อีกหนึ่งนาฬิการะดับตำนาน Patek Philippe Ref. 3970 กับการดีไซน์หน้าปัดที่แตกต่างและมีความโดดเด่นในตัวเอง กลายเป็นไอเท็มหายากที่นักสะสมต่างใฝ่ฝันอยากได้ไว้ในครอบครอง

ในปี 2026 Patek Philippe เตรียมฉลองครบรอบ 40 ปี “Patek Philippe Ref. 3970 Perpetual Calendar Chronograph” คือหนึ่งในนาฬิกาที่นักสะสมมองว่า เป็นสุดยอดไอเทมวินเทจที่สืบทอดต่อจากรุ่น 2499 ที่โด่งดัง 

Ref. 3970 คือ นาฬิกาโครโนกราฟแบบปฏิทินถาวร (Perpetual Calendar Chronograph) เปิดตัวครั้งแรกในปี 1986 ผลิตด้วยวัสดุสุดพรีเมียมอย่าง ทองคำ, โรสโกลด์ และทองคำขาว มีขนาดตัวเรือน 36 มิลลิเมตร เล็กกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Ref.2499 โดยมีหน้าปัดแบบดั้งเดิม พร้อมด้วยหน้าปัดย่อย 3 หน้าปัด ประกอบด้วย

• หน้าปัดโครโนกราฟแสดงเวลา 30 นาที ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา
• หน้าปัดแสดงปี และข้างขึ้นข้างแรม ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา
• หน้าปัดตัววิ่งวินาที ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา

พร้อมด้วยช่องแสดงวันและเดือนที่ใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และปุ่มกดจับเวลาทรงกลมแบบดั้งเดิมที่อยู่ข้างเม็ดมะยม 

อีกทั้งรุ่นนี้ถือเป็นนาฬิกาที่มีกลไกสำคัญเป็นตัวขับเคลื่อน อย่าง คาลิเบอร์ CH 27-70 Q กลไกโครโนกราฟเรือนแรกของ Patek Philippe ที่ทั้งมีความงามและน่าเชื่อถือได้ เป็นอีกหนึ่งกลไกที่มีความประณีตที่สุดในยุค

นับตั้งแต่ที่ Patek Philippe Ref. 3970 เปิดตัว ทางแบรนด์มีการพัฒนาฟังก์ชั่นมาอย่างต่อเนื่องใน 4 ซีรีส์ โดยมีรายละเอียดที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 

เริ่มที่ซีรีส์แรก (First Series) เปิดตัวในปี 1986 ผลิตเพียง 100 เรือน ดังนั้นจึงมีเพียง 100 คนเท่านั้นที่จะได้เป็นเจ้าของ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ซีรีส์นี้เป็นรุ่นที่หาตัวจับยาก การออกแบบตัวเรือนมีความโดดเด่นด้วยดีไซน์หน้าปัดสีเงิน เข็มทางใบไม้ หลักบอกเวลารายชั่วโมงแบบแท่งสี่เหลี่ยม มาพร้อมหน้าปัดย่อยที่มีโทนสีแตกต่างจากสีพื้นหน้าปัดหลักเล็กน้อย ส่วนฝาหลังทำจากทองคำแท้ เป็นแบบกดและพื้นผิวเรียบ 

ในปีเดียวกัน Patek Philippe ยังได้เปิดตัวฝาแฝดของ Ref.3970 อย่าง 3971 ด้วยฟังก์ชั่นที่เหมือนกันแทบทุกอย่าง ยกเว้นตัวฝาหลังแบบแซฟไฟร์ ทำให้สามารถมองเห็นกลไกภายในของนาฬิกาได้ 

ต่อด้วยซีรีส์ที่ 2 (Second Series) ถูกปล่อยออกมาในช่วงปี 1987-1990 หรือที่รู้จักกันในชื่อ 3970E ผลิตทั้งหมด 650 เรือน เป็นรุ่นที่หายากที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 6 เรือนเท่านั้นตามที่มีการบันทึกข้อมูล โดยรุ่นนี้ถูกออกแบบฝาหลังแบบขันเกลียว เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและกันน้ำได้ดียิ่งขึ้น และยังมีการใช้เข็มบอกเวลาทรงใบไม้ หลักชั่วโมงแบบแท่งสี่เหลี่ยมเหมือนซีรีส์แรก แต่มีความแตกต่างจากเดิม 2 จุด คือบริเวณหน้าปัดย่อย ปรับให้มีพื้นสีเดียวกับหน้าปัดหลัก และฝาหลังเป็นแบบขันเกลียวแทนที่แบบกด 

อีกจุดสำคัญ คือ ซีรีส์แรก จนมาถึงซีรีส์ที่ 2 ยังคงเก็บรายละเอียดงานด้วยมือ หรือ Hand-finished จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ยิ่งทำให้ทั้ง 2 รุ่นนี้น่าสะสมและกลายเป็นที่ต้องการมากยิ่งขึ้น 

จากนั้นในซีรีส์ที่ 3 (Third Series) ถูกผลิตในช่วงปี 1989-1995 และมีการเพิ่มจำนวนการผลิตอยู่ที่ 1,350 เรือน โดยความแตกต่างที่เกิดขึ้นในซีรีส์นี้ คือ หน้าปัดที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีเงินสว่าง (bright silver) รายละเอียดต่างๆ บนหน้าปัดถูกพิมพ์ให้คมชัดมากขึ้น ส่วนด้านฝาหลังเป็นแบบขันเกลียว มีทั้งแบบทึบและแบบแซฟไฟร์ พร้อมการปรับเปลี่ยนเข็มบอกชั่วโมงและนาทีเป็นแบบ “เข็มทรงแท่ง” และเปลี่ยนหลักชั่วโมงให้มีปลายแหลมด้วยเช่นกัน และด้วยจำนวนการผลิตที่มากกว่า 2 ซีรีส์แรก ทำให้ราคาในตลาดนักสะสมจับต้องได้ง่ายมากขึ้น

และซีรีส์สุดท้าย (Fourth and Final Series) ผลิตขึ้นในปี 1994-2004 เป็นรุ่นที่มีความคล้ายกับซีรีส์ 3 อยู่มาก แตกต่างกันเพียง มีการปรับใช้ช่วงหมายเลขซีเรียลใหม่ และการปรับมาใช้ตัวล็อกแบบบานพับที่สายนาฬิกา เป็นรุ่นที่ถูกผลิตออกมามากสุดในบรรดา 4 ซีรีส์ ด้วยจำนวน 2,000 เรือน 

ดีไซน์และความแตกต่างที่เกิดขึ้นจาก Patek Philippe Ref. 3970 ทำให้เป็นนาฬิกาอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความสนใจจากนักสะสม และทำให้ราคาในการประมูลแต่ละครั้งค่อนข้างสูง โดยเฉพาะรุ่นที่หายาก อย่าง รุ่น Ref. 3970E (Yellow Gold) ที่เคยถูกนำมาประมูลในงาน Phillips New York Watch Auction ปี 2023 ปิดราคาประมูลไปได้ถึง 127,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากราคาเปิดตัวอยู่ที่ 77,000 ดอลลาร์สหรัฐ 

หรือล่าสุดในงานประมูล Phillips Geneva Watch Auction: XXI ปี 2025 รุ่น Ref. 3970P ปิดราคาการประมูลไปได้ที่ 469,900 ฟรังก์สวิส (ราว 580,000 ดอลลาร์สหรัฐ) จากราคาเปิดตัวอยู่ที่ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐ 

Ref. 3970 ไม่ใช่เพียงนาฬิกา แต่เป็นเหมือนงานศิลปะที่มีคุณค่าในตัวเอง และสามารถยืนหยัดเหนือกาลเวลา การันตีจากมูลค่าในงานประมูลที่พุ่งสูงไปถึงหลักแสนเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า นี่เป็นอีกหนึ่งเรือนเวลาที่นักสะสมต่างใฝ่ฝัน 

Photo : www.phillips.com