จับพิรุธคนเข้าหา "เด็ก" เพื่อละเมิดทางเพศ ผู้ปกครองควรระวัง

จับพิรุธคนเข้าหา
Child Grooming คือพฤติกรรมการเข้าหาเด็กโดยแสดงท่าทีว่าเป็นมิตร เพื่อสร้างความสนิทสนมและเตรียมหาโอกาสล่วงละเมิดทางเพศเด็กในภายหลัง จับสังเกตได้ก่อนเด็กจะตกเป็นเหยื่อ

พฤติกรรมการเข้าหาเด็กเพื่อละเมิดทางเพศ (Grooming)

คือพฤติกรรมการเข้าหาเด็กโดยแสดงท่าทีว่าเป็นมิตร เพื่อสร้างความสนิทสนมและเตรียมหาโอกาสล่วงละเมิดทางเพศเด็กในภายหลัง

บ่อยครั้งที่ผู้กระทำอาจเข้าหาคนในครอบครัวของเด็กด้วยท่าทีสุภาพเพื่อสร้างความไว้ใจในการเข้าถึงตัวเด็ก เมื่อเด็กและผู้ปกครองไม่ระแวงหรือสงสัย จะทำให้เด็กเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศได้ง่ายขึ้น

กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือแม้กระทั่งหลายปี เพื่อก้าวข้ามการระวังป้องกันตัวของเด็กและเพิ่มการยอมรับการสัมผัสร่างกาย

ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กเผยวิธีสังเกตคนที่คิดจะละเมิดทางเพศต่อเด็ก (และสตรี) จะมีกระบวนการที่เป็นรูปแบบซึ่งสังเกตได้ง่าย มักจะเป็นไปตามลำดับดังต่อไปนี้

  • มองหาและเลือกคนที่ต้องการให้เป็นเหยื่อ มักเลือกคนที่มีความเปราะบางในด้านต่าง ๆ เช่น โหยหาความรักความอบอุ่นหรือการยอมรับ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง โดดเดี่ยวหรือผู้ปกครองละเลย ไม่เอาใจใส่ใกล้ชิด
  • สร้างความไว้วางใจ ผู้กระทำจะเฝ้าสังเกตและพยายามทำความรู้จักเหยื่อและรู้ว่าเหยื่อมีความต้องการอะไรบ้าง และจะตอบสนองความต้องการนั้นได้อย่างไร

ผู้กระทำอาจเริ่มแนะนำ 'ความลับ' หรือการแอบทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกันเพื่อให้เด็กไว้ใจและแยกเด็กออกห่างจากครอบครัว เช่น ยอมให้เด็กทำอะไรบางอย่างที่ตามปกติผู้ปกครองจะไม่อนุญาตให้ทำ

  • ตอบสนองความต้องการ หลังจากรู้ว่าเด็กต้องการอะไรแล้ว ผู้กระทำก็จะพยายามตอบสนองด้วยการให้สิ่งเหล่านั้น เช่น ของใช้ แสดงความรักความเอาใจใส่ เริ่มมีบทบาทสำคัญในชีวิตเด็ก
  • แยกเด็กออกจากผู้ดูแล ผู้กระทำอาจเสนอตัวเข้ามาดูแลเด็กเวลาที่ผู้ปกครองไม่ว่าง หรือพยายามทำอย่างอื่นเพื่อสร้างโอกาสที่จะได้อยู่ตามลำพังกับเด็กโดยไม่มีใครมาขัดจังหวะ ผู้ปกครองบางคนอาจตกหลุมพรางนี้เพราะดีใจที่มีคนมาสนใจหรือเอาใจใส่ลูก
  • เริ่มแสดงออกทางเพศกับเด็ก มักจะเริ่มจากการสัมผัสที่ดูเป็นธรรมชาติก่อน เช่น โดนตัวโดยบังเอิญหรือสัมผัสร่างกายโดยการหยอกหรือเล่นกับเด็ก เพื่อให้เด็กคุ้นเคยและจะได้ไม่ขัดขืนเมื่อยกระดับเป็นการสัมผัสแบบทางเพศมากขึ้น

ผู้กระทำจะฉกฉวยประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นของเด็กเพื่อทำให้ปฏิสัมพันธ์นั้นเป็นการละเมิดทางเพศมากขึ้นไปอีกตามลำดับ

  • ใช้การควบคุม พฤติกรรมนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้กระทำได้ล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กแล้ว และต้องการที่จะทำต่อไปเรื่อย ๆ และบังคับให้เด็กทำตามความต้องการของตนเอง จะใช้การข่มขู่หรือการสร้างความรู้สึกผิดเพื่อบังคับให้เด็กเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และทำให้เด็กต้องร่วมมือให้ละเมิดทางเพศต่อไปและไม่กล้าบอกใคร

เช่น อาจขู่ว่า 'ถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกแม่ แม่ก็จะเกลียดหนูนะ' หรือ 'ถ้าไปบอกใครฉันจะทำร้ายคนในครอบครัวเธอ' ผู้กระทำอาจตำหนิเด็กที่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น หรือทำให้เห็นเป็นเรื่องปกติ โดยบอกเด็กว่ามัน 'เป็นเรื่องธรรมดา'

ทางด้านเว็บไซต์พบแพทย์ แนะวิธีสังเกตอาการเด็กที่ตกเป็นเหยื่อ Child Grooming เด็กอาจไม่กล้าเล่าให้ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลฟัง เพราะความอับอายและความกลัว หรือไม่ทราบว่ากำลังถูกล่อลวง ผู้ปกครองจึงควรสังเกตอาการผิดปกติ ดังนี้

  • พูดคุยอย่างสนิทสนมกับคนที่โตกว่าหรือผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ หรือแอบส่งข้อความคุยกันบ่อยครั้ง
  • ปลีกตัวอยู่คนเดียวในห้องนอน ไม่สุงสิงกับคนในครอบครัว
  • ไม่ค่อยใช้เวลากับเพื่อน หรือเปลี่ยนกลุ่มเพื่อนที่คบอย่างกะทันหัน
  • ขาดเรียน และไม่เข้าร่วมกิจกรรมบ่อย บางครั้งหายตัวไปนานและกลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
  • ไม่ยอมบอกว่าไปที่ไหนมาและอยู่กับใครบ้าง
  • ได้เงิน ของเล่น หรือของขวัญ เช่น โทรศัพท์มือถือ และเสื้อผ้าโดยที่ไม่ทราบที่มา
  • ติดโทรศัพท์ และปกปิดเรื่องการใช้โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย 
  • มีเพื่อนใหม่ หรือคนที่ไม่คุ้นหน้ามารับจากโรงเรียนหรือตามถนน
  • อารมณ์เปลี่ยนแปลงไป เช่น วิตกกังวล เศร้า หดหู่ ก้าวร้าว หรือโมโหร้าย
  • ใช้สารเสพติด

นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรสังเกตสัญญาณบ่งบอกว่าผู้ใหญ่ที่เข้ามาตีสนิทด้วยมีลักษณะเข้าข่าย Child Grooming เช่น

  • แสดงความสนใจในตัวเด็กมากเป็นพิเศษ เช่น สอบถามเรื่องผลการเรียน และการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก และหาโอกาสอยู่กับเด็กตามลำพัง
  • อาสาช่วยคนในครอบครัวดูแลเด็ก พาเด็กไปทำเรียนพิเศษ หรือช่วยซ่อมของใช้ในบ้าน หรือทำธุระแทน
  • ก้าวก่ายการทำกิจกรรมของคนในครอบครัว เช่น มาร่วมงานวันเกิดของเด็กโดยที่ไม่ได้เชิญ
  • ซื้อของเล่นหรือของขวัญให้เด็กและครอบครัวบ่อย ๆ
  • พูดเรื่องเพศ พูดแทะโลม เล่าเรื่องลามก และเปิดภาพหรือวีดีโอโป๊ให้เด็กดู โดยอ้างว่าเป็นการสอนให้เด็กเรียนรู้เรื่องเพศ
  • สัมผัสตัวเด็กบ่อย ๆ เช่น เล่นหยอกล้อ หรือจงใจสัมผัสบริเวณหน้าอกและอวัยวะเพศ
  • ชวนเด็กอาบน้ำด้วยกัน และหาโอกาสดูเด็กถอดหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า เช่น เข้าไปในห้องนอน ห้องน้ำ และสระว่ายน้ำ
  • ถ่ายภาพเด็กขณะที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า
  • เล่นกับเด็กขณะที่ผู้กระทำสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น
  • เข้ามาจีบเพื่อสานสัมพันธ์กับผู้ปกครอง ซึ่งอาจนำไปสู่การตีสนิทและล่วงละเมิดทางเพศเด็กในภายหลัง

ผู้ปกครองและผู้ดูแลควรปกป้องเด็กจากการถูก Child Grooming ดังนี้

  • สังเกตอาการผิดปกติของเด็กอยู่เสมอ เช่น อารมณ์ก้าวร้าว เก็บตัว ติดโทรศัพท์ หนีเรียน หรือใช้ของแพงที่ผู้ปกครองไม่ได้ซื้อให้ เนื่องจากเด็กอาจไม่กล้าบอกผู้ปกครอง หรือไม่รู้ว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของ Child Grooming
  • หากมีผู้ใหญ่เข้ามาใกล้ชิดและสนิทสนมกับเด็ก ควรสอบถามความรู้สึกของเด็ก เช่น “วันนี้เล่นอะไรกันมา ชอบที่ญาติมาเล่นด้วยไหม” หรือ “คนนี้กดไลก์รูปภาพของหนูเยอะเลย เขาได้ติดตามโซเชียลมีเดียอื่น หรือส่งข้อความมาไหม”
  • ระมัดระวังการที่ผู้ใหญ่ถูกเนื้อต้องตัวเด็กบ่อย ๆ เช่น เล่นหยอกล้อ หรือจงใจสัมผัสร่างกายเด็ก หากสังเกตเห็นพฤติกรรมนี้ พยายามไม่ให้เด็กไปเล่นด้วยและไม่ให้เด็กอยู่ตามลำพังกับบุคคลดังกล่าว
  • ไม่ควรให้เด็กไปเที่ยวนอกบ้านหรือไปค้างคืนกับผู้ใหญ่เพียงลำพัง โดยที่ไม่มีผู้ปกครองไปด้วย
  • สอนให้เด็กเข้าใจถึงพฤติกรรม Child Grooming และการล่วงละเมิดทางเพศ และกำชับว่าหากเจอคนที่มีพฤติกรรมดังกล่าวหรือทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ให้รีบบอกผู้ปกครอง
  • สอนเด็กเกี่ยวกับการปกป้องตัวเองบนอินเทอร์เน็ต เช่น ไม่เปิดเผยชื่อจริง อายุ ที่อยู่ หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นส่วนตัวทางโซเชียลมีเดีย และหากมีคนแปลกหน้าเข้ามาตีสนิท ส่งรูปโป๊มาให้ หรือขอให้เด็กส่งรูปตัวเองไปให้ ควรเล่าให้ผู้ปกครองฟังเช่นกัน
  • อธิบายให้เด็กเข้าใจว่าการที่ผู้ใหญ่มาชวนไปทำเรื่องไม่ดี เช่น หนีเรียน และใช้สารเสพติด หรือเล่าเรื่องบางอย่างและขอให้เก็บเป็นความลับนั้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ควรเล่าให้ผู้ปกครองฟัง โดยให้สัญญากับเด็กว่าจะไม่โกรธหรือดุด่า
TAGS: #เด็ก #ล่วงละเมิด #สุขภาพจิต #ผู้ปกครอง