะเป็นด้านเพศสัมพันธ์หรือด้านจิตใจก็ถือเป็นการนอกใจทั้งสิ้น
คนดีก็นอกใจเป็น?
ณัฐวุฒิ เผ่าทวี ศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมศาสตร์ที่โรงเรียนธุรกิจวอร์ริก (Warwick Business School) และสอนเรื่องเศรษฐศาสตร์ความสุขเผยในบทความ "ทำไมคนดีถึงนอกใจ" กับการตั้งคำถามที่่ว่า ถ้าคุณมีโอกาส คุณว่าคุณจะนอกใจเเฟน/สามี/ภรรยาของคุณไหม?
ถ้าคำตอบของคุณคือ “ไม่เเน่” หรือ “เเน่นอนอยู่เเล้ว” บทความนี้ไม่เกี่ยวกับตัวคุณ เเต่ถ้าคำตอบของคุณคือ “ไม่อย่างเเน่นอน” (เเละเเฟน/สามี/ภรรยาของคุณไม่ได้นั่งอ่านบทความนี้อยู่ข้างๆ) ผมขอเเสดงความยินดีด้วย เพราะคุณเป็นคนดีคนหนึ่งที่อาจจะนอกใจเเฟน/สามี/ภรรยาของคุณเมื่อไหร่ก็ได้
"Hot-Cold Empathy Gap" ก็คือ ขั้นตอนในการตัดสินใจของคนเรานั้นมักจะขึ้นอยู่กับว่าในขณะนั้นเรากำลังรู้สึกยังไงอยู่ (state dependent) เเละมันก็เป็นอะไรที่ยากมากในการที่เราจะจินตนาการว่าความรู้สึกอีกอย่างนั้นเป็นยังไง
เพราะฉะนั้น การตัดสินใจอะไรก็ตามที่จะมีผลกับความรู้สึกของเราในอนาคตมักจะถูกความรู้สึกของเราในปัจจุบันบงการอยู่อย่างที่เรามักจะไม่ค่อยรู้ตัวกัน
หนึ่งในงานวิจัย hot-cold empathy gap ของจอร์จ โลเวนสไตน์ ซึ่งทำร่วมกันกับเเดน อาริเอลี (Dan Ariely) ก็คือการให้นักศึกษาอาสาสมัครชาย 35 คนที่ไม่ได้มีรสนิยมเป็นเกย์ (อายุได้ซักประมาณ 18-21 ปี) จากมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ (Berkeley)
ตอบคำถามที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศหลายๆ อย่าง (บางคำถามก็เเปลกจนไม่อยากจะเชื่อ) ในเเล็ปท้อปที่ทั้งสองได้จัดหาให้
โดยตอนเเรกเขาทั้งสองให้นักศึกษาตอบคำถามพวกนี้ในช่วง cold state หรือช่วงชีวิตประจำวันธรรมดา (พูดง่ายๆ ก็คือช่วงที่พวกเขาไม่ได้ตื่นตัวทางเพศอยู่)
หลังจากนั้นเขาทั้งสองก็ให้นักศึกษาเหล่านี้นำเเล็ปท้อปกลับบ้านเเละให้พวกเขาตอบคำถามใหม่ในช่วง hot state หรือในขณะที่กำลัง “ช่วยตัวเอง” อยู่ (พูดง่ายๆ ก็คือช่วงที่พวกเขากำลังตื่นตัวทางเพศอยู่)
ผลงานวิจัยปรากฏว่า ในช่วงที่คนเราอยู่ใน cold state นั้น เรามักจะเชื่อว่าเราไม่สามารถที่จะทำอะไรนอกลู่นอกทางได้ (รวมไปจนถึงการนอกใจเเฟนของเรา หรือเเม้กระทั่งการที่จะทำอะไรไม่ดีๆ อย่างเช่นการตัดสินใจที่จะข่มขืนใครซักคนด้วย)
เเละในการคิดใน cold state นี้สามารถที่จะทำให้เราตัดสินใจนำตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อเเหลมได้ เเละผลของการวิจัยชิ้นนี้ก็ได้ชี้ให้เรารู้ว่า ไม่ว่าเราจะเป็นคนดีหรือไม่ดี อะไรๆ ก็เกิดขึ้นก็ได้ถ้าเราอยู่ใน hot state
เหมือนกันกับที่สุภาษิตเยอรมันเคยบอกเอาไว้ว่า When the penis gets hard, the brain goes soft